ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 41 ขายหน้า

ยามบ่าย อวี้หย่วนกลับมา ทำตามแผนได้อย่างราบรื่น…ตอนนี้ก็ต้องรอดูทางอาจารย์เฉียนว่าพบอะไรบ้างหรือไม่เท่านั้น

อวี้เหวินรอจนร้อนใจ จึงเล่นหมากรุกฆ่าเวลากับเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยม อวี้หย่วนก็นั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง ทักทายอวี้เหวิน ก่อนจะไปเดินเล่นข้างนอก อยากดูว่ากิจการใดรุ่งเรืองในเมืองหังโจว ทุกคนทำการค้าขายอะไรกันบ้าง ทั้งดำเนินการอย่างไร

อวี้ถังทำปิ่นดอกไม้อยู่ในห้อง

มีคนเข้ามา “นายท่านอวี้อยู่ที่นี่หรือไม่?”

อวี้เหวินเงยศีรษะขึ้น “ผู้ใดมาหาข้ารึ!”

ผู้ที่มาอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ปากแดงฟันขาว แต่งกายคล้ายบ่าวติดตาม เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นบ่าวของนายท่านโจว นายท่านของพวกเราให้ข้ามาดูว่าท่านอยู่โรงเตี๊ยมหรือไม่” ขณะที่พูด ก็วิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น

อวี้เหวินกล่าวอย่างสงสัย “นายท่านโจว? นายท่านโจวคนใดกัน”

เขาพูดไม่ทันจบ ก็เห็นบ่าวผู้นั้นเดินเข้ามาพร้อมกับโจวจื่อจินและเผยเยี่ยน

อวี้เหวินหัวเราะขึ้นมา รีบลุกขึ้นไปต้อนรับ ประสานมือคารวะ “ข้าก็คิดว่าใคร? ที่แท้คือโจวจ้วงหยวน ท่านมาได้อย่างไรกัน? มีเรื่องอะไรกับข้างั้นหรือ?” ก่อนจะคารวะเผยเยี่ยนเช่นกัน

เผยเยี่ยนยังคงมีท่าทีเยือกเย็น ผงกศีรษะไปทางอวี้เหวินอย่างเรียบนิ่ง

โจวจื่อจินกล่าว “ได้ยินว่าลูกสาวของท่านไม่สบาย? พวกเราควรมาเยี่ยมเมื่อวาน แต่เมื่อวานข้านัดคนผู้หนึ่งไปกินข้าวกลางวัน กินกันจนถึงบ่าย ข้าก็ดื่มจนเมามาย ไม่อาจเสียมารยาทจึงไม่ได้เข้ามา เป็นอย่างไร ลูกสาวท่านดีขึ้นหรือยัง? มีอะไรให้พวกเราช่วยหรือไม่?”

อวี้เหวินได้ยินก็ซาบซึ้งใจ “ลูกของข้ากินของซี้ซั้ว ได้นำป้ายชื่อของนายท่านสามไปเชิญหมอหลวงหวังมาดูแล้ว กล่าวว่าไม่เป็นอะไร แค่ให้อดอาหารเท่านั้น ทำให้ท่านทั้งสองเป็นห่วงแล้ว ข้าเตรียมจะไปขอบคุณที่สกุลเผยอีกสองวัน คาดไม่ถึงว่าท่านทั้งสองจะเข้ามาก่อน รู้สึกผิดจริงๆ” พูดจบ ก็คารวะขอบคุณเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนไม่ได้กล่าวอะไร รับการคารวะจากอวี้เหวิน

อวี้เหวินกล่าว “โจวจ้วงหยวนและนายท่านเผยมีธุระที่ใดหรือไม่? มิสู้ให้ข้าเป็นเจ้ามือ หาแผงลอยไม่ก็ร้านอาหารใกล้ๆ สักแห่ง ข้าจะเลี้ยงสุราพวกท่านทั้งสองเสียหน่อย”

โจวจื่อจินตาใสกระจ่าง เห็นได้ชัดว่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างกลับชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อนเขา “ไม่เป็นไร ยามนี้ท่านคงจะมีธุระอีกมาก ภายหลังมีโอกาสค่อยไปร่วมดื่มด้วยกันเถิด!”

อวี้เหวินเพียงคิดว่าเขาเกรงใจ น้ำเสียงก็ยิ่งจริงใจขึ้นมา “เรื่องของภายหลัง ภายหลังพวกเราพบก็ค่อยว่ากันเถิด พวกท่านมาเยี่ยมลูกสาวของข้า ในใจข้าดีใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไร! หากไปเช่นนี้ ท่านจะให้ข้าคิดอย่างไร? โดยเฉพาะนายท่านเผย เมื่อวานหากไม่ใช่ป้ายชื่อนั้นของท่าน ลูกสาวของข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะประสบพบเจอเรื่องอันใด!”

“นั่นเป็นความบังเอิญ!” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างเรียบเย็น ดึงดันจะไป

โจวจื่อจินกลับอยากอยู่ต่อ แต่เห็นท่าทีของเผยเยี่ยน จึงทำได้เพียงออกหน้า “ไม่ได้เกรงใจกับท่านจริงๆ วันนี้พวกเราเพียงเข้ามาดูลูกสาวของท่าน ในเมื่อลูกสาวของท่านไม่เป็นอะไร พวกเราก็คงต้องบอกลาแล้ว”

แน่นอนว่าอวี้เหวินไม่อาจปล่อยให้พวกเขาไปเช่นนี้ได้จึงรั้งทั้งสองคนไว้ไม่ปล่อย

โจวจื่อจินจนใจ “ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ไว้หน้าท่าน จริงๆ แล้ว สยากวง เขา…ลูกสาวท่านกินจนปวดท้อง เพราะเหตุนี้เขาจึงขัดขวางข้า ไม่ให้ข้าไปตลาดกลางคืนตรงถนนเสี่ยวเหอ…”

ท่าทีเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

เพียงแต่เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดัง ‘ปัง’ มาจากห้องพักชั้นสอง

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง

เห็นเพียงประตูห้องที่ปิดสนิท

อวี้เหวินครุ่นคิด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น่าจะลูกสาวของข้า ขอโทษจริงๆ!”

“ไม่หรอก ไม่หรอก!” โจวจื่อจินยังคงมีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า

แววตาของเผยเยี่ยนตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

อวี้ถังที่อยู่ในห้องหน้าแดงก่ำ กัดเล็บมือวนอยู่อย่างนั้น

ไม่ใช่ว่าเผยเยี่ยนมาพบผู้ตรวจการอะไรนั่นหรอกหรือ? วิ่งมาที่นี่ทำไมกัน? สะพานเหมยเจียกับโรงเตี๊ยมหรูอี้นั้นอยู่กันแทบจะคนละทิศละทาง

แต่ว่า โรงรับจำนำสกุลเผยอยู่ที่นี่

หรือเขามาทำธุระที่โรงรับจำนำสกุลเผย พอผ่านมาก็ถูกโจวจ้วงหยวนลากมาด้วย?

ไฉนนางจึงไม่ได้นึกถึงจุดนี้!

ช่างขายหน้าเหลือเกิน!

กินอาหารมั่วซั่วจนปวดท้อง

นี่ก็ทำให้เผยเยี่ยนหัวเราะได้ทั้งชีวิตเลยกระมัง?

อวี้ถังรู้ว่าตัวเองไม่มีหน้าจะไปพบผู้คนแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อครู่…ได้ยินคนเรียกบิดาของนาง ก่อนจะวิ่งออกไป ผลปรากฏว่านางเห็นเผยเยี่ยนจึงหุนหันไปชั่วครู่ ยามที่ปิดประตูจึงลืมนึกถึงความเหมาะสม เกิดเสียงดังขึ้นมา…นางอยากจะมุดดินหนีจริงๆ!

อวี้ถังรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นที่สุด จู่ๆ ก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองยังอยู่ในช่วงอดอาหาร

เป็นเช่นนี้นางก็สามารถหลบอยู่ในห้องไม่ออกไปได้

อวี้ถังรู้สึกโล่งใจขึ้นมา คิดว่าตัวเองควรเอาปิ่นดอกไม้ออกมาทำดีๆ หากทำได้เร็ว ไม่แน่ว่ายังอาจจะทำให้ท่านแม่ได้อีกหนึ่งอัน

แต่ถือเข็มไว้ในมือ ผ่านไปพักใหญ่นางกลับไม่รู้ว่าควรจะเย็บที่ใด ในหัวสับสนวุ่นวายไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แม้จะรู้ดีว่าตัวเองทำเช่นนี้ไม่ถูก กระนั้นกลับทำให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาไม่ได้ คิดว่าใครไม่แอบขี้เกียจบ้างกัน นางรออีกเดี๋ยวค่อยเร่งทำก็คงไม่สาย

คิดได้เช่นนี้ รอจนยามที่นางดึงสติกลับมา ตะวันก็คล้อยแล้ว เถ้าแก่เนี้ยยกน้ำอุ่นเข้ามาให้นาง

เวลานี้อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองหิวจนแทบนั่งตัวตรงไม่ได้

นางกล่าวอย่างเร่งรีบ “ท่านพ่อข้าเล่า?”

“เล่นหมากรุกกับสามีข้าอยู่ด้านล่าง” เถ้าแก่เนี้ยยิ้มหวาน กล่าวอย่างอิจฉา “เมื่อวานยามที่ข้าเห็นเถ้าแก่รองถงถือป้ายชื่อของนายท่านเผยเข้ามาก็คิดไปทีหนึ่งแล้ว สกุลพวกเจ้าและสกุลเผยช่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คาดไม่ถึงว่าวันนี้นายท่านเผยจะมาเยี่ยมไข้ด้วยตัวเอง สกุลของพวกเจ้าก็คงเป็นคนที่มีหน้ามีตาในหลินอันกระมัง? นายท่านอวี้กลับดูสมถะเรียบง่าย สมแล้วที่เป็นสกุลบัณฑิต ทำการอันใดก็อ่อนน้อมสุภาพ”

อวี้ถังชะงักไป

บิดาของนางไม่ได้เชิญเผยเยี่ยนไปกินข้าวหรอกรึ?

นางอดถามไม่ได้ “ท่าน ท่านก็รู้จักนายท่านสามสกุลเผยหรือ?”

“รู้จักสิ จะไม่รู้จักได้อย่างไร!” เถ้าแก่เนี้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนแถวนี้ใครจะไม่รู้จักนายท่านสามกัน! พวกเราล้วนพึ่งพาอาศัยสกุลเผยในการทำมาหากิน โรงเตี๊ยมนี้ของพวกเราก็เช่าของสกุลเผยมาเช่นกัน ถนนเส้นนั้นที่เจ้าไปซื้อปิ่นดอกไม้ไข่มุกก็เป็นของสกุลเผยเช่นกัน แต่ว่า นายท่านสามกลับเป็นครั้งแรกที่มาหาพวกเราที่นี่ นายท่านสามหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา! ครั้งที่แล้วพบเขา ท่านผู้เฒ่ายังอยู่ในช่วงอายุที่รุ่งโรจน์ เขาก็อายุเพียงสิบสามสิบสี่ ท่านผู้เฒ่ามาตรวจสอบบัญชีที่โรงรับจำนำ เขามีท่าทีราวกับไม่ชอบใจเท่าใด จึงนั่งรอบนรั้วหินริมแม่น้ำด้านนอก ทุกคนต่างไม่เคยพบคนที่รูปงามราวเทพบุตรเช่นนี้ อยากจะชื่นชมให้ชัดๆ ก็ไม่กล้า จึงหาเหตุผลเดินวนเวียนรอบกายเขา มีเพียงคุณหนูสกุลไช่ที่อยู่ท้ายถนนใจกล้าที่สุด ทำดอกไม้ดอกหนึ่งหล่นใส่เขา เขามองเพียงแวบเดียวก็ไม่ปริปากกล่าวอันใด ทุกคนคิดว่าน่าสนใจ ต่างก็เลียนแบบคุณหนูสกุลไช่จึงทำดอกไม้หล่นใส่เขา บ้างก็เป็นผ้าเช็ดหน้า”

“เขาโมโหเหลือทน วิ่งหนีจนแทบไม่เห็นฝุ่น”

“จนถึงวันนี้แล้วข้ายังจำท่าทีตอนนั้นของเขาได้ดี”

“จริงรึ!” อวี้ถังนึกตามก็เบิกบานใจขึ้นมา หัวเราะเสียงดัง

“จริงสิ!” เถ้าแก่เนี้ยก็หัวเราะเช่นกัน แววตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว นับวันนายท่านสามก็สง่างามขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเรื่องนิสัยไม่น้อย”

“ใช่แล้ว!” อวี้ถังว่าตาม นึกถึงหลายครั้งที่นางพบเขา ท่าทีนั้นของเขา ทั้งตรึกตรองคำพูดของเถ้าแก่เนี้ย นอกจากไม่รู้สึกกลัวแล้ว ยังรู้สึกคุ้นชินขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด “นายท่านเผยไปเมื่อใดรึ? ท่านพ่อข้าไม่ได้รั้งเขาให้กินข้าวหรอกหรือ?”

“รั้งแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยคิดว่าน้อยครั้งที่จะได้พูดเรื่องเผยเยี่ยนกับคนอื่น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายท่านเผยไม่ตอบรับ โจวจ้วงหยวนก็ทำได้เพียงว่าตาม เขายังคงเหมือนกับเมื่อก่อน ไม่ชอบคบค้าสมาคม”

อวี้ถังฉีกยิ้ม ความหงุดหงิดในใจหายไปในพริบตา เรื่องที่กินจนปวดท้องก็ไม่ได้ใส่ใจมากแล้ว

อย่างไรเทียบกับเรื่องที่เผยเยี่ยนถูกพวกสาวน้อยโยนดอกไม้ใส่จนต้องวิ่งหนีไปอย่างเขินอาย เรื่องของนางก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อันใดแล้วกระมัง?

———————-

Related

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset