ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 56 ผลกระทบ

ในส่วนของเมืองหลินอัน เรื่องให้ที่กบดานกับพวกลี้ภัยอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก เศรษฐีมั่งมีของหลินอันส่วนมากก็ล้วนเคยรับพวกลี้ภัยมาก่อน ไม่จำเป็นต้องจดเข้าทะเบียนบ้าน ขอเพียงแค่ไม่อดตาย อยากใช้อะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น หนำซ้ำยังมีประโยชน์มากกว่าให้ชาวไร่ชาวสวนคนอื่นเช่าที่เสียอีก เรื่องของสกุลหลี่เปรียบเหมือนโยนก้อนหินลงน้ำ แตกกระทบเป็นวงกว้าง บางคนกลัวว่าข้าหลวงทังจะตัดสินใจทำผลงานจากเรื่องนี้ ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ บางคนกลัวคนลี้ภัยพวกนั้นจะรู้ว่าแท้จริงแล้วทางการสามารถช่วยจดทะเบียนลงในท้องที่ได้จะไม่ฟังคำสั่งอีกแล้ว อาจลุกฮือก่อเรื่องก่อราวขึ้นมา ทำร้ายผลประโยชน์ของสกุลตน หลังจากคหบดีชนบทหลายสกุลที่พอมีทรัพย์สินอยู่บ้างในเมืองหลินอันปรึกษาหารือกัน ก็ไปหาทางสกุลเผย

“นายท่านสาม” คหบดีชนบทคนนั้นเช็ดทั้งน้ำมูกน้ำตา ไม่รู้ว่ากล่าวด้วยความเสียใจเท่าใด คล้ายกับว่าตอนแรกผู้ที่หลอกคนลี้ภัยพวกนั้นโดยไม่ให้ผ่านทางการ ลอบเขียนสัญญาขายตัวด้วยความปรารถนาดีนั้นไม่ใช่เขา “พวกเราก็แค่เห็นว่าคนพวกนั้นน่าสงสาร พวกที่รับไว้ก็ล้วนเป็นคนแก่ชราเจ็บป่วยพิการ ใครจะรู้ว่าสกุลหลี่จะใจกล้าถึงเพียงนั้น แค่พวกแข็งแรงกำยำก็มีตั้งสามสิบสี่สิบคน เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการไปสืบความ ยังสังหารคนอีก นี่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นแก่ความปลอดภัยของเมืองหลินอันและสกุลเผยอยู่ในสายตาเลยหรอกรึ? เรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ควรจะออกหน้าพูดกับท่านข้าหลวงทังสักหน่อย ลงโทษอย่างเด็ดขาดกับคนลี้ภัยพวกนั้น มิเช่นนั้นชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเราคงนอนหลับไม่ลงกัน!”

เผยเยี่ยนนั่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนเก้าอี้ เป่าใบชาปี้หลัวชุน[1]ที่ลอยอยู่ในถ้วยชาเบาๆ แทบไม่ปราดสายตามองพวกคหบดีเบื้องหน้าที่อายุน้อยสุดก็ปาเข้าไปสี่สิบปีแล้ว

เรื่องนี้เขาได้ยินมานานแล้ว

สกุลหลี่ทำตัวไม่เหมาะสม เขาก็รู้มานานแล้วเช่นกัน

แต่ว่า ปีนั้นสกุลเผยย้ายจากถิ่นเดิมมาอยู่ที่นี่ เพราะสร้างความโกรธเคืองให้ทุกคนในถิ่นเดิม มีอำนาจล้นฟ้า ล่วงเกินผลประโยชน์ของคนส่วนมาก ถึงกระทั่งทำให้ราชสำนักเกิดความไม่พอใจ จึงต้องเสียสละส่วนน้อยรักษาส่วนใหญ่ ทำได้เพียงพกทรัพย์สินส่วนหนึ่งวิ่งมาที่เมืองหลินอัน ก่อร่างสร้างตัว ลงหลักปักฐานที่นี่ นับแต่นั้นมา สกุลเผยจึงเริ่มปฏิบัติตัวเป็นกลางกับสกุลอื่น ใช้อำนาจเพียงในเมืองหลินอัน ไม่สอดมือไปยุ่งเรื่องของใคร และก็เป็นเพราะเช่นนี้ สิ่งที่สกุลเผยยึดมั่นตลอดมาคือความใจกว้างมีเมตตากับเพื่อนบ้าน เหลือพื้นที่ให้คนอื่นได้ลืมตาอ้าปาก ถึงกระทั่งจงใจตั้งสกุลหนึ่งขึ้นมาคานอำนาจกับสกุลเผยในที่แจ้ง เพื่อไม่ให้สกุลเผยสูงเด่นเพียงลำพัง ถูกคนอิจฉาริษยา ก่อเรื่องเดือดร้อนมาให้

และสกุลหลี่ ก็คือเป้าที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลานี้ของพวกเขา

แน่นอนว่าเผยเยี่ยนไม่อาจให้สกุลพวกเขาล้มลงได้

เขาจิบชาอยู่หลายคำ รอพวกคหบดีเหล่านั้นระบายความไม่พอใจออกมาจนหมดสิ้น เวลานี้จึงค่อยกล่าวขึ้นมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า “เรื่องที่พวกเจ้าพูด ข้าได้ฟังมาบ้างแล้ว ทางข้าหลวงทัง ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดพอเป็นพิธีกับเขาแล้ว เรื่องนี้ให้จบลงที่สกุลหลี่ ไม่อาจซักไซ้ไล่เลียงอีก ส่วนคนลี้ภัยพวกนั้น ข้าจะพูดกับข้าหลวงทังตามความเห็นของทุกคนอีกที ให้คนหาวิธีขับไล่พวกนั้นออกจากหลินอัน แม้การจดทะเบียนลงท้องที่จะเป็นเพราะราชสำนักเมตตาต่อคนลี้ภัย แต่นี่ก็ต้องดูสถานการณ์ด้วยเช่นกัน มีชายหนุ่มเลือดร้อนมากมายขนาดนั้น หากเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเราสกุลใหญ่ทั้งหลายของหลินอันก็ไม่อาจผลักภาระได้ ทั้งสกุลเผยของข้าก็ไม่อาจรับโทสะของสวรรค์ได้เช่นกัน”

แม้ใบหน้าของเผยเยี่ยนจะดูเรียบนิ่ง ทว่าคำพูดที่ออกมากลับกล่าวได้ถูกจุด พวกคหบดีเหล่านั้นอดเบิกบานใจไม่ได้ เอ่ยเซ็งแซ่ “นายท่านสามพูดเช่นนี้พวกเราก็วางใจแล้ว”

บางคนก็ประจบประแจงอยู่ตรงนั้น เอ่ยประมาณว่า ‘หลินอันมีเรื่องอะไรก็ต้องเป็นนายท่านสามสกุลเผยที่ออกหน้า’ ‘สกุลเผยมีนายท่านสามเป็นผู้ดูแล ย่อมเจริญเฟื่องฟู ก้าวหน้าไปอีกขั้น’ มีกระทั่งพูดว่า ‘ไม่มีสกุลเผย จะมีหลินอันดั่งเช่นวันนี้ได้อย่างไร’

เผยเยี่ยนได้ฟังก็ราวกับกลืนเนื้อติดมันก้อนโตลงไป เลี่ยนจนทนไม่ไหว รีบหยัดกายขึ้น หาข้ออ้างว่าโจวจื่อจินมาเป็นแขกอยู่ในบ้าน ส่งคหบดีชนบทพวกนั้นออกไป

หูซิ่ง พ่อบ้านสามที่พุงขาวย้วยราวกับคนท้องเดินยิ้มตาหยีเข้ามา เอ่ยว่า “อวี้ซิ่วไฉของตรอกชิงจู๋เพิ่งส่งป้ายชื่อมา กล่าวว่าอยากพบท่านขอรับ ข้าเห็นว่าหลายวันนี้ท่านหงุดหงิดที่ต้องคบค้าสมาคมกับคนภายนอกไม่น้อย จึงตัดสินใจพลการ ถามเหตุผลที่มาของอวี้ซิ่วไฉ เขากล่าวว่าหลังจากหมอหลวงหยางจ่ายยาบำรุงร่างกายให้นายหญิงของเขา อาการของนางก็ดีอยู่เรื่อยมา ได้ยินว่าหมอหลวงหยางมาตรวจสุขภาพให้นายหญิงใหญ่ จึงอยากเชิญหมอหลวงหยางไปตรวจดูนายหญิงเขาอีกครั้ง ดูว่าต้องเปลี่ยนสำรับยาหรือไม่”

สำรับยาบำรุงร่างกาย ฤดูหนาวและฤดูร้อนมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก

และยามนี้อากาศก็หนาวเย็นลงเรื่อยๆ

เผยเยี่ยนฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว ไม่ได้กล่าวอันใด

ใบหน้าของหูซิ่งยังคงประดับรอยยิ้ม ทว่าแผ่นหลังกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ

นายท่านสามของพวกเขาคนนี้ ตั้งแต่เล็กก็ดื้อรั้นไม่เหมือนใคร ยามที่ท่านผู้เฒ่าเผยมีชีวิตอยู่ ก็ไม่สามารถจ้ำจี้จ้ำไชเขาได้แต่อย่างใด ยามนี้ท่านผู้เฒ่าไม่อยู่แล้ว นายท่านรองปิดประตูไม่รับแขก ทุกวันไม่เพียงคัดลอกคัมภีร์ให้ท่านผู้เฒ่า ยังให้นายหญิงรอง คุณหนูใหญ่และนายน้อยสามคัดลอกคัมภีร์ด้วยกัน คุณหนูใหญ่ยังพอว่าเพราะเรียนรู้มาตั้งแต่สามขวบ อายุสิบสองปีแล้ว นายน้อยสามเพิ่งจะหกขวบ แทบจะไม่รู้ว่าจับพู่กันอย่างไรด้วยซ้ำ…ยังมีนายหญิงใหญ่และนายน้อยอีกสองคน เอาแต่อยู่ในหอทิงหลันสุ่ยอย่างสงบเสงี่ยมไม่ยอมออกมา กระทั่งเสียงก็ยังไม่ได้ยิน

หากกล่าวว่านายท่านสามไม่ได้ลอบทำอะไรบางอย่าง เขาคนหนึ่งแล้วที่ไม่เชื่อ

ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายคนหนึ่งเช่นนี้ ทั้งเขายังเป็นคนที่รักษาตำแหน่งพ่อบ้านของตัวเองได้จากเรื่องที่ ‘คนใหญ่คนโตขัดแย้งกัน’ ไหนเลยจะกล้าเล่นลูกไม้ต่อหน้าเผยเยี่ยน?

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว นี่คือไม่พอใจที่เขาตัดสินใจโดยพลการกระมัง?

หูซิ่งไล่เลียงเรื่องที่ตัวเองทำมาหลายวันนี้ในใจ พบว่านอกจากเรื่องนี้ก็ยังก็ไม่มีเรื่องใดที่ทำผิดไปจริงๆ เวลานี้เขาจึงเอ่ยทั้งใคร่ครวญ “นายท่านสาม เรื่องนี้ข้าน้อยทำไม่ถูก ครั้งต่อไป…”

ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับโบกมือ ตัดบทสนทนาของเขา เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “รอเผยหม่านมาค่อยว่ากัน”

เผยหม่านไปส่งแขก พวกเขารออยู่พักใหญ่ เขาก็ย้อนกลับมา

เผยเยี่ยนถามเขา “เรื่องของสกุลหลี่นั้น เป็นอวี้ซิ่วไฉที่เปิดเผยออกไปอย่างนั้นรึ?”

เผยหม่านเอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว อวี้ซิ่วไฉไปบอกเรื่องนี้กับท่านข้าหลวงทังจริงๆ ขอรับ”

เผยเยี่ยนพยักหน้า มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเลือนราง “คาดไม่ถึงว่าอวี้ซิ่วไฉจะยึดมั่นในคุณธรรมเช่นนี้ เขาไม่กลัวว่าจะถูกสกุลหลี่จะจัดการอย่างนั้นรึ?”

เวลานี้เผยหม่านจึงกล่าว “ก่อนหน้านี้เพราะเรื่องงานแต่งของบุตรสาว สกุลอวี้จึงได้หมางใจกับสกุลหลี่ แม้ว่าอวี้ซิ่วไฉจะไม่ไปร้องเรียนเรื่องครั้งนี้กับท่านข้าหลวงทัง คาดว่าสกุลหลี่ก็จะไม่ปล่อยสกุลอวี้ไปอยู่ดีขอรับ”

ในหัวของเผยเยี่ยนพลันปรากฏใบหน้าของอวี้ถังขึ้นมา

อวี้ถังควรรู้ตัวเองว่าชั่วพริบตาที่ถูกช่วยไว้นั้น ยามที่มองเข้ามาดวงตาเปล่งประกายคล้ายกับดวงดารา…แต่หลังจากรู้ว่าคนที่ช่วยเหลือเป็นเขาแววตาก็ค่อยหม่นแสงลง…ยามที่ขอบคุณเขาในดวงตาวาบวาวอย่างเจ้าเล่ห์…เขาไม่เคยเห็นดวงตาของใครเหมือนคุณหนูสกุลอวี้ผู้ที่ไม่สงบเสงี่ยมคนนั้นมาก่อน ราวกับสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ ยามที่มองดูอะไรก็มักจะแฝงด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน ดูคล้าย ดูคล้ายกับเด็กน้อย…ยามที่พบเขาในโรงจำนำก็มองพินิจอย่างเงียบเชียบ อยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก พบเขาที่ถนนฉางซิ่งในตอนกลางคืน เอาแต่ลอบมอง สงสัยเป็นอย่างยิ่ง เจอเขาที่ท่าเรือเสาซี ทำหูตั้งฟังความเคลื่อนไหวของเขาแต่กลับแสร้งนิ่งเฉย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่ตลาดกลางคืน อยากกินขาหมูทั้งทำหล่นจากตะเกียบหลายครั้ง รีบมองดูเขา คิดว่าเขาไม่ได้สนใจ ก็เผยสีหน้ายินดีปรีดาทันที ค่อยๆ คว้าขาหมูขึ้นมากัด…

เขาอดกล่าวไม่ได้ “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งของสกุลอวี้และสกุลหลี่เกิดอันใดขึ้นกัน?”

เผยหม่านกล่าว “ข้าน้อยไม่ได้สืบความมาอย่างละเอียด สิ่งที่ได้ยินมาล้วนเป็นข่าวซุบซิบนินทา เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ ข้าน้อยก็ไม่ชัดเจนเช่นกันขอรับ”

เผยหม่านผู้นี้ เป็นคนที่เผยเยี่ยนพากลับมาจากเมืองหลวง เมื่อก่อนทำอะไร เป็นคนที่ไหน เขียนสัญญาเป็นข้ารับใช้ให้สกุลเผยได้อย่างไร ทั้งยังได้ใช้สกุล ‘เผย’ นี้ พวกเขาล้วนไม่รู้อะไรเลย แต่จากการที่เขาดูแลจัดการหลายเรื่องก็มองออกแล้วว่า เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง

ได้ยินเขาตอบเช่นนี้ หูซิ่งก็ตกใจยกใหญ่

แม้จะพูดข่าวลือที่ได้ยินมา หากพวกเจ้านายอยากรู้ เจ้าก็พูดออกมาพอเป็นพิธีหน่อยก็ได้!

จากนิสัยของนายท่านสามที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ชอบจับผิด เขาคงไม่ถูกตำหนิหรอกกระมัง?

คาดไม่ถึงว่านอกจากเผยเยี่ยนไม่ตำหนิเขาแล้ว ยังเอ่ยด้วยอารมณ์ดี “เมื่อครู่หูซิ่งบอกข้าว่า สกุลอวี้อยากเชิญหมอหลวงหยางไปตรวจดูอาการนายหญิงอวี้ อีกเดี๋ยวเข้าไปบอกกับหมอหลวงหยาง ภายหลังหากเขามาตรวจสุขภาพให้นายหญิงใหญ่ก็ถือโอกาสผ่านทางไปที่สกุลอวี้ด้วย”

เห็นได้ชัดว่าเผยหม่านเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง กล่าวยืนยันอีกครั้ง “ภายหลังทุกครั้งที่มาตรวจสุขภาพให้นายหญิงใหญ่ ให้ไปที่สกุลอวี้ด้วยหรือขอรับ?”

หยางโต่วซิงเป็นหมอที่ถูกเลือกให้ตรวจสุขภาพนายหญิงใหญ่ สกุลเผยก็ให้เกียรติและความเคารพต่อเขา ทุกครั้งไม่เพียงให้ค่ารักษาก้อนโต ยังให้พ่อบ้านใหญ่รับผิดชอบไปรับส่งด้วยตัวเอง และสกุลเผยกับสกุลอวี้นั้นเรือนหนึ่งอยู่ทางตะวันออก อีกเรือนอยู่ทางตะวันตก อย่างไรก็ไม่อาจผ่านทางได้หรอก!

เผยเยี่ยนคล้ายว่าไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน ได้ยินเผยหม่านพูดเช่นนี้ กลับชะงักนิ่งไป ก้มศีรษะครุ่นคิดเล็กน้อย เวลานี้จึงกล่าว “คนบ้านใกล้เรือนเคียง เช่นนั้นก็บอกกล่าวกับหมอหลวงหยาง ให้เขาเข้าไปที่นั่นสักหน่อยก็เพียงพอแล้ว”

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่หยางโต่วซิงมาหลินอันล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของสกุลเผย ไปรักษาให้สกุลอวี้ เรื่องเกี้ยวก็ย่อมเป็นสกุลเผยที่จัดการ

เผยหม่านขานรับ โจวจื่อจินเปลี่ยนสวมรองเท้าเดินตึกตักเข้ามา กล่าวทั้งเลิกคิ้ว “เรื่องในโลกีย์มีอะไรให้คุยสนุกกัน เจ้าก็อย่าหลบข้าเลย ข้ามาก็เพราะอยากพูดเรื่อง ‘คัมภีร์ชุนชิว[2]’ ที่เจ้าไปฟังมาครั้งที่แล้ว…เหตุใดเจ้าจึงเลือก ‘คัมภีร์กู่เหลียง[3]’ แต่ไม่เลือก ‘คัมภีร์กงหยาง[4]’ ศิษย์พี่รองเจ้าเป็นบัณฑิตสายขงจื่อผลักดัน ‘คัมภีร์กงหยาง’ ละทิ้ง ‘คัมภีร์กู่เหลียง’ ข้าว่าศิษย์พี่รองเจ้าคงนั่งหน้าเขียวอยู่ข้างล่างแล้ว เจ้าสามารถนั่งฟังคำสอนต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ล้วนเป็นเขาที่ช่วยเจ้าคว้าโอกาส เจ้ากลับเรือนไว้ทุกข์ ข้าพบว่าศิษย์พี่รองเจ้าไม่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเจ้าแม้แต่คำเดียว เจ้ากับศิษย์พี่รองก็ไม่ได้เขียนจดหมายให้กันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เจ้าแตกหักกับศิษย์พี่รองรึ? ภายหลังไว้ทุกข์เสร็จแล้วเจ้ายังคิดจะให้ศิษย์พี่รองช่วยเหลืออยู่หรือไม่? ในหมู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกเจ้า ศิษย์พี่รองนั้นดีที่สุดแล้ว เจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เชียว!”

เผยเยี่ยนได้ฟังก็อารมณ์เสียขึ้นมา ยืนขึ้นด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไปชิงซานหูรึ? จะไปหรือไม่ไป?”

“ดูนิสัยเสียของเจ้านี่สิ!” โจวจื่อจินกล่าวอย่างโมโห “ข้าคุยอย่างจริงจังกับเจ้า เจ้าอย่ามาพูดจาบ่ายเบี่ยงข้า หากวันนี้เจ้าไม่พูดให้ชัดเจนกับข้า ข้าก็ไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น”

“เจ้าไม่ไปก็ดี” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “หลายวันมานี้ข้าวิ่งโร่กับเจ้าไปทั่วเหนื่อยเหลือทน เจ้าไม่ไป เหมาะที่ข้าจะพักหลายวันอยู่พอดี” พูดจบ เขาก็หยัดกายขึ้นเดินออกไป

โจวจื่อจินนั้นอึ้งไป ผ่านไปพักใหญ่จึงดึงสติกลับมา วิ่งไล่ตามเขาออกไป กล่าวอยู่ข้างหลังเขา “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หากไม่ใช่พี่รองเจ้าเชิญข้ามา ข้าก็ไม่เข้ามาหรอก”

เผยเยี่ยนไม่แม้แต่จะหันกลับไปพูด “เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาพี่รองข้า เขาเอาแต่ทำตัวลึกลับซับซ้อนอยู่ในเรือนทุกวัน เจ้าจะได้อยู่เป็นเพื่อนเขาพอดี”

———————————————–

[1]ชาปี้หลัวชุน เป็นชาเขียวที่มีถิ่นกำเนิดจากเจียงซู มีกลิ่นหอมของดอกไม้ รสชาติหอมหวาน

[2]คัมภีร์ชุนชิว พงศาวดารที่บันทึกเรื่องราวแต่ละยุคสมัยของจีน ภายหลังสูญหายเหลือเพียงเรื่องราวที่ขงจื้อรวบรวมเกี่ยวกับแคว้นหลู่ ก่อนจะมีการเรียบเรียงใหม่ในราชวงศ์ฮั่น โดยมีการเรียกคัมภีร์จั่วซื่อ คัมภีร์กงหยาง และคัมภีร์กู่เหลียง ทั้งสามรวมกันว่า คัมภีร์ชุนชิว

[3]คัมภีร์กู่เหลียง เป็นคัมภีร์อรรถาธิบาย ‘คัมภีร์ชุนชิว’ เน้นให้ความสำคัญกับการเคารพอำนาจกษัตริย์ ปลูกฝังสั่งสอนมารยาท การรักใคร่ในวงศ์สกุล  เป็นต้น

[4]คัมภีร์กงหยาง เป็นคัมภีร์อรรถาธิบาย ‘คัมภีร์ชุนชิว’ โดยเฉพาะ มีความข้องเกี่ยวกับการเมือง อธิบายการเปลี่ยนแปลงระบบปกครอง เน้นย้ำการรวมเป็นหนึ่ง กลับตัวกลับใจแก้ไขเดินในทางที่ถูกต้อง เป็นต้น

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset