ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 142 พูดเกลี้ยกล่อม

“หา!” อวี้ถังเผยสีหน้าดีใจ “จริงหรือเจ้าคะ? ขนมถั่วกรอบของพวกเราถูกส่งไปเรือนหลังด้วย?”

เช่นนั้นก็หมายความว่า เผยเยี่ยนรู้สึกว่าขนมอร่อย ดังนั้นจึงส่งให้คนในครอบครัวชิมด้วย

อวี้เหวินพยักหน้า เผยความยินดีปรีดา “อาเสาก็มีไหวพริบมิใช่น้อย ยังไปสืบข่าวคราวมา กล่าวว่าตั้งแต่นายท่านสามรับช่วงต่อสกุลเผย นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาส่งอาหารไปยังเรือนหลัง”

อวี้ถังเอ่ย “เช่นนั้นภายหลังพวกเราส่งของไปให้สกุลเผยก็สามารถส่งขนมถั่วกรอบไปด้วยได้สินะเจ้าคะ?”

เช่นนี้ก็สามารถปวดหัวน้อยลงแล้ว

ของขวัญที่ส่งให้สกุลเผย ต้องเป็นของที่มีความแปลกใหม่ทั้งแฝงไปด้วยความจริงใจ นับว่าเป็นเรื่องยากอย่างแท้จริง

“อืม!” อวี้เหวินก็ดีใจไม่น้อย “นี่ช่างเรียกว่าสีเขียวมีต้นกำเนิดจากสีฟ้าแต่กลับเด่นกว่าสีฟ้า[1]จริงๆ ข้ารู้ว่าแม่เจ้าทำขนมอร่อย แต่คาดไม่ถึงว่า เจ้าก็ทำขนมอร่อยเหมือนแม่เจ้าเช่นกัน”

อวี้ถังเม้มปากแย้มยิ้ม ไม่คิดจะอธิบายที่มาที่ไปของขนมถั่วกรอบนี้ให้บิดาฟังแต่อย่างใด

ให้เขาเข้าใจผิดว่ามารดานางเป็นคนสอนก็ดีแล้ว

อวี้เหวินทอดถอนหายใจ “ร่างกายของแม่เจ้านับวันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ สกุลของพวกเราก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วเช่นกัน”

อวี้ถังขานรับทั้งรอยยิ้ม ก่อนจะนำรายการของขวัญของเจียงเฉาขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเราสองสกุลไม่เหมือนกัน ผู้หญิงในสกุลพวกเราได้รับความกรุณาจากสกุลเผย ไปมาหาสู่กันด้วยสัมพันธไมตรีเหมือนคนในครอบครัว แต่นายท่านเจียงต้องการความช่วยเหลือจากสกุลเผย จำต้องแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ การส่งของขวัญย่อมต่างกันออกไป ท่านให้ข้าตัดสินใจแทนนายท่านเจียง ไม่แน่ว่าเรื่องดีอาจกลับกลายเป็นเรื่องร้าย! ข้าว่า จะส่งของขวัญอะไร ให้นายท่านเจียงพิจารณาเองดีกว่า แต่ข้าดูรายการของขวัญนี้อย่างละเอียดแล้ว แม้ว่าให้ข้าช่วยคิด ก็คงคิดของขวัญที่ดีกว่านี้ไม่ออกอีกแล้ว”

ในความคิดของอวี้เหวิน ของขวัญนี้ก็ไม่อาจสร้างปัญหาอะไร แต่เจียงเฉาไหว้วานเขา เขาจึงกลัวว่าจะมีจุดอะไรที่พลาดไป ดังนั้นจึงนำมาให้อวี้ถังช่วยตรวจสอบ

“เช่นนั้นข้าก็จะบอกเขาว่าแบบนี้ดีแล้ว” อวี้เหวินนำรายการของขวัญไปหาเจียงเฉา

เจียงเฉาได้ฟังก็ขอบคุณอวี้เหวินด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับขบคิดในใจ ที่แท้สกุลอวี้ก็ไปมาหาสู่สกุลเผยด้วยสัมพันธไมตรีเหมือนคนในครอบครัว ไม่แปลกใจที่ส่งพวกขนมของว่าง จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของสกุลอวี้และสกุลเผยนั้นไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ไปมาหาสู่กันด้วยสัมพันธไมตรีเช่นนี้หรอก

เขาอดดีใจไม่ได้ แรกเริ่มคิดว่าอวี้เหวินเป็นบัณฑิต ย่อมไม่เห็นแก่เงินเหมือนนายท่านอู๋ขนาดนั้น จึงได้เลือกสกุลอวี้เป็นที่พักพิงแทนสกุลอู๋…

ยามที่เขาได้เข้าพบเผยเยี่ยน กลับเป็นปลายเดือนแปด

เขารอเผยเยี่ยนกว่าครึ่งเดือนเต็มๆ

ยามที่เผยเยี่ยนพบเขา สีหน้ายังแฝงความอ่อนเพลียอยู่บ้าง มองออกได้อย่างชัดเจน เผยเยี่ยนกล่าวว่าพอกลับมาจะให้เขาเข้าพบ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นดังที่เผยเยี่ยนพูดจริงๆ พอกลับมาเขาก็ได้พบเผยเยี่ยนเป็นคนแรก

ยามนี้เจียงเฉาจึงประเมินสกุลอวี้ไว้สูงอยู่บ้าง

เผยเยี่ยนชอบคนพูดตรงไปตรงมา ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเฉาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะอ้อมค้อมอะไรกับเขาได้

หลังจากเจียงเฉาคำนับเผยเยี่ยน ทั้งสองคนก็แยกกันนั่งที่ของเจ้าบ้านและแขก เผยเยี่ยนเอ่ยขึ้นทันที “ได้ยินว่าเจ้าอยากพบข้า เพราะคดีสกุลหวังแห่งหนิงปัวรึ? คดีนี้ข้าได้ส่งคนไปสืบข่าวแล้ว ลูกชายของสกุลหวังทำผิดจริงๆ ไม่ได้ถูกใส่ร้ายแต่อย่างใด แม้จะกล่าวว่าชาวบ้านไม่ร้องเรียน ทางการก็ไม่คิดสืบความ แต่คดีนี้ได้ส่งให้ศาลต้าหลี่แล้ว จะรื้อคดีขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้ามาหาข้า ข้าก็ไม่ค่อยมีวิธีสักเท่าใด”

เจียงเฉาได้ฟังกลับยิ้มขื่นในใจ

เกรงว่าจะไม่ใช่เพราะไร้วิธี แต่เขาไม่คุ้มค่าพอให้สกุลเผยสิ้นเปลืองแรงกำลังเพื่อช่วยรื้อคดีใหม่เสียมากกว่า?

แต่ชั่วชีวิตนี้ของเขาถูกเหยียดหยามเกินกว่าที่คนอื่นจะจินตนาการได้เสียอีก นับประสาอะไรกับเผยเยี่ยนเมินเฉย ทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีค่าให้พูดคุยเช่นนี้

เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “คดีนั้นของเถ้าแก่หวัง ข้าก็สืบอย่างละเอียดแล้ว รู้ว่าสกุลหวังเป็นคนผิด ไม่กล้าให้นายท่านเผยช่วยกลับดำให้เป็นขาว ข้ามาพบนายท่านเผย เพราะมีเรื่องอื่นอยากให้ช่วยเหลือ”

เผยเยี่ยนเลิกคิ้ว มองเจียงเฉาด้วยแววตาที่จริงจังขึ้นมาหลายส่วน

พูดตามตรง เขาไปสืบข่าวสกุลหวังจากหนิงปัวมาจริงๆ ข้าหลวงหนิงปัวรู้ว่าเรื่องนี้ข้องเกี่ยวกับสกุลเผย เวลานั้นก็ลำบากใจ กล่าวว่าคดีไปถึงศาลต้าหลี่แล้ว เขาย่อมไร้ทางที่จะรื้อคดีใหม่ แต่หากเผยเยี่ยนสามารถตีคดีกลับมาให้วินิจฉัยใหม่ได้ เขาก็ยินดีที่จะพิจารณาคดีใหม่

เผยเยี่ยนคิดว่าตีคดีกลับมาวินิจฉัยใหม่ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร ประเด็นอยู่ที่สกลุหวังก็ทำผิดเช่นกัน

ให้เขาไปช่วยรื้อคดีใหม่ เขาย่อมไม่เต็มใจ

เขาถึงกระทั่งคิดว่า เงินหกพันตำลึงนั้น เขาลอบชดเชยให้สกุลอวี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

เพียงแต่เรื่องทางหังโจวถ่วงแข้งถ่วงขาเขาไว้ ทำให้เขาไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้ทันท่วงที

ไม่คิดว่าเจียงเฉาผู้นี้จะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ

ไม่ว่าต่อไปเจียงเฉาคิดจะทำอย่างไร อย่างน้อยที่สุดคำพูดเช่นนี้สามารถดึงความสนใจจากเขาได้ ก็นับว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง

ยามนี้ในมือเขาก็ขาดแคลนคน

เจียงเฉาเห็นว่าเกริ่นเรื่องไม่มีปัญหาอันใด จึงค่อยมั่นใจ เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “คาดว่านายท่านสามคงทราบเรื่องที่ข้าทำการค้าทางทะเลแล้ว สาเหตุที่ข้ากล้าทำการค้าประเภทนี้ ประการแรกสกุลของข้าเดินเรือมาหลายชั่วอายุคน ประการที่สองหลายปีมานี้ข้าทำการค้าทางหนิงปัว เข้าใจเกี่ยวกับการค้าทางทะเลค่อนข้างมาก ถึงกระทั่งเคยเดินเรือไปซูลูด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง รู้เกี่ยวกับเส้นทาง ท่าเรือ จะเผชิญกับลมทะเลในยามใด ทั้งเมื่อพบลมทะเลควรหลบหลีกที่ใดเป็นอย่างดี”

เผยเยี่ยนคาดเดาได้แล้วว่าเขาจะพูดอะไร

เขาอดหยัดกายนั่งหลังตรงไม่ได้

น่าสนใจไม่น้อย

เจียงเฉาผู้นี้สิ้นเนื้อประดาตัว ยังสามารถวิ่งโร่มาเกลี้ยกล่อมเขาที่นี่อย่างไม่เผยท่าทีต้อยต่ำ ทั้งไม่เย่อหยิ่งจนเกินไป

นี่จึงจะเรียกว่าคนมีความสามารถ!

ไม่แปลกใจที่อวี้เหวินและนายท่านอู๋พบเขาครั้งแรก ก็ถูกเขาชักจูงทันที ไม่เพียงร่วมเงินลงทุน แต่ยามที่เขาสูญสิ้นทุกอย่างยังเต็มใจยื่นมือช่วยเหลือเขาโดยไม่ลังเล

เผยเยี่ยนหยัดกายขึ้นมาเล็กน้อย แววตาปรากฏรอยยิ้มวาบผ่านอย่างรวดเร็ว “เจ้าอยากพูดอะไร?”

เจียงเฉากัดฟันเอ่ย “ข้าอยากให้นายท่านสามช่วยสนับสนุนข้าทำการค้าทางทะเล ฤดูกาลนี้เป็นยามที่คลื่นลมทะเลสงบมากที่สุด หากยังชักช้าต่อไป ก็ทำได้เพียงรอปีหน้า ในเมื่อท่านทราบเรื่องทางหนิงปัว ย่อมรู้ว่าเถ้าแก่หวังไม่ได้เต็มใจทำการค้านี้ เป็นเพราะต้นทุนของพวกเรามีน้อยเกินไป ย่อมสู้กับเรื่องที่พลิกไปพลิกมาเช่นนี้ไม่ไหว แต่ท่านไม่เหมือนกัน! นอกจากท่านจะควบคุมสกุลเผยแล้ว ยังมีทรัพย์สินส่วนตัวในนามของตัวเองจำนวนมหาศาล แม้จะไม่อาศัยชื่อสกุลเผย ตัวท่านเองก็สามารถทำการค้าขายทางทะเลได้เช่นกัน”

กระทั่งเขามีทรัพย์สินส่วนตัวในนามของเขาเองก็สืบมาอย่างกระจ่างชัด

เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องที่สกุลเผยและสกุลซ่งเป็นญาติทางการแต่งงานหรือไม่ เจ้าถือสิทธิ์อันใดให้ข้าช่วยกัน?”

อวี้เหวินก็อยากรู้อย่างยิ่ง เขารินน้ำชาให้เจียงเฉา ทั้งถามไปพลาง “ยามนั้นเจ้าตอบว่าอะไร? เจ้าทราบได้อย่างไรว่าสกุลซ่งและสกุลเผยไม่ถูกกัน?”

ยามนี้เจียงเฉากลับมาจากสกุลเผยแล้ว

แผ่นหลังเขาชุ่มด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าเปียกชื้น ไม่สบายตัวเป็นที่สุด

เมื่อเขาเข้าประตูมา ไม่ทันได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถูกอวี้เหวินที่รออยู่ตรงชานเรือนดึงตัวเข้าไปไถ่ถามในห้องหนังสือเสียก่อน จึงทำได้เพียงอดทนไว้ “พี่อวี้ทราบว่าสกุลเผยและสกุลซ่งเป็นญาติทางการแต่งงานกลับไม่รู้ว่าทั้งสองสกุลมีอะไรบาดหมางกันอย่างนั้นรึ?”

อวี้เหวินไม่รู้จริงๆ

เขากระอึกกระอักอยู่พักใหญ่ แต่ก็บอกต้นสายปลายเหตุของเรื่องไม่ได้อยู่ดี

เจียงเฉาอดสงสัยในความสัมพันธ์ของสกุลอวี้และสกุลเผยไม่ได้ ยามที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะบอกอวี้เหวินดีหรือไม่ ก็เห็นซวงเถายกชาเข้ามาก่อน เขาสมองแล่นอย่างว่องไว ลอบสำรวจความเคลื่อนไหวของซวงเถา

หลังจากซวงเถายกชาเข้ามา ก็เก็บถาดรองชา กลับไปยืนอยู่ฉากกั้นห้องด้านหลังมุ้งอย่างเงียบเชียบ คนที่ไม่ละเอียดรอบคอบ ย่อมไม่ทันสังเกตว่านางก็อยู่ในห้องเช่นกัน

เจียงเฉารู้ว่าคุณหนูอวี้ให้ซวงเถาเข้ามาสืบข่าว

เขาคิดอย่างว่องไว “พี่อวี้เป็นคนหลินอัน ข้าคิดว่าพวกเจ้ารู้กันแล้วเสียอีก คาดไม่ถึงว่าเรื่องที่สกุลซ่งและสกุลเผยแตกหัก ข้ากลับต้องเป็นคนเล่าให้พวกเจ้าฟัง”

อวี้เหวินยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน

เจียงเฉากลับพูดอย่างน้ำไหลไฟดับ “ท่านแม่เฒ่าสกุลซ่งและท่านแม่เฒ่าสกุลเผย เป็นคุณหนูที่นับว่ามีสกุลสามีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสกุลเฉียนของพวกนาง ยามที่ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยแต่งออกไปที่หลินอัน ทั้งสองสกุลก็ยังค่อนข้างสนิทสนม แต่ว่าเวลานั้นสกุลซ่งมีลูกหลานสี่ห้าคนที่รับราชการอยู่ด้านนอก สกุลเผยมีนายท่านวั่งที่เป็นจิ้นซื่อคนเดียว เทียบกันแล้วสกุลเผยย่อมไม่โดดเด่นเท่าสกุลซ่ง รวมกับสกุลซ่งอยู่ในซูโจว สกุลเผยอยู่ที่หลินอัน เมื่อนานวันเข้า สกุลซ่งจึงละเลยเพิกเฉยกับสกุลเผยไปบ้าง”

“ว่ากันว่าทั้งสองสกุลไม่ถูกกันนั้นเริ่มในยามที่นายท่านใหญ่สกุลซ่งแต่งงาน”

“ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยพานายท่านทั้งสามของสกุลเผยไปดื่มสุรามงคลที่ซูโจว นายท่านใหญ่เผยทะเลาะเบาะแว้งกับสหายร่วมเรียนไม่กี่คนของนายท่านสกุลซ่งเพราะบทประพันธ์เรื่องหนึ่ง ภายหลังไม่รู้เพราะเหตุใด จึงลงไม้ลงมือกันขึ้นมา ภายในนั้นมีคนหนึ่งที่ถูกนายท่านสองเผยต่อยตี”

อวี้เหวินเบิกตาค้างอย่างตกตะลึง

เจียงเฉาเอ่ย “เดิมทีก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ทุกคนอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปด กล่าวว่าตีกัน ก็เพียงถูกชกไม่กี่หมัดเท่านั้น พวกผู้ใหญ่ตำหนิแต่ละฝ่ายก็แล้วเสร็จกันไป ใครจะคิดว่านายท่านใหญ่สกุลซ่งเป็นพวกชอบถือหาง ทั้งหยิ่งผยองลำพองตน พาผู้ติดตามไม่กี่คนไปดักทำร้ายนายท่านสองในตรอกแคบ นายท่านสองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นายท่านสามจึงนำผู้คุมสกุลเผยเข้าไปทำลายเรือนหอของนายท่านใหญ่สกุลซ่ง”

“เรื่องราวจึงยุ่งยากขึ้นมาแล้ว”

“ผลปรากฏว่าท่านแม่เฒ่าสกุลเผยก็ไม่ใช่คนถือศีลกินเจ เข้าข้างลูกหลานยิ่งกว่าสกุลซ่ง ทิ้งตั๋วเงินให้สกุลซ่งสองพันตำลึง ไม่ดื่มกระทั่งสุรามงคล วันนั้นก็พาลูกชายทั้งสามกลับหลินอันทันที สกุลซ่งส่งคนมาต่อว่า ท่านแม่เฒ่าเผยก็ถือหางปกป้องลูกชายทั้งสามอย่างยิ่ง นอกจากไม่ขอโทษ ยังลั่นวาจา หากสกุลซ่งไม่ส่งผู้ติดตามที่รุมทำร้ายลูกชายออกมา สกุลซ่งและสกุลเผยก็อย่าได้ไปมาหาสู่กันอีกเลย”

อวี้ถังเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน ถามซวงเถา “คนที่ต่อยคนเป็นนายท่านรองไม่ใช่นายท่านสามอย่างนั้นรึ?”

ซวงเถาเอ่ย “ข้าฟังมาอย่างชัดเจน ผู้ที่ต่อยคือนายท่านสอง คนที่ทำลายเรือนหอคือนายท่านสามเจ้าค่ะ”

เช่นนั้นเหตุใดทุกคนล้วนพูดว่านายท่านรองเป็นคนซื่อสัตย์มีเมตตา เคารพกฎเกณฑ์กัน?

ซวงเถาเอ่ยต่อ “สกุลซ่งและสกุลเผยจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กันด้วยเหตุนี้ ภายหลังนายท่านทั้งสามของสกุลเผยสอบเป็นจิ้นซื่อ สกุลซ่งกลับถดถอยลงเรื่อยๆ ยามที่นายท่านรองเผยแต่งงาน ท่านแม่เฒ่าสกุลซ่งก็มาอวยพรที่หลินอันด้วยตัวเอง เรื่องนี้จึงจบกันไปเช่นนี้”

“ดังนั้นเจียงเฉาจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ขอร้องเบื้องหน้านายท่านสาม?” อวี้ถึงพึมพำ “ถึงกระทั่งรับปากเจียงเฉา ให้เงินเจียงเฉาลงทุนซื้อเรือลำใหม่ วิ่งเรือทำการค้าทางทะเลจากหนิงปัวไปยังซูลู?”

ซวงเถาเอ่ย “นายท่านสามยังไม่ได้รับปาก เอ่ยเพียงว่าจะลองคิดดูเจ้าค่ะ”

แม้ว่าจะลองคิดดู ก็นับว่าเจียงเฉาเก่งกาจไม่น้อย เมื่อก่อนเผยเยี่ยนเคยพูดว่า จะไม่ทำการค้าทางทะเล เป็นสาเหตุใดกันที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิด?

จากความเข้าใจของนางที่มีต่อเผยเยี่ยน เขาไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดง่ายๆ

อวี้ถังนึกถึงก่อนหน้านี้ที่กู้ฉ่างมาขอเข้าพบเผยเยี่ยน ทั้งเผยเยี่ยนที่กลับเรือนช้า…หรือสกุลเผยเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น?

อวี้ถังกังวลอยู่บ้าง ขบคิดว่าจะไปพบเผยเยี่ยนดีหรือไม่

อย่างไรเผยเยี่ยนก็ช่วยเหลือนางมากมาย ทั้งนางยังมีประสบการณ์จากชาติก่อน หากสามารถช่วยเหลือเผยเยี่ยนได้ นั่นย่อมดีที่สุด

———————-

[1]สีเขียวมีต้นกำเนิดจากสีฟ้าแต่กลับเด่นกว่าสีฟ้า อุปมาถึงศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset