ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 146 แลกเปลี่ยน

อวี้ถังเดินตามอาหมิงเข้าไปศาลา ถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเผยเยี่ยนถึงต้องการพบนางที่นี่

ศาลาลมเย็นทรงแปดเหลี่ยม ชายคาสูงยกโค้ง เพราะสร้างตรงเนินลาด ด้านหนึ่งอิงภูเขา อีกสามด้านหันหน้าเข้าทะเลสาบ ลมจึงพัดมาไม่ถึงศาลาด้านใน บนเขาที่อยู่ด้านหลังศาลาแดงเพลิงด้วยใบของต้นเฟิง[1]เบื้องล่างของศาลาเป็นน้ำใสแจ๋วราวกับกระจกเงา นางนั่งบนเก้าอี้กุ้ยเฟยในศาลา ประกายวิบวับของทะเลสาบและสีสันบนภูเขาล้วนตกอยู่ในสายตา ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจขึ้นมาทันที

ช่างสรรหาวิธีเสพสุขเสียจริงๆ!

อวี้ถังค่อนขอดในใจ มองไปยังสาลี่สีเหลืองทอง องุ่นสีม่วง และผิงกั่ว[2]สีแดงสดใสที่จัดอยู่ในถาดสุ่ยจิง[3]บนโต๊ะน้ำชาข้างมือนาง ในใจก็คิดว่าเผยเยี่ยนจะมาถึงตอนไหน นางพอจะมีเวลากินสาลี่จนหมดลูกหรือไม่…ทันใดนั้นเผยเยี่ยนก็ปรากฏตัวที่กลางศาลาพอดี

“เจอท่านแม่ข้าแล้ว?” เขาเดินขมวดคิ้วเข้ามา กระทั่งคำทักทายยังไม่มี น้ำเสียงที่ถามเจือกระแสเบื่อหน่าย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฐานกว้างตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ตรงข้ามเก้าอี้กุ้ยเฟยอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

พวกเราสนิทกันถึงเพียงนี้?

แม้นางจะใช้ชีวิตมาสองชาติ และอวี้ถังก็เป็นคนใจกล้ามากกว่าชาติก่อน แต่บุรุษที่สัมพันธ์ใกล้ชิดก็มีเพียงบิดากับญาติผู้พี่เท่านั้น แม้อิริยาบถของเผยเยี่ยนจะปล่อยตัวตามสบาย แต่ความระแวดระวังที่หญิงสาวมักมีต่อชายหนุ่มทำให้อวี้ถังยืดตัวนั่งตรงทันที สายตาจ้องไปที่เผยเยี่ยน ในใจพลันอิหลักอิเหลื่อ

หากว่าเขาถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ นางต้องทำเป็นมองไม่เห็น? หรือว่าต้องตำหนิเขาสักหลายคำดี?

แล้วนางก็ต้องถอนหายใจโล่งอก

แม้เก้าอี้ฐานกว้างตัวนั้นจะสามารถนั่งขัดสมาธิได้ แต่เผยเยี่ยนไม่มีท่าทีจะทำเช่นนั้น เขานั่งยืดหลังตรงเฉกเดียวกับที่นั่งเก้าอี้ไท่ซือ จากนั้นก็ปฏิเสธจานผลแตงที่อาหมิงยกเข้ามา แล้วสั่งเขาว่า “ไปต้มชาเข้มๆ มาให้ข้ากาหนึ่ง”

แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว?

อวี้ถังลอบประเมินเขาอย่างละเอียด

ถึงค้นพบว่าดวงตาเขาปรากฎเส้นเลือดสีแดงก่ำ

อวี้ถังอดจะเป็นห่วงไม่ได้ “ท่านมีเรื่องอะไรฝากอาหมิงมาบอกข้าก็ได้เจ้าค่ะ”

ไม่จำเป็นต้องมาพบนางด้วยตนเอง

เขาช่วยนางมากแล้ว นางมองเขาเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง หากมีเรื่องใดที่สามารถช่วยเขาได้ นางก็ยินดีจะทำทั้งสิ้น

เผยเยี่ยนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หลายวันนี้เอาแต่ตรวจบัญชี ล้วนแต่ผิดมั่วไปหมด” พูดเท่านี้ น้ำเสียงเขาก็ชะงักไป

อาจเพราะรู้สึกว่าพูดเรื่องนี้กับนางไม่ค่อยจะเหมาะสม

อวี้ถังลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ

เผยเยี่ยนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “ช่วงนี้ข้ายุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น แล้วท่านแม่ข้าก็มา…อารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ข้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้คนแก่สบายใจ คิดถึงแต่ก่อนตอนที่ญาติผู้พี่ข้ายังไม่ออกเรือน นางเคยมาพักที่นี่บ่อยๆ ออกไปซื้อโน่นซื้อนี่เป็นเพื่อนท่านแม่ข้า บางครั้งยังพากันไปค้างแรมที่วัดป่าอยู่หลายวัน จึงได้นึกถึงคุณหนูอวี้ขึ้นมา ระยะนี้จึงอยากเชิญเจ้ามาเป็นแขกที่จวนบ่อยๆ…” เขาพูดไป ปากก็เม้มแน่น เห็นชัดถึงความจริงจัง ทว่าเจือความกลัดกลุ้มหลายส่วน “ถือว่าช่วยเหลือข้าสักครั้ง ทำให้มารดาข้ามีความสุขที ข้ารู้ว่าคุณหนูอวี้ค่อนข้างยุ่ง หากมีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือ พูดออกมาได้เต็มที่ ถือเสียว่าพวกเราแลกเปลี่ยนหน้าที่กัน”

พูดเช่นนี้ก็ได้ด้วยรึ?

อวี้ถังเบิกตาโตมองเขา

นางอยากรู้ว่าญาติผู้พี่ของเผยเยี่ยนที่ออกเรือนไปแล้วเป็นใคร? วันๆ สามารถเอาแต่ซื้อของ และเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่าได้ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง

ทว่า ในเมื่อเป็นถึงญาติผู้พี่ของเผยเยี่ยน ย่อมต้องมาจากสกุลใหญ่อยู่แล้ว แต่ละวันอาจจะผ่านไปโดยการซื้อของและเดินเล่นก็เป็นได้ ไม่ใช่จะเหมือนกับนาง

ทว่า นางก็พอมองออก เผยเยี่ยนคงคิดกตัญญูต่อมารดา แต่เขาไม่มีเวลาทั้งไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนมารดาได้ จึงคิดแผนนี้ออกมา

ไม่ถึงขนาดว่าแลกเปลี่ยนหน้าที่ สามารถช่วยเหลือเผยเยี่ยนได้ นางกลับรู้สึกดีใจมาก อีกอย่างเผยเยี่ยนก็ช่วยเหลือนางมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่านางจะยุ่งหรือไม่ ก็ต้องหาเวลามาให้ได้แน่นอน รอจนท่านแม่เฒ่าสามารถก้าวออกจากความเจ็บปวดอย่างช้าๆ ตอนนั้นก็คงไม่ต้องการให้นางคอยอยู่เป็นเพื่อนอีก

“นายท่านสามไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้” อวี้ถังเอ่ยอย่างจริงใจ “ข้าอยู่ที่เรือนก็กินดื่มไปวันๆ ไม่มีเรื่องสลักสำคัญอะไร ท่านแม่เฒ่าทางนี้ ขอเพียงนางต้องการข้า ข้าไม่มีทางบ่ายเบี่ยงแน่”

เผยเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ร้องเหอะทีหนึ่ง “ตำราที่ข้าให้เจ้ายืมไป อ่านเข้าใจแล้วหรือยัง?”

ดวงหน้าของอวี้ถังแดงก่ำ น้ำเสียงเบาลงไปหลายส่วน “ยัง ยังอ่านไม่จบเลยเจ้าค่ะ”

ที่อ่านไม่จบก็เพราะอ่านไม่เข้าใจ อ่านไปอย่างทุลักทุเล แม้จะเรียกหวังซื่อมาหลายรอบ หวังซื่อก็เล่าแต่ความรู้ผิวเผินเกี่ยวกับการเพาะปลูกให้นางฟังบางส่วน ทว่าฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนแล้ว ต้นซาจี๋พวกนั้นจะสามารถมีชีวิตรอดผ่านฤดูหนาวไปได้หรือไม่ก็สุดรู้ หวังซื่อจำเป็นต้องทุ่มเทความสนใจไปที่ต้นอ่อนเหล่านั้น นางจะเอาแต่เรียกหวังซื่อให้เข้ามาในเมืองทุกสองสามวันก็คงไม่ได้

เผยเยี่ยนหยิบผิงกั่วส่งให้นางลูกหนึ่ง

อวี้ถังยื่นมือไปรับด้วยความไม่เข้าใจ

เผยเยี่ยนเลิกคิ้วพูดว่า “ชิมดูสิ!”

อวี้ถังกัดลงไปหนึ่งคำด้วยความมึนงง

แล้วดวงหน้างงงวยก็ก้มมองผลผิงกั๋วในมือตนเอง

จากนั้น นางก็ได้ยินเผยเยี่ยนล้อเลียนว่า “ใช้ได้นี่ แม้ไม่รู้ว่าชารสชาติเช่นไร ดีชั่วก็ยังลิ้มรสของผลไม้ออก”

นี่มิใช่สร้างความอับอายให้ผู้อื่นรึ?

อวี้ถังจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย

เผยเยี่ยนไม่รู้สึกรู้สา “นี่คือผลซากั่ว เป็นพันธุ์ที่ปลูกในสวนสกุลข้า”

นางรู้จักผลซากั่ว

แต่มันเป็นผลเล็กนิดเดียวเอง

เมื่อไรกันที่มันเติบใหญ่จนเท่าลูกผิงกั่วแบบนี้

อวี้ถังหันไปมองเผยเยี่ยน

หรือว่าต้นที่สกุลเขาปลูกเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่ง?

เผยเยี่ยนพยักหน้ารับอย่างยากจะได้เห็นสักครั้ง “ไม่เลว นี่เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่สกุลข้าปลูกออกมา ผลใหญ่เท่าลูกผิงกั่ว แต่ออกผลดกกว่า สุกเร็ว ขายได้ในราคาถูก ออกสู่ท้องตลาดได้เร็ว”

สกุลเผยจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในการปลูกผลไม้แน่ๆ

อวี้ถังรู้สึกริษยาจนเลือดตาแทบพุ่ง

เผยเยี่ยนกลับเอนตัวไปหานาง กระซิบเสียงเบาว่า “ต้องการจะแลกเปลี่ยนหน้าที่แล้วหรือไม่? หืม?”

อวี้ถังสะดุ้งสุดตัว

น้ำเสียงของเผยเยี่ยนเวลาพูดเสียงต่ำเป็นเช่นนี้เองหรือ?

มันทุ้มหนัก ใกล้ชิด รื่นหู ฟังเสนาะเฉกเสียงหูฉิน[4] ทว่าก็คล้ายขนนกก้านหนึ่งที่ปัดผ่านกลางอกนางไปอย่างแผ่วเบา ทำให้หัวใจนางกระหน่ำรัวเต้น เป็นเสียงตึกตักๆ สนั่นไหว จนไม่ได้ยินเสียงอื่นที่อยู่รอบกายโดยสิ้นเชิง

รอจนนางได้สติคืนมา ข้างหูก็ได้ยินเสียงที่เจือความเปรมปรีดิ์ของเผยเยี่ยนแล้ว “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าจะให้หูซิ่งพาคนไปช่วยดูสวนป่าของเจ้า ไม่เพียงทำให้ต้นซาจี๋พวกนั้นข้ามผ่านฤดูหนาวไปอย่างปลอดภัย ทั้งจะช่วยเจ้าปลูกต้นซากั่วสักหลายต้น ช่วยเจ้าเปิดร้านผลไม้เชื่อมขึ้นมาด้วย ตอนที่เจ้าพอมีเวลา ก็แวะมาที่จวนข้าบ่อยๆ หน่อย แล้วก็ไม่ต้องจำกัดว่าจะทำแค่ดอกไม้ผ้าหรืออาภรณ์ต่างๆ เป็นเพื่อนนางอย่างเดียว มีของอร่อยอะไร มีของเล่นไหนน่าสนุก ก็ขนเข้าจวนมาได้เลย ท่านแม่ข้านั้นขอเพียงเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเคยเห็น ล้วนแต่ชอบพิจารณาศึกษาทั้งสิ้น เจ้าเข้าใจตรงนี้ไว้ก็พอแล้ว”

“หะ?” อวี้ถังมองหน้าเผยเยี่ยนอย่างเหม่อลอย

นางไปตกลงรับปากเขาตอนไหน?

เผยเยี่ยนได้ลุกยืนขึ้นอย่างเบิกบานไปแล้ว “หลายวันนี้วุ่นวายเหลือเกิน นับว่ามีเรื่องได้ดั่งใจเสียที! ข้าทางนั้นยังมีงาน ขอตัวไปก่อนล่ะ หากว่าเจ้าไม่มีธุระอะไร ก็นั่งกินผลไม้ที่นี่ไปก่อน พักผ่อนเสียครู่หนึ่ง ตอนจะกลับก็มาบอกอาหมิงสักคำ เขาจะช่วยจัดเกี้ยวมาให้”

“ไม่ใช่นะ!” อวี้ถังรีบกระเด้งตัวลุกขึ้น ละล่ำละลักเอ่ยว่า “ข้าไปรับปากท่านตั้งแต่เมื่อไร?”

เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้พยักหน้าอยู่ตลอดหรือ? ทำไม? พยักหน้ายังไม่นับอีกหรือ?”

นางพยักหน้าแล้วหรอ?

เหตุใดนางถึงไม่มีความทรงจำนั้นเลยเล่า?

สีหน้าของอวี้ถังคล้ายคนเลื่อนลอย

เผยเยี่ยนอดจะพูดต่อไม่ได้ว่า “เป็นคนจะพูดจาไร้สัจจะได้อย่างไร?! เรื่องนี้ให้ตกลงตามนี้ ข้าต้องกลับห้องบัญชีแล้ว อาหมิง เจ้าคอยเฝ้าอยู่ที่นี่แล้วกัน” พูดจบ ไม่สนใจว่าอวี้ถังจะอยู่ในอารมณ์ไหน เขาก็ยกขาก้าวยาวๆ ออกจากศาลาไปทันที

อวี้ถังมองดูอย่างโง่งม จ้องตามแผ่นหลังของเผยเยี่ยนที่หายไปจากทางเดินน้อยอย่างรวดเร็ว พลันพูดอะไรไม่ออก

เผยเยี่ยนที่เดินพ้นจากระยะสายตาที่จะมองเห็นศาลาได้แล้วก็ฝืนตัวเองไม่อยู่ มุมปากกระตุกยกสูงขึ้น

แต่ก่อนเขาคิดว่าอวี้ถังฉลาดมีไหวพริบ พูดจาฉะฉานและวิเคราะห์สถานการณ์เก่ง คาดไม่ถึงจริงๆ หลังจากหลอกนางให้หลงกลแล้ว นางกลับมีท่าทางโง่งมอยู่บ้าง เขาพูดอะไรนางก็เอาแต่พยักหน้ารับหมด

คุณหนูอวี้ที่เป็นเช่นนี้…น่ารักไม่เบาเลย

หนึ่งพันคนมีหนึ่งพันหน้า คุณหนูอวี้ก็ไม่ได้จะแข็งแกร่งอยู่ตลอดเวลาเสียหน่อย

เผยเยี่ยนกลับห้องบัญชีด้วยอารมณ์พึงใจ เขาเรียกหูซิ่งมาหา แล้วสั่งการว่า “พาอาจารย์ติ้งไปด้วย ไปทำความเข้าใจสวนป่าของคุณหนูอวี้ให้หมด อย่าปล่อยให้ไร้ผลผลิตอยู่แบบนี้”

หูซิ่งตอบรับอย่างนบนอบ ตอนที่ออกจากห้องบัญชีพลันรู้สึกว่าปวดกระพุ้งแก้มขึ้นมา

สวนป่าผืนนั้นใช่ว่าเขาไม่เคยไป แล้วอย่างไรจะนับว่าทำความเข้าใจทั้งหมดเล่า? ‘อย่าปล่อยให้ไร้ผลผลิตอยู่แบบนี้’ แต่ต่อให้ปลูกไม้จนเติบโต แล้วมันจะออกผลสักเท่าไรกัน? ในเมื่อเป็นห่วงหนักหนาว่าสวนป่าจะไม่ทำกำไร มิสู้แบ่งผลผลผลิตของร้านค้าสักแห่งให้สกุลอวี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว

คิดถึงตรงนี้ หัวใจของหูซิ่งก็กระตุก แล้วยกมือลูบคางไปมา

นายท่านสามมิใช่ต้องการจะบอกความหมายนี้กับเขากระมัง?

มิฉะนั้นแค่สวนป่าผืนน้อยนั่น จะต้องให้เขาผู้เป็นถึงพ่อบ้านสามแห่งสกุลเผยไปดูด้วยหรือ?

เขานึกถึงหลายวันก่อนที่คุณหนูอวี้เข้าจวนมาแล้วได้รับความโปรดปรานจากท่านแม่เฒ่า

นายท่านสาม คงมิใช่ถูกใจคุณหนูอวี้เข้ากระมัง?

พอความคิดนี้ผุดขึ้น หูซิ่งก็เริ่มยืนไม่ติดทันที

หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง จากความยิ่งใหญ่ของสกุลเผยและฐานะของนายท่านสาม คุณหนูอวี้ไม่มีทางได้แต่งเป็นนายหญิงใหญ่แน่

แต่หากเป็นอนุ เขาก็ต้องรีบประจบเสียตอนนี้ หากรอให้นายหญิงใหญ่แต่งเข้ามา เขามิพ้นคงกระอักกระอ่วนแย่?

เช่นนั้น เขาต้องทำอย่างไรต่อ?

พ่อบ้านหูที่แต่ไรก็หัวไวมีไหวพริบพลันตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที

อวี้ถังเป็นคนติดครอบครัว เมื่อไม่มีเรื่องอื่นแล้ว นางหาได้มีกะใจนั่งชมทะเลสาบกินขนมผลไม้ในจวนสกุลเผยไปเรื่อยๆ?

คล้อยหลังเผยเยี่ยนที่ก้าวขาออกจากศาลา นางก็ลุกกลับบ้านไปติดๆ

คนสกุลเฉินชะเง้อคอรอนางอยู่ในเรือนนานแล้ว

อวี้ถังกลับไปถึงก็ถูกนางลากเข้าไปคุยในห้องทันที “เป็นอย่างไรบ้าง? ท่านแม่เฒ่าพอใจหรือไม่? บอกหรือไม่ว่าให้เจ้าไปเป็นแขกที่จวนอีก?”

“พอใจเจ้าค่ะ” อวี้ถังเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ทางหนึ่งก็เล่าเรื่องที่ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยให้มารดาฟัง แต่ตอนที่เล่าถึงเผยเยี่ยน นางแค่บอกคร่าวๆ ถึงจุดประสงค์ของเผยเยี่ยนที่ให้นางไปเจอท่านแม่เฒ่าบ่อยๆ เท่านั้น

คนสกุลเฉินได้ฟังก็ปลื้มใจมาก “ทุกคนต่างพูดว่านายท่านรองเป็นคนกตัญญู ข้าว่านายท่านสามก็กตัญญูไม่แพ้กัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เฒ่าที่จวนบ่อยๆ สกุลเผยมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อสกุลเรา พวกเราหากเป็นเรื่องอื่นก็ช่วยอะไรสกุลเผยไม่ค่อยได้ ในเมื่อท่านแม่เฒ่าถูกใจเจ้า เจ้าก็ฟังคำของนายท่านสาม แวะไปที่จวนสกุลเผยให้มาก รอต่อไปออกจากไว้ทุกข์ท่านผู้เฒ่าแล้ว นายท่านสามตบแต่งเป็นฝั่งเป็นฝาก็คงดีขึ้นเอง”

พอเผยเยี่ยนแต่งงาน หน้าที่ดูแลรับใช้ผู้อาวุโสก็จะตกเป็นหน้าที่ของภรรยาเผยเยี่ยนไปโดยปริยาย

อวี้ถังจะได้ถอนตัวออกมาเสียที

อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก ในใจอดคิดไม่ได้ว่าเผยเยี่ยนจะแต่งงานกับหญิงสาวแบบใด? จะนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวลน่าเข้าใกล้ หรือว่าเฉลียดฉลาดเก่งกาจ งดงามน่าพิศ…ไม่ว่าจะเป็นข้อแรกหรือข้อหลัง นางกลับจินตนาการถึงภาพที่มีคนมายืนเคียงข้างเผยเยี่ยนไม่ออกเลย

น่าเสียดาย ชาติก่อนนางไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนได้แต่งงานหรือไม่ หากว่านางรู้ล่วงหน้า ไม่แน่อาจจะไปแอบดูสักหน่อยว่านายหญิงของเผยเยี่ยนเป็นคนเช่นไรแน่

————————————————————-

[1]ต้นเฟิง คือ ต้นเมเปิ้ล

[2]ผิงกั่ว คือ แอปเปิ้ล

[3]สุ่ยจิง คือ คริสตัล

[4]หูฉิน หมายถึงเครื่องดนตรีประเภทซอทั้งหมดของดนตรีจีน อย่างเช่นจิงหู ป่านหู เกาหู เอ้อร์หู จงหู เก่อหู ซีหู จุ้ยหู และรวมไปถึงซอของกลุ่มชนเผ่าต่างๆ ในจีนด้วย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset