ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 21 วัด

วัดเจาหมิงตั้งอยู่ที่เขาเทียนมู่ตะวันออก ตีนเขามีหมู่บ้านหนึ่งชื่อว่าหมีถัว  

 

 

อวี้ถัง หม่าซิ่วเหนียงและคุณชายจางนัดว่าจะไปพบกันที่นั่น จากนั้นจะก็ทำเป็นเหมือนพบกันโดยบังเอิญ แล้วเดินทางไปวัดเจาหมิงด้วยกัน  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงกับคุณชายจางมาถึงก่อนอวี้ถังแล้ว  

 

 

อวี้ถังลงจากเกี้ยว ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงพาสาวใช้ชื่อสี่เชวี่ยมาด้วย นางเม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วดึงแขนของอวี้ถัง เอ่ยว่า “พวกเราก็ไม่ได้มาถึงก่อนเจ้านานนักหรอก” แล้วถามอวี้ถังว่า “เจ้ากินมื้อเช้ามาหรือยัง? แล้วได้เตรียมน้ำชาอาหารว่างมาด้วยหรือไม่?” พูดจบ ก็หันไปมองอาเสาที่หอบแฮกๆ อยู่  

 

 

ทางไปวัดเจาหมิง ต้องปีนเขาไปครึ่งลูก เส้นทางค่อนข้างไกล ทุกคนอาจด้วยมีความตั้งใจอยากไหว้พระ หรืออาจเพราะการจ้างเกี้ยวขึ้นเขาราคาสูงลิ่ว โดยทั่วไปจึงมักจอดเกี้ยวไว้ที่ตีนเขา แล้วเดินเท้าต่อ  

 

 

อาเสาตบลงที่ห่อผ้าสะพายหลังหลายครั้ง เอ่ยว่า “คุณหนูหม่าวางใจได้ขอรับ เมื่อวานป้าเฉินเตรียมให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว” ก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่อคารวะคุณชายจาง  

 

 

คุณชายจางพยักหน้ารับเล็กน้อย  

 

 

อวี้ถังเหลือบมองเขาไวๆ ทีหนึ่งด้วยความสนใจอยากรู้  

 

 

อายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี รูปโฉมสำอาง ผิวขาว ตัวผอมสูง มองแล้วดูเป็นคนที่อ่อนโยนผู้หนึ่ง  

 

 

ในสถานการณ์ที่ฐานะทางบ้านไม่ได้โดดเด่น ทว่ายังสามารถสอบเป็นถงเซิงได้แต่อายุเท่านี้ เห็นชัดว่าความหมั่นเพียรและสติปัญญานับว่าไม่เลว  

 

 

อวี้ถังชมชอบคนฉลาด  

 

 

คุณชายจางพาบ่าวมาด้วยคนหนึ่ง เขาให้หม่าซิ่วเหนียงกับอวี้ถังเดินนำหน้า  

 

 

อวี้ถังดึงหม่าซิ่วเหนียงมาใกล้ตัว แล้วกระซิบหยอกเย้าว่า “พี่เขยมองแล้วดูดีทีเดียวเลย! ท่านลุงนับว่าเลือกคู่หมายที่ประเสริฐให้เจ้าแล้ว”  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงเขินอายจนหน้าแดงก่ำ ทว่าวาจาเกรงอกเกรงใจกลับไม่มีหลุดออกมาสักคำ  

 

 

เห็นได้ชัดว่านางก็พออกพอใจกับคู่ครองคนนี้นัก  

 

 

อวี้ถังจึงพูดว่า “พี่เขยชื่อว่าอะไรหรือ?”  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงกดเสียงเบา ตอบว่า “ชื่อหนึ่งอักษรนามว่าฮุ่ย ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อเลย”  

 

 

จางฮุ่ยหรือ?  

 

 

ไม่รู้ว่าชาติก่อนเขาสอบผ่านเป็นซิ่วไฉได้ตั้งแต่เมื่อไร?  

 

 

อวี้ถังทอดถอนใจกับตัวเองอีกครั้งที่ชาติก่อนตนไม่เคยใส่ใจกับเรื่องอะไรเลย  

 

 

อาจเพราะมีคนเดินเท้าจำนวนมาก เส้นทางบนภูเขาที่มุ่งสู่วัดเจาหมิงแม้คดเคี้ยวแต่ก็ราบเรียบ และเพราะไม่ได้มีการจัดธรรมเทศนาหรือจาริกแสวงบุญ คนที่ไปจุดธูปไหว้พระจึงมีไม่มาก ทั้งส่วนใหญ่ก็เป็นคนเฒ่าคนแก่และสตรีกลางคนที่ออกเรือนแล้ว พวกเด็กสาวอายุน้อยๆ อย่างพวกนาง กับกลุ่มคุณชายด้านหลังที่อยู่ห่างไปไกลๆ จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาคนให้สนใจนัก คนที่เดินผ่านไปล้วนต้องหันหลังมามองพวกนางอีกทีสองที  

 

 

แม้จะสวมหมวกคลุมหน้าเอาไว้ แต่หม่าซิ่วเหนียงก็อายจนทนไม่ได้ เอ่ยเสียงแผ่วกับอวี้ถังว่า “พวกเรา พวกเรานัดสถานที่อีกแห่งหนึ่ง แล้วค่อยไปเจอกับคุณชายจางที่นั่นเถอะ?”  

 

 

กลางวันแสกๆ ท้องฟ้าสดใสเช่นนี้ หม่าซิ่วเหนียงพาสาวใช้ติดตัวมาด้วย นางก็มีบ่าวรับใช้ อวี้ถังหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแล้วพยักหน้ารับ  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงหมุนตัวกลับไปพูดกับสี่เชวี่ยหลายประโยค สี่เชวี่ยปิดปากหัวเราะแล้วนำสารไปบอกแก่คุณชายจาง  

 

 

จางฮุ่ยเงยหน้ามองหม่าซิ่วเหนียงหลายที ก่อนจะผงกศีรษะอย่างไม่ค่อยยินยอมนัก ทำให้อวี้ถังต้องหลุดขำออกมาอีกรอบ  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงบิดเนื้ออวี้ถัง แสร้งเคืองๆ เอ่ยว่า “พวกเรามิใช่ทำเพื่อเจ้าหรืออย่างไร หากว่าคนอื่นมองออกขึ้นมา พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”  

 

 

อวี้ถังขออภัยไปหลายคำ กระเซ้าว่า “พี่สาววางใจได้ รอให้ถึงตอนเจ้าออกเรือน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะปักหมอนลายนกยวนยางคู่กับมือมอบให้เจ้าเป็นของขวัญ”  

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ ยังจะพูดจาไปเรื่อยอีก”  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงกับอวี้ถังหัวเราะคิกคัก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง พวกนางก็มาถึงวัดเจาหมิงแล้ว  

 

 

สองคนตรงไปที่วิหารเทียนหวัง  

 

 

อวี้ถังปลดหมวกคลุมหน้าออก  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงตกใจร้องบอกเสียงเบาว่า “อาถัง วันนี้เจ้างดงามเหลือเกิน!”  

 

 

วันนี้อวี้ถังสวมเสื้อคลุมผ้าไหมหังโจวสีแดงสดปักลายดอกไม้  

 

 

นางยิ้มให้บางๆ  

 

 

หลี่จวิ้นผู้นั้นบอกว่าตกหลุมรักในรูปโฉมนาง นางก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า รูปโฉมของนางจะทำให้หลี่จวิ้นชอบพอได้สักกี่ส่วน  

 

 

นางไม่เพียงบำรุงผิวหน้า ขัดหน้าผาก และเขียนคิ้ว  

 

 

ทั้งยังแต่งหน้ามาอย่างบรรจง  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงถามพลางทอดถอนใจว่า “เวลาปกติเจ้าก็ควรจะแต่งตัวให้มากหน่อย”  

 

 

อาจเพราะมารดาของนางเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง อวี้ถังแม้จะได้ยินคนชมว่าสะสวย แต่คนที่เอ่ยปากชมล้วนเป็นญาติๆ และสหายในเรือน ไม่ก็พวกผู้เฒ่าที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ตอนที่ส่องกระจกอยู่ข้างๆ มารดา ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองสวยเพริศพริ้งเท่าใดนัก คิดว่าทุกคนคงชมไปตามมารยาท ต่อมาเมื่อแต่งให้สกุลหลี่ จนถูกหลี่ตวนคุกคาม นางถึงเพิ่งสังเกตว่าตนอาจจะงดงามเกินหน้าผู้อื่นอยู่ แต่ตอนนั้นนางเป็นหญิงม่าย จะแต่งตัวสวมใส่อะไรล้วนมีระเบียบไปหมด คนสกุลหลินเห็นนางเป็นตะปูตำตา นางเองก็ไม่คิดจะแหกกฎธรรมเนียม แต่ละวันก็พยายามแต่งตัวให้ธรรมดาและไม่โดดเด่นเข้าไว้  

 

 

เมื่อกลับมาเกิดใหม่ ความคุ้นชินบางอย่างก็ยังแก้ไม่หาย ก็มิแปลกที่หม่าซิ่วเหนียงจะออกอาการตกตะลึงเช่นนี้  

 

 

สองคนไปจุดธูปไหว้พระ แล้วไปนั่งพักที่อู่ฟางสำหรับรับรองแขก อาเสาออกไปสืบว่าหลี่จวิ้นตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงจ้องหน้าอวี้ถังอีกรอบก่อนจะถอนหายใจ “ข้าว่านะ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้างดงามนัก โดยเฉพาะอารมณ์ตอนเจ้าคุยกับข้ากับสายตาที่เจ้าใช้มองข้า เหมือนว่ามันต่างไปจากแต่ก่อนมากเหลือเกิน แต่ข้ามองแล้วก็เห็นเจ้าเปลี่ยนไปแค่เสื้อผ้ากับมีเครื่องประดับเพิ่มมาไม่กี่ชิ้นเท่านั้น! เป็นเพราะแต่ก่อนข้าไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับเจ้าอย่างนั้นรึ?”  

 

 

อาจเพราะประสบการณ์บางอย่างเมื่อชาติก่อนสลักลึกอยู่ในกระดูกนาง นางในเวลานี้ จึงมีความคิดเป็นของตนเอง ทั้งใจกล้ายิ่งกว่าเก่า  

 

 

อวี้ถังหัวเราะ เอ่ยว่า “เจ้าน่ะ พอรักใครชอบใครก็เห็นว่าคนผู้นั้นดีงามไปเสียหมด ไม่รู้ว่าพี่เขยในสายตาของเจ้าก็เป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่?”  

 

 

“เจ้ามันนิสัยไม่ดี ข้าช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับหัวเราะเยาะข้า!”  

 

 

สองคนเริ่มทะเลาะกันวุ่นวาย  

 

 

เป็นเวลานานหม่าซิ่วเหนียงถึงรู้ตัวว่านอนแยกกันกับอวี้ถังอยู่บนตั่งไม้ยาว  

 

 

นางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่า อาศัยรูปร่างหน้าตาของเจ้า มีแต่เจ้าที่จะไม่ตอบตกลงผู้อื่น ไม่มีผู้อื่นจะไม่ตอบตกลงเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าคุณชายรองสกุลหลี่หน้าตาพอใช้ได้ เจ้าจะยอมรับการหมั้นหมายครั้งนี้หรือไม่?”  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงไม่เคยพบหลี่จวิ้นตัวเป็นๆ ไม่รู้ว่าที่แท้หลี่จวิ้นมีหน้าตาอย่างไรแน่  

 

 

ไม่มีทาง!  

 

 

อวี้ถังเกือบจะหลุดปากออกไป  

 

 

นางกลับมาคิดอีกรอบว่าหากเจอสถานการณ์เช่นนี้ แล้วนางบอกปฏิเสธหลี่จวิ้นไป ย่อมจะทำให้คนอื่นแปลกใจแน่ จึงเอ่ยว่า “แต่งงานมิใช่แต่งให้เขาเพียงคนเดียว แต่แต่งให้กับคนทั้งสกุลของเขาด้วย”  

 

 

“เจ้าพูดถูกแล้ว” หม่าซิ่วเหนียงหยุดคิด เอ่ยว่า “หากว่าข้ามีแม่สามีอย่างฮูหยินหลี่นั่น ข้าคงหงุดหงิดตาย”  

 

 

สองคนมองหน้ากันก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา  

 

 

ในที่สุดหม่าซิ่วเหนียงก็เลิกโน้มน้าวนาง  

 

 

อวี้ถังถามหม่าซิ่วเหนียงถึงเรื่องงานแต่ง  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงเล่าให้ฟังว่า นางกับคุณชายจางจะแต่งงานกันช่วงปลายปี บอกว่าเรือนของคุณชายจางขาดคนที่ดูแลเรื่องหุงหาอาหาร อยากให้นางแต่งเข้ามาเร็วๆ หน่อย “ท่านแม่ก็เป็นคนเปิดเผย คิดว่าหากไม่ตกลงก็คือไม่ตกลง แต่ในเมื่อตกลงแล้ว ก็คือครอบครัวเดียวกัน อย่างไรการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรื่องบางเรื่อง ปล่อยผ่านไปสบายๆ เป็นใช้ได้แล้ว” พูดจบ ก็กระซิบเสียงเบาบอกว่า “มารดาข้าบอกกับคนนอกว่าพวกเราสองสกุลหารือเรื่องงานแต่งมานานแล้ว เพียงเพราะพวกเราอายุยังน้อย จึงไม่ได้พูดคุยกันเป็นจริงเป็นจัง คนอื่นจะได้ไม่ครหาพวกเราหาว่าเท้าหน้าเพิ่งตกลงหมั้นหมาย เท้าหลังก็จะแต่งงานเสียแล้ว หากมีคนมาถามถึง เจ้าอย่าได้หลุดปากเป็นอันขาดล่ะ”  

 

 

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!” อวี้ถังรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยที่งานแต่งของหม่าซิ่วเหนียงราบรื่นถึงเพียงนี้  

 

 

ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะตบแต่งให้กับผู้ใด?  

 

 

การแต่งเขยชายเข้าบ้านพูดแล้วฟังดูไม่ยาก แต่ถ้าต้องการคนที่สง่าผ่าเผยและเฉลียวฉลาดด้วยแล้วนั้นไม่ง่ายเลย  

 

 

อวี้ถังลอบถอนหายใจยาวเหยียด  

 

 

อาเสากลับมารายงานว่า “คุณชายรองสกุลหลี่สวมชุดต้าวผาวหังโจวสีเขียวใบไผ่ ปักปิ่นหยกไม้ไผ่สีขาว ผูกผ้ารัดเอวสีขาว ห้อยถุงผ้าหนึ่งคู่ ใบหนึ่งสีเขียวน้ำไหล ทรงถุงหอม อีกใบสีเขียวทะเลสาบ ทรงหรูอี้ ตอนนี้นั่งดื่มชากับสหายบัณฑิตอยู่ใต้ต้นสนตื่นรู้ขอรับ”  

 

 

ต้นสนตื่นรู้ตั้งอยู่ข้างหอคัมภีร์ฝั่งตะวันออกของวัดเจาหมิง เป็นสนโบราณต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านดั่งร่ม ร่มเงาแผ่ขยายออกไปหลายจั้ง บัณฑิตจำนวนมากในหลินอันชอบไปนั่งต่อกลอน ดื่มชา และเดินหมากที่นั่น พระสงฆ์ในวัดจึงจัดโต๊ะหิน ตั่งหินเตี้ย และเสื่อไม้ไผ่ไว้ใต้ต้นไม้ ให้เหล่าวิญญูชนได้เสพสำราญ  

 

 

อวี้ถังเอ่ยว่า “ตรงนั้นไกลจากน้ำตกสีปี่ที่เรานัดคุณชายจางเอาไว้มากหรือไม่?”  

 

 

น้ำตกสีปี่เป็นอีกสถานที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของวัดเจาหมิง ตั้งอยู่ที่หน้าผาหลังเขาของวัด มีลำธารเล็กๆ ไหลมาจากยอดเขาสายหนึ่ง น้ำตรงนั้นใสสะอาดหวานชื่นใจ เล่ากันว่าหากดื่มน้ำจากน้ำตกจะสามารถชำระจิต เพิ่มพูนปัญญา ชาวเมืองหลินอันหลายคนที่มีบุตร โดยเฉพาะบุตรชาย ล้วนมาที่นี่เพื่อรองน้ำหนึ่งเหยือกไปให้บุตรชายดื่ม ขอให้บุตรของตนดื่มแล้วมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ถึงขนาดที่ว่าบางคนปวดหัวตัวร้อน ก็มารองน้ำที่นี่กลับไปดื่มเช่นกัน คนที่มาไหว้พระที่วัดเจาหมิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ย่อมจะต้องมาที่น้ำตกนี้เพื่อดื่มน้ำสักอึกให้ได้  

 

 

อาเสาตอบอย่างหัวไวว่า “ข้าไปดูมาแล้วขอรับ พวกเราผ่านประตูทางออกมุ่งไปทางทิศตะวันตก พอถึงต้นสนตื่นรู้ก็เลี้ยวไปทางทิศเหนือ มีประตูทางเข้าอีกแห่งที่นำไปสู่หลังเขาวัดเจาหมิง พอออกจากประตูก็มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก มีเส้นทางสายหนึ่งเชื่อมไปถึงน้ำตกสีปี่ขอรับ”  

 

 

หรือพูดอีกอย่างว่า พวกนางต้องเดินอ้อมไปทางต้นสนตื่นรู้ทีหนึ่ง  

 

 

ถ้ามิใช่ตรงนั้นมีประตูเชื่อมต่อกับด้านหลังเขาวัดเจาหมิง หากมีคนมาพบเข้า พวกนางต้องบอกว่าตนเองหลงทางหรือ?  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงยกมือปิดหน้า  

 

 

สถานที่นัดพบกับคุณชายจางนั้น นางเป็นคนเลือกเอง  

 

 

อวี้ถังหัวเราะจนตัวงอ เร่งนางว่า “พวกเรารีบไปเถอะ ระวังว่าถ้าชักช้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก”  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงไม่มีเวลาเขินอาย รีบตอบว่า “พวกเรารีบไปกันเถอะ!”  

 

 

อวี้ถังจัดแต่งปอยผม สวมหมวกคลุมหน้าอีกรอบ แล้วเดินทางไปที่ต้นสนตื่นรู้กับหม่าซิ่วเหนียง  

 

 

ใต้ต้นสนตื่นรู้มีเสื่อไม้ไผ่ปูไว้เจ็ดแปดผืน บัณทิตอายุน้อยหลายคนกำลังนั่งขัดสมาธิสนทนากัน มีบ่าวรับใช้สิบกว่าคนอยู่ข้างๆ ไม่ก็คอยโบกพัด จุดเครื่องหอม และต้มน้ำชาให้…ยังมีบางคนที่คอยชมดูความสนุกด้วย  

 

 

ดูท่าศาสนิกชนของวัดเจาหมิงจะมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงพูดขึ้นมาด้วยความกังวลว่า “ทำอย่างไรดี? ต่อให้พวกเราเดินผ่านไปแบบนี้ พวกเขาก็ไม่หันมาสนใจเราหรอก!”  

 

 

อวี้ถังหัวเราะ  

 

 

มิใช่ฮูหยินหลี่บอกว่าหลี่จวิ้นตกหลุมรักนางรึ?  

 

 

เช่นนั้นเขาต้องรู้จักนางแน่ ทั้งยังต้องจดจำได้อย่างลึกซึ้งด้วย  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงถามอย่างระแวงว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”  

 

 

หากทำตามที่พวกนางวางแผนไว้ ขอเพียงพวกนางเดินผ่านไปเพื่อดึงดูดความสนใจของหวี่จวิ้นก็พอแล้ว  

 

 

อวี้ถังตอบว่า “พี่สาว เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะทำเป็นไปชมดูความสนุกแล้วแอบมองสักนิดก็ใช้ได้แล้ว”  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงเอ่ยอย่างลังเลว่า “ไม่ค่อยดีกระมัง?”  

 

 

อวี้ถังรู้ดีว่าเช่นนี้มีความเสี่ยง ดังนั้นจึงไม่อาจลากหม่าซิ่วเหนียงมาเกี่ยวด้วย  

 

 

นางยิ้ม ตอบว่า “ไม่เป็นไร เจ้าเชื่อข้าสิ ไม่มีผิดแน่” พูดจบ ไม่รอให้หม่าซิ่วเหนียงตั้งตัว ก็หันไปกำชับสี่เชวี่ยคำหนึ่งว่า “ดูแลคุณหนูของพวกเจ้าให้ดี” จากนั้นก็สาวเท้าไปทางต้นสนตื่นรู้  

 

 

หม่าซิ่วเหนียงคิดตะโกนเรียกนางกลับมา คิดไม่ถึงว่านางจะเดินเร็วถึงเพียงนี้ เพียงชั่วครู่ก็ห่างไปหลายจั้งแล้ว นางหันซ้ายขวามองคนรอบด้าน ได้แต่กดเสียงนั้นลงคอไป  

 

 

อวี้ถังแม้ส่วนสูงจะไม่มาก แต่ว่าเอวบางขาเรียว ฝีเท้าเบาแผ่ว งดงามอ่อนหวาน คนยังเดินไปไม่ถึงต้นสนตื่นรู้ ทว่าเหล่าวิญญูชนน้อยใหญ่ใต้ต้นสนตื่นรู้กลุ่มนั้นกลับสังเกตเห็นนางแล้ว แต่ละคนเบิกตาโตจ้องมาทางนาง  

 

 

เสียงสรวลเสใต้ต้นสนตื่นรู้พลันค่อยๆ เงียบลง  

 

 

———————————

Related

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset