ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 27 พลิกผัน

เวลาเพียงไม่นาน คนในตรอกชิงจู๋ต่างรู้เรื่องที่สกุลอวี้ใกล้จะดองกับสกุลเว่ยแล้ว  

 

 

เพียงแต่คนสกุลเฉินยังไม่ทันได้รับของขวัญอย่างเป็นทางการจากแม่สื่อสกุลเว่ย นายหญิงทังกลับมาถึงก่อนแล้ว  

 

 

นางโผล่เข้าประตูมาก็โอดครวญทันที “มิใช่ข้าบอกให้เจ้ารอก่อนหรือ? เหตุใดเจ้าถึงรีบร้อนจนทนรอไม่ไหวเล่า มองไปให้ทั่วเมืองหลินอันสิ มีใครเทียบกับสกุลหลี่ เทียบคุณชายรองสกุลหลี่ได้บ้าง เจ้าอย่าได้สายตาสั้นเช่นนี้ คนที่ยอมแต่งเข้าเป็นเขยชายให้เจ้า ยังมีที่ดีๆ อยู่อีกนะ”  

 

 

วาจานี้พูดจนคนสกุลเฉินเกิดโมโห นางจึงตอบกลับอย่างไม่เกรงใจบ้าง  

 

 

คนสกุลเฉินจิบน้ำชาอย่างไม่รีบร้อน แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ก็ต้องดูว่าเป็นคนเช่นไร บุตรสาวสกุลข้านับว่ามีวาสนาเช่นนี้เอง ต่อให้สกุลหลี่ดีเพียงไหน ก่อนหน้านี้ที่เจ้าให้พวกเรารอ ก็มิใช่เพราะต้องรอสกุลหลี่พิจารณาเรื่องคุณชายรองแต่งเข้ามาเป็นเขยชายให้พวกเรารึ? สกุลหลี่จริงใจได้ไม่มากเท่าสกุลเว่ย สกุลเว่ยแซงหน้าพวกเขาไปแล้ว นายหญิงทัง เหตุใดท่านจึงพูดว่าสกุลเว่ยเทียบไม่ได้เล่า?”  

 

 

นายหญิงทังสำลักทันที  

 

 

คนสกุลเฉินพูดต่ออีกว่า “นายหญิงทังคงยังไม่รู้กระมัง? พวกเราสองสกุลเตรียมว่าก่อนหน้าวันไหว้พระจันทร์จะต้องตกลงเรื่องงานแต่งให้เสร็จสรรพ ถึงเวลานั้นเชิญนายหญิงทังมาร่วมดื่มสุรามงคลด้วย ขอนายหญิงทังอย่าได้ปฏิเสธ”  

 

 

นายหญิงทังเดินหน้าบูดบึ้งออกไป  

 

 

คนสกุลเฉินร้องเสียง ‘เพ่ย’ ส่งตามหลังนางเสียงหนึ่ง แล้วสั่งกับป้าเฉินว่า “เอาถ้วยชาที่นางดื่มไปโยนทิ้งเสีย”  

 

 

ป้าเฉินหัวเราะพูดว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องเดือดดาล ต่อให้เป็นถ้วยชาเก่า แต่ก็ราคาหลายเหรียญ มิสู้เก็บเอาไว้ก่อน รอให้มีขอทานผ่านมาขอข้าวขอน้ำจากเรา ก็ยังใช้ใส่น้ำชาให้ได้นะเจ้าคะ”  

 

 

คนสกุลเฉินยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “จะให้ขอทานใช้ยังกลัวจะไปสกปรกผู้อื่นเลย”  

 

 

ป้าเฉินหัวเราะฮ่าๆ ออกมา  

 

 

คนสกุลเฉินไปควบคุมอวี้ถังปักรองเท้าโดยไม่พูดอะไรอีก  

 

 

—  

 

 

ฮูหยินหลี่ได้รับคำตอบจากนายหญิงทัง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ อยากจะตะโกนออกไปว่าช่างมันเสีย แต่พอคิดถึงบุตรชายคนเล็กที่ยังอาละวาดไม่เลิกกับแม่สามีที่เรียกนางไปตำหนิแล้วยกหนึ่ง จึงเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ออกไปว่า “สกุลอวี้นี้ ช่าง ช่างไม่รู้จักประมาณตน”  

 

 

นายหญิงทังคิดว่าเรื่องคงจบลงเช่นนี้แล้ว จึงถอนหายใจโล่งอก เวลาเดียวกันก็เอ่ยกับคนสกุลหลินด้วยน้ำเสียงเดือดดาลราวกับมีศัตรูคนเดียวกันว่า “ก็ใช่น่ะสิ คนสกุลเฉินผู้นั้น ช่างกำเริบเสิบสานจนไม่รู้ขอบเขตแล้ว ก็แค่คลอดบุตรสาวออกมาคนหนึ่ง อาศัยว่าตนเองมีรูปโฉมดีหน่อยก็ทำเป็นดูถูกอันนี้ มองข้ามอันนั้น ความงามหมดไปความรักย่อมจืดจาง นางก็ไม่กลัวว่าวันไหนเขยชายนั่นจะไม่เชื่อฟังขึ้นมาบ้าง…”  

 

 

ใครจะคิดว่าคนสกุลหลินกลับเอ่ยว่า “มิใช่รับอนุสักหน่อย? ความงามหมดไป ความรักจืดจางอะไรกัน?”  

 

 

นายหญิงทังหมดสนุก คิดว่าคุณหนูนายหญิงสกุลเผยยังไม่เคยหักหน้านางเช่นนี้เลย ในใจก็เริ่มไม่สบอารมณ์ ชวนคุยเป็นพิธีอีกสองสามคำก็ขอตัวกลับแล้ว  

 

 

—  

 

 

ส่วนทางเรือนสกุลอวี้ อวี้เหวินยังให้คนสองสามคนไปตามสืบ ล้วนบอกว่าสกุลเว่ยเป็นคนนิสัยดี ระหว่างครอบครัวด้วยกันต่างช่วยเหลือเกื้อกูล เว่ยเสี่ยวซานยิ่งเป็นคนเถรตรงกตัญญู อวี้เหวินถึงได้วางใจ แล้วปรึกษากับคนสกุลเฉินเรื่องงานแต่งของสองสกุล “ในเมื่อสกุลเว่ยให้เกียรติเราถึงเพียงนี้ พวกเราก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าสกุลเว่ย ไม่ต้องให้พวกเขาเอาอะไรมาหรอก ตอนที่ตบแต่งพวกเราก็วางเงินหนึ่งร้อยตำลึง หมูสองหัว สุราจินฮวาสิบไห ใบชาหนึ่งหาบ ข้าวสารหนึ่งหาบ เสื้อผ้าของสี่ฤดูเจ้าก็จัดเตรียมให้ดี สรุปก็คือ อย่าให้ผู้อื่นติฉินนินทาได้”  

 

 

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “หนึ่งร้อยตำลึงรึเจ้าคะ? ไหนจะต้องตกแต่งเรือนใหม่ เครื่องประดับศีรษะของอาถังก็ต้องเพิ่มอีกหน่อย…”  

 

 

จะให้ควักทั้งหมดออกมาในทีเดียวค่อนข้างจะติดขัดอยู่บ้าง  

 

 

อวี้เหวินหัวเราะ บอกว่า “ข้าคุยกับเถ้าแก่ถงไว้แล้ว เขาจะให้ข้ายืมหกสิบตำลึง ดอกเบี้ยหกส่วน หนึ่งปีคืนจนครบ เจ้าวางใจก็พอแล้ว เรื่องพวกนี้ข้าจัดการเอง เจ้าแค่เตรียมการให้ดีก็พอ”  

 

 

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างยินดีว่า “เถ้าแก่ถงครานี้ช่วยเราไว้มาก เขามีหลานแล้วหรือยังเจ้าคะ? ถ้ามีหลานตัวน้อยแล้ว ข้าจะทำเสื้อผ้าให้พวกเขาหลายๆ ชุด”  

 

 

“ยังหรอก!” อวี้เหวินตอบ “เขากำลังทุกข์ใจเรื่องนี้อยู่น่ะ! ถ้าเจ้ามีเวลา ก็ไปคุยกับนายหญิงถงหน่อย…แต่ก่อนเจ้าไม่ได้ไปวัดบ่อยหรือ? ลองดูสิว่าวัดไหนมีของศักดิ์สิทธิ์ แล้วให้นายหญิงถงลองไปกราบไหว้ดู”  

 

 

คนสกุลเฉินพูดอย่างลังเลว่า “พูดถึงเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องวัดหลิงอิ่นเจ้าค่ะ แต่วัดหลิงอิ่นค่อนข้างไกล…”  

 

 

อวี้เหวินหัวเราะ บอกว่า “จะเป็นไรไปเล่า รอให้อาถังของเราแต่งงานแล้ว เจ้าก็ว่างพอดี ไปพร้อมกับนายหญิงถงก็ได้ จะได้ไปเสี่ยงเซียมซีให้อาถังของเราด้วย”  

 

 

คนสกุลเฉินพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันตา ชวนอวี้เหวินคุยเรื่องอาหารเลิศรสของหังโจว “ถึงเวลานั้นท่านก็ไปด้วยกันนะเจ้าคะ อาถังก็ด้วย พวกเราสกุลอวี้ถือโอกาสไปเที่ยวเมืองหังโจวด้วยเลย”  

 

 

อวี้เหวินเห็นว่าภรรยาอารมณ์ดีเช่นนี้ ก็พยักหน้าหงึกหงัก ทั้งยังคิดวางแผนเป็นจริงเป็นจัง  

 

 

คิดไม่ถึงว่า เมื่อถึงเวลาที่แม่สื่อของสกุลเว่ยควรจะมาเยือนกลับไม่มีใครมา  

 

 

คนสกุลเฉินร้อนใจ คิดจะให้อาเสาไปสืบความ แต่ก็กลัวจะเผยพิรุธให้คนอื่นคิดว่าสกุลอวี้รีบร้อนแต่งลูกสาว จะกลายเป็นส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของอวี้ถัง จึงได้แต่เดินวนไปวนมาในเรือน ทั้งไม่อาจให้ผู้อื่นรู้เรื่องได้อีก  

 

 

ทว่าอวี้เหวินที่รออยู่ในเรือนกลับเริ่มโมโห คิดว่าสกุลเว่ยไม่รักษาสัจจะ จึงเริ่มคลางแคลงใจเรื่องงานหมั้นหมายที่มีกับสกุลเว่ย แต่เพราะกลัวคนสกุลเฉินร้อนใจจนล้มป่วย จึงได้ข่มอารมณ์แล้วเอ่ยปลอบใจนางว่า “พวกเขาบอกแล้วว่าจะมาวันนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเช้าหรือบ่าย เรือนสกุลเว่ยก็ห่างจากพวกเราไปตั้งสี่ห้าลี้ หากว่ามีเรื่องอะไรล่าช้าขึ้นมา ก็อาจจะมาถึงเรือนเราช่วงบ่าย หรือจะให้ผู้อื่นมาอาศัยกินข้าวเรือนเรารึ? คนชนบทนั้น รู้ว่าข้าวยากหมากแพง ไม่ยอมไปกินข้าวเรือนผู้อื่นง่ายๆ หรอก”  

 

 

คนสกุลเฉินฝืนยิ้มออกมาตอบเสียงอ่อยว่า “แม้จะพูดเช่นนั้น แต่มิใช่ควรเตรียมตัวแต่เช้าตรู่ แล้วออกจากบ้านตอนฟ้ายังไม่สางหรือ? เช่นนี้ยามบ่ายจึงจะถึง…”  

 

 

เห็นชัดว่ายังขาดความจริงใจ  

 

 

สองสามีภรรยากำลังพูดจากัน คนสกุลหวังที่มาช่วยรับรองแขกก็เข้ามา  

 

 

นางเห็นว่าในเรือนยังว่างโล่ง ก็สะดุ้งตกใจไปทีหนึ่ง รีบถามว่า “อ้าว? แม่สื่อสกุลเว่ยยังไม่มารึ?”  

 

 

คนสกุลเฉินส่ายหน้ากลัดกลุ้ม  

 

 

คนสกุลหวังทำหน้าตึงเครียดแล้วเอ่ยต่อ “นี่ไม่ใช่ปัญหา เดี๋ยวข้าให้อาเสาไปถามดู”  

 

 

คนสกุลเฉินรั้งมือคนสกุลหวังไว้ก่อนจะบอกว่า “รออีกสักหน่อยเถอะ! บางทีอาจเกิดเรื่องทำให้ล่าช้า”  

 

 

คนสกุลหวังได้แต่ยอมเชื่อฟัง แต่ในใจกลับยังไม่สบายใจ  

 

 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังต่ออวี้ถังได้  

 

 

นางตะลึงไป ก่อนที่ในใจจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย  

 

 

คิดว่าหากการหมั้นหมายล้มเลิกไปเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร นางยังสามารถใช้ชีวิตวัยเยาว์ต่อไปได้อีกหลายปี กลัวแต่ผู้ใหญ่ในเรือนจะไม่พอใจ อย่างไรคนก็ดูตัวกันแล้ว ทั้งคนในสกุลก็ชอบพอเว่ยเสี่ยวซานมาก  

 

 

นางไปหาคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวัง เห็นว่าทั้งสองฝืนยิ้มแข็งทื่อต่อหน้านาง ก็อดจะเกิดความรู้สึกผิดไม่ได้ เอ่ยว่า “ท่านแม่ ป้าสะใภ้ เรื่องดีๆ ย่อมมีอุปสรรค หากไม่มีงานหมั้นหมายของสกุลเว่ย พูดได้เพียงว่าวาสนาของพวกเราไม่มากพอ พวกท่านทั้งสองอย่าได้ปวดใจไปเลยเจ้าค่ะ”  

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้” คนสกุลเฉินดึงสติกลับมาแล้วปลอบใจอวี้ถัง “เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ต้องมาวุ่น เรื่องงานแต่งมารดาเจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร เจ้าไปคอยอยู่ในห้องแล้วปักรองเท้าให้เสร็จก็พอแล้ว” จากนั้นก็ไล่นางกลับเข้าห้องไปทำงานเย็บปักต่อ  

 

 

อวี้ถังได้แต่สั่งซวงเถาเอาไว้ หากว่ามีคนจากสกุลเว่ยมาก็ให้ไปแจ้งนางสักคำ นางจะได้รู้ว่างานหมั้นหมายของนางกับสกุลเว่ยเกิดข้อผิดพลาดใดกันแน่  

 

 

ซวงเถารับคำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง  

 

 

—  

 

 

คนของสกุลเว่ยมาถึงก็เลยยามอู่ [1] ไปแล้ว  

 

 

อีกทั้งเป็นบุตรชายคนโตเว่ยเสี่ยวหยวนมาพร้อมกับแม่สื่อ  

 

 

ทั้งสองมือไม้ว่างเปล่า สวมเสื้อสีเรียบ ตรงเอวผูกเชือกไว้ทุกข์  

 

 

หัวใจของคนสกุลอวี้เต้นตึกตักไปมา  

 

 

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังพึมพำกันอยู่ในห้องว่า “ใครในสกุลเว่ยตายไปอย่างนั้นรึ? สกุลนั้นเพิ่งจะคุยเรื่องหมั้นหมายกับอาถัง นางจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วยหรือไม่?”  

 

 

คนสกุลหวังตอบกลับในทันที “ไป ไปดูกัน!”  

 

 

ตามมารยาท เว่ยเสี่ยวหยวนจึงไปพบอวี้เหวินก่อน  

 

 

คนสกุลเฉิน คนสกุลหวังรวมถึงอวี้ถังที่เพิ่งได้ข่าว ต่างก็รอฟังเรื่องราวอยู่ด้านนอกห้องหนังสือของอวี้เหวิน  

 

 

“ท่านลุงอวี้” เว่ยเสี่ยวหยวนตาแดงก่ำ สีหน้ามีเพียงความโศกเศร้า “เป็นเพราะเสี่ยวซานของเราไร้วาสนากับคุณหนูอวี้ เสี่ยวซาน เสี่ยวซานเมื่อวานออกไปหาปลา แล้วไม่ได้กลับมาอีก ตอนเช้าพวกเราถึงรู้ว่า เขา เขาจมน้ำตายแล้ว!”  

 

 

“หา!” อวี้เหวินที่เตรียมทางลงเอาไว้ให้สกุลเว่ยมือสั่นเทาจนทำถ้วยชาตกพื้นดัง ‘เคร้ง’ น้ำชากระฉอกไปโดนรองเท้าหัวโตที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่  

 

 

“ได้อย่างไรเล่า?” เขาเดือดดาล “พวกเจ้าไม่รู้ว่าต้องหมั้นหมายหรอกรึ? เขายังวิ่งออกไปหาปลา? พวกเจ้าขาดแคลนเงินหรือไร?”  

 

 

ทว่าในใจเขากลับท่องคำว่า ‘ตายแล้ว ตายแล้ว’ อาถังของพวกเขาเพิ่งจะตกลงหมั้นหมายกับสกุลเว่ย เว่ยเสี่ยวซานก็มาตายไปเช่นนี้ เกรงว่าตราบาป ‘กินสามี’ ย่อมจะตกบนศีรษะอาถังของพวกเขาแน่  

 

 

สามคนที่แอบฟังอยู่ก็นิ่งอึ้งไปตามๆ กัน  

 

 

คำพูดของอวี้เหวินพูดได้บาดใจนัก เว่ยเสี่ยวหยวนเพิ่งจะสูญเสียน้องชาย หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงได้ทะเลาะกับอวี้เหวินไปแล้ว เว่ยเสี่ยวหยวนนั้นไม่เพียงไม่ทะเลาะกับอวี้เหวิน กระทั่งวาจารุนแรงก็ไม่มีสักประโยค ยังอดทนเอ่ยด้วยความปวดใจว่า “ท่านลุงอวี้ เรื่องนี้เป็นสกุลเราที่ทำผิด ดังนั้นที่ข้ามาในเวลานี้ ก็เพราะครึ่งวันก่อนหน้าได้หารือกับบิดาข้ามาเรียบร้อยแล้ว ด้วยกลัวจะทำให้คุณหนูอวี้เสื่อมเสียชื่อเสียง บิดาข้าคิดว่า หากมีคนถามถึงก็ให้บอกว่าคนที่คุณหนูอวี้ไปดูตัวคือเจ้าสาม แต่ด้วยเพราะเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้กับคนในครอบครัว เวลานี้จึงไม่เหมาะจะจัดงานมงคล ให้พวกท่านบอกไปว่ารอไม่ไหว แล้วค่อยหาคู่หมายที่ดีกว่าให้คุณหนูอวี้ เพราะตอนแรกก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่าจะหมั้นหมายกับเจ้าสองหรือเจ้าสามกันแน่”  

 

 

“หา!” เป็นเรื่องน่าตกใจอีกแล้ว  

 

 

อวี้เหวินตกตะลึงไปครึ่งวันก็ยังพูดอะไรไม่ออก  

 

 

คนด้านนอกสามคนที่แอบฟัง โดยเฉพาะคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังนั้น น้ำตาพลันร่วงหล่นลง  

 

 

“สกุลที่ประเสริฐเพียงนี้…เด็กที่ดีเช่นนี้…” คนสกุลเฉินแทบจะกลั้นเสียงสะอื้นไม่อยู่  

 

 

อวี้ถังนึกถึงสายตาชอบพอตอนที่เว่ยเสี่ยวซานมองตน ก็ร้องไห้เงียบๆ ตามไปด้วย  

 

 

อวี้เหวินกับเว่ยเสี่ยวหยวนได้ยินเสียงข้างนอกก็รีบออกมา เห็นว่าสามคนน้ำตาไหลเป็นสาย อวี้เหวินอดจะถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้ เขาค่อยๆ สงบสติลงแล้วกล่าวขอโทษเว่ยเสี่ยวหยวนว่า “เมื่อครู่เป็นข้าที่พูดจาขาดการไตร่ตรอง เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธลุงเลย ใครมาเจอเรื่องเยี่ยงนี้ ล้วนย่อมเจ็บปวดทั้งนั้น เจ้าก็กล่อมบิดามารดาเจ้า ให้ตัดอกตัดใจเสีย อีกเดี๋ยวข้าจะตามไปดูที่เรือนเจ้า ให้ญาติผู้พี่ของนางไปจุดธูปไหว้เว่ยเสี่ยวซานด้วย”  

 

 

สกุลเว่ยมีเหตุมีผลเพียงนี้ แม้จะเจ็บปวดจากการสูญเสียแต่ก็ไม่วายคำนึงถึงชื่อเสียงของอวี้ถัง พวกเขาควรจะรู้สึกซาบซึ้งจึงจะถูก  

 

 

เว่ยเสี่ยวหยวนก็ประหลาดใจมาก มองไปทางอวี้ถังที่ทางหนึ่งก็น้ำตานองหน้า ทางหนึ่งก็ปลอบพวกผู้ใหญ่ไปด้วยแล้ว ในใจพลันรู้สึกปวดแปลบ  

 

 

ความรักที่เหนือความหลงใหลและดื้อดึงไม่อาจอยู่ได้ยืนยาว  

 

 

เสี่ยวซานก็พอรู้ว่าคนสกุลอวี้ชอบพอตน ถึงเอาแต่ดีใจจนทำตัวไม่ถูก  

 

 

แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้  

 

 

หากว่าสองคนได้เป็นสามีภรรยากัน จะเป็นเรื่องที่ดีเพียงใด!  

 

 

ทว่า เสี่ยวซานไม่อยู่แล้ว สกุลอวี้กลับไม่หลีกลี้หนีห่าง คุณหนูอวี้ยังเสียน้ำตาให้เขา หากเสี่ยวซานที่อยู่ใต้ปรโลกษ์รับรู้เขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ  

 

 

เขาอยากจะปลอบใจอวี้ถังสักคำ อวี้เหวินกลับตบที่บ่าเขา แล้วเอ่ยเสียงเศร้าว่า “ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ ให้คนเรียกอาเสามาที ข้าจะไปเรือนเจ้ากับเจ้าด้วย”  

 

 

เว่ยเสี่ยวหยวนมองอวี้ถังอย่างลังเลทีหนึ่ง อยากจะพูดเรื่องน้องชายกับอวี้ถังสักหน่อย แต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อคิดได้ว่า ต่อให้อวี้ถังรู้แล้วอย่างไร? ก็แค่ปวดใจมากขึ้นเท่านั้น หากต่อไปใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขได้ก็พอแล้ว เมื่อใดมีเรื่องทุกข์ร้อน จะเอาแต่คิดถึงคู่หมายที่ไม่ได้หมั้นมีแต่จะทำให้นางไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบได้  

 

 

สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป หันไปคารวะสตรีสกุลอวี้อย่างเคร่งขรึม แล้วเดินออกประตูใหญ่ไป  

 

 

———————————————————  

 

 

 

 

 

[1] ยามอู่ เวลา 11:00-12:59 น.  

Related

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset