ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 29 เสี่ยวชวน

วันรุ่งขึ้น อวี้เหวินไม่รอให้คนของศาลาว่าการมาสอบความเรื่องคดีที่เรือนก็เร่งออกเดินทางไปหังโจวแล้ว  

 

 

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังไปส่งเขาที่ท่าเรือ  

 

 

คนที่เฝ้าโรงจำนำอยู่กลับเป็นเถ้าแก่น้อยถง มิใช่เถ้าแก่ถง  

 

 

อวี้เหวินอดจะถามไม่ได้ว่า “เถ้าแก่ถงไปไหนเสียเล่า?”  

 

 

เถ้าแก่น้อยถงหัวเราะแล้วบอกว่า “สกุลเผยมีโรงจำนำอยู่ที่หังโจวอีกหลายร้าน ทุกๆ ต้นเดือน ท่านพ่อจะต้องไปตรวจบัญชีขอรับ พอดีช่วงนี้เมืองหลินอันเกิดเรื่องมากมาย ท่านพ่อมัวยุ่งกับเรื่องทางนี้ ไม่ได้ไปที่หังโจวหลายเดือนแล้ว จึงถือโอกาสที่หลายวันนี้ไม่ค่อยยุ่งข้ามไปดูสักหน่อย”  

 

 

นายท่านใหญ่กับท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเสียชีวิตติดๆ กัน ก็มิแปลกที่เถ้าแก่ถงจะไม่ได้ออกไปไหน  

 

 

อวี้ถังคิดในใจเช่นนั้น แต่อวี้เหวินกลับตื่นเต้นดีใจยิ่ง เอ่ยว่า “สกุลเผยมีโรงจำนำที่หังโจวด้วยรึ? โรงจำนำตั้งอยู่ที่ไหน? ข้ากำลังจะไปหังโจวพอดี ถึงเวลานั้นจะไปกินข้าวกับเขาสักหน่อย” แล้วบอกอีกว่า “ถ้ารู้แต่แรกว่าเขาจะไปหังโจว ทุกคนไปพร้อมกันจะได้มีเพื่อนร่วมทางคงจะดี”  

 

 

เถ้าแก่น้อยถงสั่งคนตระเตรียมน้ำชาให้คนสกุลอวี้ดื่มทั้งยังเอ่ยอย่างเป็นห่วงว่า “นายท่านอวี้จะไปทำอะไรที่หังโจวหรือขอรับ? โรงจำนำสกุลเผยตั้งอยู่ที่ฝ่างเหรินหลี่ข้างแม่น้ำซือเยา แถบๆ นั้น เป็นร้านค้าห้าคูหา มีป้ายธงสูงเท่าตัวคน มองเห็นได้แต่ไกลๆ บิดาข้าจะยังอยู่ที่นั่นอีกสองสามวัน ข้างโรงจำนำยังมีร้านหนังสือหลายร้าน มีโรงจำนำของเก่าแก่โบราณ นายท่านอวี้หากได้ไป สามารถไปเดินเลือกซื้อกับบิดาข้าได้”  

 

 

อวี้เหวินหน้านิ่วคิ้วขมวด  

 

 

เขาก็อยากจะเดินซื้ออยู่หรอกนะ แต่ว่าหลู่ซิ่นคงรอไม่ไหวน่ะสิ!  

 

 

เขาเอ่ยว่า “คงได้แต่รอนัดแนะกับบิดาเจ้ารอบหน้าแล้ว”  

 

 

สองคนพูดคุยกันไป เรือที่จะไปหังโจวก็มาเทียบท่าพอดี  

 

 

อวี้ถังกับมารดาส่งอวี้เหวินขึ้นเรือด้วยตนเอง  

 

 

เรือยังไม่ทันออกจากท่า ก็มีเรือลำใหญ่หรูหราลำหนึ่งมาเทียบท่าข้างเรือโดยสาร  

 

 

ทุกคนต่างชี้ไม้ชี้มือหันไปมอง  

 

 

อวี้ถังเห็นบุรุษชุดเขียวรูปร่างผอมสูงพาคนเร่งรุดเข้าไปหา สั่งการให้คนรีบวางไม้สะพานให้เรียบร้อย  

 

 

มีคนกระซิบกระซาบอยู่ด้านข้างว่า “เห็นแล้วหรือไม่ นั่นก็คือพ่อบ้านใหญ่สกุลเผย เผยหม่าน”  

 

 

“จริงด้วย จริงด้วย!” มีคนพูดต่อว่า “เดินขยับไปหน่อย ให้ข้าดูบ้าง”  

 

 

อวี้ถังประหลาดใจเล็กน้อย เขย่งเท้ามองดูอยู่หลายที  

 

 

คนที่ชื่อเผยหม่านอายุได้ประมาณยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด ดวงหน้าผ่ายผอม สายตามุ่งมั่น สีหน้าเคร่งขรึม ดูท่าไม่ใช่คนที่คุยด้วยได้ง่ายเลย  

 

 

อวี้ถังเม้มปาก  

 

 

บ่าวก็เหมือนกับนาย  

 

 

มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนที่นายท่านสามชอบใช้งาน  

 

 

ก็เหมือนเขานั่นแหละ!  

 

 

นางลอบเสียดสีในใจ จากนั้นก็เห็นบุรุษในชุดผ้าแพรสีขาวผู้หนึ่งเดินลงมาจากเรือลำใหญ่ อายุสามสิบน่าจะได้ เขาไว้หนวดเหนือริมฝีปาก ในมือถือพัดจินชวนสีดำเล่มหนึ่ง ท่วงท่าเย่อหยิ่งยิ่งนัก พอลงจากเรือก็ทำหน้าตึงใส่เผยหม่านทันที แล้วพูดว่า “สยากวงเล่า? ทำไมเขาไม่มารอรับข้า? ข้ามาตั้งไกลจากเมืองหลวงเพื่อมาหาเขาโดยเฉพาะ! เขาไม่ไปรอรับข้าที่เมืองหังโจวก็แล้วไปเถอะ นี่ข้ามาถึงท่าเรือเสาซีแล้ว เขาก็ยังไม่มารับข้าอีกรึ นี่คือการต้อนรับแขกของสกุลเผยหรืออย่างไร?”  

 

 

เผยหม่านวางตัวนอบน้อมอย่างยิ่ง เดินเข้าไปคารวะคนผู้นั้นด้วยความเคารพ เรียกคนผู้นั้นว่า ‘โจวจ้วงหยวน’ แล้วเอ่ยว่า “นายท่านสามถูกธุระในเรือนรัดตัว ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของท่านกับนายท่านสาม นายท่านสามจะไม่มารอรับท่านได้อย่างไรขอรับ?”  

 

 

โจวจ้วงหยวนร้องเสียงเหอะสองทีแล้วบ่นว่า “ข้าบอกให้เขาไม่ต้องสนใจเรื่องจุกจิกพวกนั้น บ้านนอกคอกนาเช่นนี้ มีอะไรให้รั้งอยู่นานกัน เขาก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้เป็นอย่างไร อากาศดีๆ เช่นนี้กลับต้องมาวุ่นวายธุระในเรือน คิดแล้วข้ายังปวดใจแทนเขาเลย”  

 

 

เผยหม่านยิ้มตามแต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ  

 

 

โจวจ้วงหยวนคงไม่ได้หวังให้เผยหม่ายตอบคำแต่แรก หันไปโบกมือให้เขาบอกว่า “ไปเถอะ! เกี้ยวอยู่ที่ไหน? สยากวงรู้จักนิสัยข้าดี ในเกี้ยวอบเครื่องหอมอะไรไว้?”  

 

 

เผยหม่านรีบตอบว่า “เรื่องนี้นายท่านสามสั่งการไว้ด้วยตนเอง ต้องเป็นกลิ่นดอกสาลี่ขาวที่นายท่านสามทำด้วยตนเองขอรับ”  

 

 

โจวจ้วงหยวนได้ยินก็หันไปมองเผยหม่านทีหนึ่งแล้วหัวเราะออกมา “มิน่าสยากวงถึงเลือกเจ้าให้ทำงานข้างกาย คนอย่างเจ้าที่โกหกไม่กะพริบตา ซ้ำไม่ทำให้คนชังน้ำหน้าได้ ก็เหมาะสมกับหน้าที่นี้แล้ว…นายท่านสามของเจ้า แต่ไรก็ไม่เคยใช้เครื่องหอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลงมือทำด้วยตนเอง”  

 

 

เผยหม่านนับว่าเป็นคนพูดจาเก่งจึงหัวเราะและเอ่ยตอบ “ทุกคนต่างพูดว่าท่านกับนายท่านสามเป็นมิตรแท้ที่คอยทัดทานกัน คงมีเพียงท่านที่เข้าใจนายท่านสามของพวกเราขอรับ”  

 

 

แม้ตอนที่เขายิ้มก็ยังมีกระแสเย็นชาหลายส่วน ไม่ได้ดูสนิทสนมมากนัก  

 

 

ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้โจวจ้วงหยวนพอใจ โจวจ้วงหยวนไม่เรื่องมากอีก เขาคลี่พัดดัง ‘พรึบ’ แล้วโบกไปมาสองทีและสั่งว่า “นำทางไปสิ”  

 

 

เผยหม่านรีบทำไม้ทำมือบอกให้ ‘เชิญเขาเดินนำ’ แล้วพาโจวจ้วงหยวนไปยังเกี้ยวซึ่งจอดไว้ด้านข้างท่าเรือ  

 

 

บ่าวรับใช้หามเอาหีบลังลงจากเรือมาเป็นขบวน  

 

 

อวี้ถังหันไปมองทีหนึ่ง เห็นว่าหีบลังมีมากกว่าสิบ แต่ละลังล้วนทาน้ำมันต้นถงอย่างดี มันเป็นเงาจนแทบจะส่องเห็นหน้าคนได้ สี่มุมหุ้มด้วยแผ่นทองเหลืองตีลายเมฆมงคล ยังมีสตรีอีกเจ็ดแปดคนที่สวมชุดสีเรียบ ใส่หมวกคลุมหน้ายืนอยู่ข้างเรือ ดูท่าคงกำลังรอลงจากเรือ แต่ไม่รู้ว่าเป็นสาวใช้หรือว่าสตรีในเรือนของโจวจ้วงหยวนผู้นั้นกันแน่  

 

 

คนรอบข้างที่มองอยู่พลันระเบิดเสียงซุบซิบนินทาทันที  

 

 

“นี่คงเป็นสหายสนิทของนายท่านสามกระมัง?”  

 

 

“มาจากเมืองหลวง ทั้งยังเป็นจ้วงหยวน [1] ด้วย นายท่านสามสกุลเผยช่างมีหน้ามีตายิ่ง”  

 

 

“ดูจากความฟุ่มเฟือยหรูหราแล้ว จ้วงหยวนท่านนี้ต้องเกิดในสกุลใหญ่โตเป็นแน่”  

 

 

อวี้ถังกลับกำลังคิดว่า ที่แท้นายท่านสามก็มีชื่อรองว่า ‘สยากวง’  

 

 

เป็น ‘รักล้ำฝังดวงใจ เหตุไฉนไร้วาจา’ รึ? หรือว่า ‘เนิ่นนานยาวพันปี ไร้คนดีคลายเศร้าหมอง’  

 

 

หรือว่าจะเป็น ‘สีเขาเขียวครึ้มนอกรั้วแดง แสงไกลกระทบลอดสาดยอดสน’?  

 

 

ทว่า นายท่านสามสกุลเผยสง่าเหมือนดั่งต้นสนต้นไผ่ เจิดจ้าดั่งแสงไฟดั่งไข่มุกโดดเด่นเหนือผู้ใด  

 

 

ทั้งยังมีโจวจ้วงหยวนคนนั้นอีก  

 

 

ชาติก่อนนางไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่รู้ว่าเขาเป็นจ้วงหยวนจากสำนักใด แต่ท่าทางหยิ่งผยองวางโตเช่นนี้ก็เหมือนกันกับนายท่านสามอย่างกับอะไรดี สองคนสมแล้วที่เป็นสหายกัน  

 

 

ขณะที่อวี้ถังครุ่นคิด เรือโดยสารของอวี้เหวินก็ออกจากท่าเรือไปแล้ว  

 

 

นางกับมารดาโบกมือให้กับบิดา กระทั่งเรือเคลื่อนออกไปไกลแล้ว นางถึงได้พยุงมารดาไปที่โรงจำนำแล้วบอกลาเถ้าแก่ถงน้อยก่อนจะขอตัวกลับบ้าน  

 

 

โจวจ้วงหยวนกับเผยหม่านนั้นไม่เห็นเงาแล้ว ทิ้งผู้ดูแลเอาไว้สองสามคนคอยสั่งการบ่าวรับใช้ให้เคลื่อนย้ายหีบ  

 

 

หีบใบสูงกองอยู่บนรถม้าสองคันแต่ก็ยังใส่ได้ไม่หมด  

 

 

อวี้ถังอดจะกัดลิ้นเล่นไม่ได้  

 

 

แค่มาเป็นแขกกลับนำของมามากมายปานนี้ มองออกทันทีว่าคนผู้นี้ต้องเรื่องมากเป็นที่สุด  

 

 

นางอดจะอยากรู้ฐานะความเป็นมาของโจวจ้วงหยวนผู้นี้ไม่ได้  

 

 

พอกลับถึงบ้าน อาเสาอุ้มสุนัขสีน้ำตาลกลับมาตัวหนึ่งตามคำสั่งของอวี้เหวิน  

 

 

ตัวมันเล็กนิดเดียว ขนก็นุ่มนิ่ม ดวงตาสีดำสนิท ทำให้คนที่เห็นรู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก  

 

 

อวี้ถังนั่งยองๆ ลงไปลูบหัวสุนัขน้อย มันที่อยู่ในฝ่ามือนางก็ร้องออกมาเบาๆ  

 

 

หัวใจของนางละลายทันที ถามอาเสาว่า “ไปจับมาจากไหน? ตั้งชื่อแล้วหรือยัง?”  

 

 

อาเสาหัวเราะ “จับมาจากบ้านชาวนาที่บ้านเกิดข้าขอรับ ชื่อว่าซานหวง”  

 

 

อวี้ถังร้อง “เอ๊ะ” ด้วยความสงสัย “ทำไมถึงชื่อว่าซานหวงล่ะ?”  

 

 

อาเสาหัวเราะบอกว่า “เห็นว่าคลอดคอกหนึ่งออกมาตั้งสี่ตัว มันเป็นตัวที่สาม จึงเรียกว่าซานหวงขอรับ”  

 

 

อวี้ถังหัวเราะ “แต่ที่เรือนนี้มีมันแค่ตัวเดียวนี่นา เรียกเสี่ยวหวงก็พอแล้ว”  

 

 

ทุกคนต่างร้องว่า “ดี”  

 

 

ป้าเฉินคลุกข้าวกับน้ำต้มกระดูกให้มันกิน  

 

 

เสี่ยวหวงก็กินไปพลางหอบแฮกๆ  

 

 

คนสกุลเฉินเห็นว่าน่าสนุกจึงเดินเข้ามาลูบหัวมันบ้าง  

 

 

อวี้ถังนึกได้ว่าในห้องนางยังมีเนื้อแผ่นที่หม่าซิ่วเหนียงมอบให้ ก็วิ่งกลับห้องไปหยิบมา แต่กลับได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากประตูหลังเสียก่อน  

 

 

คนในเรือนต่างอยู่ที่ลานด้านหน้า หรือว่าขโมยขึ้นเรือนอีกแล้ว?  

 

 

อวี้ถังครุ่นคิด มือคว้าท่อนไม้ที่ใช้ดาลประตูมาถือไว้แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ!”  

 

 

ประตูหลังทางนั้นไม่เพียงไม่เงียบเสียงลง กลับมีเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้นมาอีก มีคนโยนก้อนหินเข้ามาที่เรือนหลัง  

 

 

นี่มิใช่ขโมยแล้ว แต่มีคนไม่พอใจสกุลนางต่างหาก  

 

 

อวี้ถังเดือดดาลมาก  

 

 

สกุลนางแต่ไรก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นเป็นอย่างดี ระหว่างเพื่อนบ้านก็ไม่เคยมีปากเสียง แล้วยังขโมยที่่เข้ามารอบก่อน ก็หยิบเอาแค่ของกินไปเท่านั้น ไม่แน่อาจมีใครทำเรื่องตลกร้ายนี้ขึ้นมาก็ได้  

 

 

นางสองก้าวเดินสามก้าววิ่งไปผลักประตูหลังให้เปิดออก เห็นเด็กผู้ชายชุดสีฟ้าอ่อนกำลังวิ่งออกไปจากหลังเรือนอย่างรวดเร็ว  

 

 

เพราะว่ายังเช้าอยู่มาก ทั้งเป็นด้านหลังตรอกจึงไม่มีใครอื่นอยู่เลย อวี้ถังเห็นคนได้อย่างชัดเจน นางหยุดตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วพึมพำด้วยเสียงมึนงงว่า “เว่ยเสี่ยวชวน!”  

 

 

ไม่ผิดแน่ เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือเว่ยเสี่ยวชวนที่นางเจอตอนนัดดูตัวครั้งก่อน  

 

 

เขามาทำอะไรที่ด้านหลังเรือนของนาง? ทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกเจอตัวแล้ว แต่ก็ยังขว้างก้อนหินใส่ประตูหลังอีก? ราวกับว่าไม่พอใจอะไรบางอย่าง  

 

 

นางนึกถึงท่าทางครั้งก่อนที่เขาใช้กิ่งไม้ฟาดต้นหญ้าข้างกายเล่น  

 

 

นั่นก็เหมือนโมโหอะไรมา อารมณ์ไม่พอใจอย่างที่สุด  

 

 

สกุลนางไปหาเรื่องอะไรเขาเข้าอย่างนั้นรึ?  

 

 

พอคิดถึงเว่ยเสี่ยวซาน นางก็ค่อยๆ เรียกอาเสาไปสืบความ “บุตรคนสุดท้องของสกุลเว่ย ชื่อเว่ยเสี่ยวชวน เจ้าลองสืบหน่อยว่าช่วงนี้เขาทำอะไรอยู่?”  

 

 

อาเสาเคยตามอวี้เหวินไปที่เรือนสกุลเว่ย ตอบว่า “น่าจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาประจำอำเภออยู่นะขอรับ? ข้าได้ยินคนสกุลเว่ยพูดว่า ตอนที่พวกพี่ชายของเขาเริ่มเรียนเขาก็จะคอยฟังอยู่ข้างๆ อายุสามขวบก็รู้จักตัวอักษรแล้ว อายุห้าขวบก็ท่อง ‘เสี่ยวจิง’ ได้ทั้งเล่ม แม้อายุจะน้อย แต่ก็เข้าสำนักศึกษาได้อย่างรวดเร็ว คิดว่าปีหน้าก็คงเข้าร่วมสนามสอบแล้ว”  

 

 

อวี้ถังประหลาดใจมาก ยิ่งเป็นห่วงว่าใช่เกิดเรื่องอะไรกับเด็กคนนี้หรือไม่ ตามหลักแล้ว เด็กที่เฉลียดฉลาดปานนั้น ไม่ควรมีท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นนี้ถึงจะถูก  

 

 

อาเสารับคำแล้วจากไป ไม่ทันไรก็กลับมาตอบนางว่า ตอนนี้เว่ยเสี่ยวชวนอยู่ที่สำนักศึกษาประจำอำเภออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย!  

 

 

อวี้ถังใคร่ครวญดูแล้วให้ซวงเถาหยิบขนมมาหลายกล่อง พาอาเสามุ่งไปที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ  

 

 

เพราะว่าให้คนไปสอบถามจากอาจารย์สำนักศึกษา แม้เว่ยเสี่ยวชวนจะไม่ยินยอม แต่ก็ต้องเดินหน้าตึงออกมาจากห้องเรียน ถามอวี้ถังเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหาข้ามีเรื่องอะไร? พวกเราสองสกุลไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว!”  

 

 

อวี้ถังยิ่งเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีปัญหาอะไรซ่อนอยู่แน่  

 

 

นางเอ่ยว่า “เจ้าอย่าบอกนะว่าจะปฏิเสธว่าคนที่ขว้างหินใส่เรือนข้าเมื่อเช้าไม่ใช่เจ้า ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ มีคำก็พูดออกมา มีปัญหาก็ถามออกไป มุดหัวมุดหางเช่นนี้ นับเป็นผู้ชายประสาอะไรได้?”  

 

 

อย่างไรเด็กก็ยังเป็นเด็ก เว่ยเสี่ยวชวนได้ยินก็ร้อนรนจนตาแดงก่ำร้องเสียงดังว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าไปหาเจ้าอย่างนั้นรึ เป็นพี่สี่ที่ห้ามข้าเอาไว้ ไม่ให้ข้าไปหาเจ้า เจ้ามันเป็นนางจิ้งจอก เป็นต้นเหตุของหายนะ พี่รองข้าว่ายน้ำเก่งจะตาย ก็เพราะว่าต้องแต่งกับเจ้านั่นแหละ ถึงได้ไปจับปลาที่แม่น้ำ สุดท้ายเลยต้องจมน้ำตาย ทั้งยังพี่สามอีก พอได้ยินว่าเจ้าสะสวย แต่สกุลเจ้ากลับเลือกพี่รองเป็นเขยชาย เขาจึงต้องทะเลาะกับพี่รอง ตอนนี้พี่รองข้าไม่อยู่แล้ว พี่สามก็เสียใจหนัก คิดว่าระหว่างพี่น้องไม่อาจเงยหน้ามองใครได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พี่รองกับพี่สามข้าจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร!”  

 

 

อวี้ถังตะลึงงัน  

 

 

“เจ้าไม่ต้องมาหาข้าอีก! ถ้าเจ้ามา ข้าจะเอาเรื่องงามหน้าที่เจ้าเคยทำไปบอกคนอื่น!” เว่ยเสี่ยวชวนตะโกนใส่นาง ก่อนจะวิ่งหายลับไป  

 

 

อวี้ถังเพียงรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง คล้ายจะยืนไม่อยู่  

 

 

ชาติก่อน คนสกุลหลินด่าว่านางเป็นนางจิ้งจอก นางก็แค่แสยะยิ้มอยู่ในใจ ตอนนี้ เว่ยเสี่ยวชวนด่าทอนาง นางกลับคิดไปถึงสายตาคู่นั้นของเว่ยเสี่ยวซานที่มองนางด้วยความชื่นชอบและตกตะลึง ดวงตาที่พราวระยับดั่งดวงดาวคู่นั้น  

 

 

น้ำตาของนางพลันไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่  

 

 

————————————————————-  

 

 

 

 

 

[1] จ้วงหยวน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับหนึ่งในการสอบจิ้นซื่อ โดยอันดับที่สองเรียกว่าปั่งเหยี่ยน และอันดับสามเรียกว่า ทั่นฮวา  

Related

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset