ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 59 ฉีกขาด

คำพูดของพวกคนลี้ภัย อย่าพูดถึงอวี้ถังและเว่ยเสี่ยวชวนเลย กระทั่งสองพี่น้องสกุลชวีก็ยังนิ่งอึ้งไปหมด

เรื่องที่สกุลหลี่ลอบปล่อยข่าวลือต้องการตัวคนลี้ภัยสองคนที่ไม่เชื่อฟังนั้น พี่น้องสกุลชวีรู้มาก่อนแล้ว แต่นี่นับว่าเป็นความลับของลูกค้า ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจบอกกับบุคคลที่สาม คาดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย กลับพูดออกมาหมดเปลือก ไม่มีปิดบังสักนิด ทั้งยังข่มขู่สกุลเว่ยอย่างตรงๆ

เห็นได้ว่าสองคนนี้จนตรอกไม่มีทางให้หนีแล้วจริงๆ ก่อนตายจึงขอกัดสกุลหลี่หนึ่งคำอย่างไม่สนใจอันใด

เว่ยเสี่ยวชวนโมโหจนเส้นเลือดขึ้นที่ขมับ

เขายังไม่เคยพบคนหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน

คาดไม่ถึงว่า จะเป็นเพราะความคิดเห็นแก่ตัว อยากดึงอวี้ถังเข้ามาข้องเกี่ยว

ที่จริงเขาและอวี้ถังปรึกษากันดีแล้ว หากสองคนนี้ฆ่าเว่ยเสี่ยวซานเหมือนที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ ก็จะส่งพวกเขาให้ศาลาว่าการ ให้พวกเขาและสกุลหลี่กัดกันเอง

ยามนี้กลับไม่อาจทำเช่นนั้นแล้ว

พี่รองเขาล่วงลับไปแล้ว เขาไม่อาจให้อวี้ถังที่มีชีวิตอยู่ถูกทำร้ายอะไรอีก

แต่อย่างไรเขาก็ยังอายุน้อย ไม่อาจใช้ความสุขุมจัดการกับเรื่องราวเท่าใด ทั้งคิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว

เขาเดินเข้าไปอย่างมีโทสะ ถีบคนลี้ภัยพวกนั้นอย่างแรง กล่าวเสียงดัง “เช่นนั้นก็ดี! พวกเราจะส่งพวกเจ้าให้สกุลหลี่ พี่ชายสกุลชวีทั้งสองยังสามารถรับเงินจากสกุลหลี่ได้ ข้ากลับอยากเห็นว่า พวกเจ้าตกอยู่ในมือสกุลหลี่แล้วจะมีอะไรดี?” เขาพูดจบ ก็เอ่ยกับพี่น้องสกุลชวี “พี่ชายทั้งสอง พวกเจ้าคงจะสามารถรับเงินจากสกุลหลี่ได้อีกกระมัง?”

เหตุผลที่สกุลหลี่ไม่ให้กระทั่งเงินมัดจำ เป็นเพราะว่าสกุลหลี่เห็นข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลคนอื่นดีกว่า ไม่ได้เชื่อใจพวกเขาขนาดนั้น หากพวกเขาสามารถหาตัวคนลี้ภัยสองคนนี้ก่อนข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลคนอื่นได้ ชื่อเสียงพวกเขาในแวดวงข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลย่อมก้าวขึ้นไปอีกขั้น ไม่แน่ว่ายังสามารถผูกสัมพันธ์กับสกุลหลี่ได้เพราะเหตุนี้ ทั้งสามารถทำการค้ากับสกุลหลี่ได้

แต่ว่า ทั้งสองล้วนรู้สึกว่าความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ฟังจบก็อดหันไปมองอวี้ถังที่หลบอยู่หลังกำแพงดอกไม้แวบหนึ่งไม่ได้

คนที่สั่งการพวกเขาสองพี่น้อง เป็นคุณหนูสกุลอวี้คนนี้ต่างหาก

อวี้ถังได้ฟังคำพูดของเว่ยเสี่ยวชวนกลับใจสั่นคลอน

ชาติที่แล้ว เพื่อจะหลุดพ้นจากสกุลหลี่ นางเคยสืบเสาะทำความเข้าใจสกุลหลี่อย่างละเอียด ภายหลังออกจากสกุลหลี่ได้ ก็ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์สลับซับซ้อนของญาติพี่น้องสกุลหลี่

แม้บ้านของหลี่ตวนจะเป็นสายภรรยาเอกของสกุลหลี่ กลับไม่ใช่บ้านสายตรงแต่อย่างใด บ้านของพวกเขาเริ่มโดดเด่นขึ้นมาจากปู่ของหลี่ตวน อาจจะเป็นเพราะถูกสกุลเผยกดไว้อย่างหนัก ปู่ของหลี่ตวนจึงพยายามคิดเอาอย่างท่านผู้เฒ่าสกุลเผย ไม่เพียงกลายเป็นสกุลต้นๆ ของเมืองหลินอัน แต่ยังคิดกลายเป็นบ้านสายตรงของสกุลหลี่

ชาติที่แล้ว เพราะบ้านของหลี่ตวนประสบความสำเร็จในการค้าที่ฝูเจี้ยน ทำให้บ้านของหลี่ตวนกลายเป็นครอบครัวที่มีเงินและอำนาจที่สุดของสกุลหลี่ รอจนปู่สิบสองของบ้านสายตรงสกุลหลี่ล่วงลับ หลี่อี้ซึ่งเป็นบิดาของหลี่ตวน ก็กดขี่หลี่เหอ ลูกชายของปู่สิบสองสกุลหลี่ กลายเป็นบ้านสายตรงของสกุลหลี่

ปีนั้นอวี้ถังก็อาศัยหลี่เหอที่ไม่พอใจต่อหลี่อี้จึงออกจากสกุลหลี่มาได้

ครั้งนี้ พวกเขาก็สามารถใช้ประโยชน์จากเครือญาติพวกนี้ของสกุลหลี่ได้เหมือนกันใช่หรือไม่?

อวี้ถังเรียกเว่ยเสี่ยวชวนและพี่น้องสกุลชวีมาพูดคุย “ท่านข้าหลวงทังไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเท่าใด แม้ว่าพวกเราจะส่งพวกเขาสองคนไปที่ศาลาว่าการ สกุลหลี่ออกหน้าทักทายกับทางข้าหลวงทัง เรื่องทั้งหมดก็คงถูกผลักมาที่สองคนนี้ สกุลหลี่ย่อมไร้รอยขีดข่วน ข้าว่า ความคิดของเสี่ยวชวนไม่เลวเลย พวกเราก็ส่งพวกเขาให้สกุลหลี่ แต่ว่า ไม่ใช่บ้านของหลี่อี้ แต่เป็นบ้านของหลี่เหอ เพียงแต่พี่ชายทั้งสองต้องเสียเปรียบเล็กน้อย เกรงว่าจะไม่ได้เงินรางวัลจากหลี่ตวน แต่ข้าจะพยายามชดเชยค่าเสียหายให้ทั้งสองคนเท่าที่ข้าสามารถทำได้แล้วกัน”

เสี่ยวชวนไม่รู้เรื่องของสกุลหลี่ แต่พี่น้องสกุลชวีที่ทำงานเป็นข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลย่อมกระจ่างชัด

บ้านสายตรงของสกุลหลี่ ไม่พอใจบ้านของหลี่อี้มานานแล้ว แต่เพราะหลายปีมานี้บ้านสายตรงมีเพียงซิ่วไฉออกมาคนเดียว หลายเรื่องยังคงต้องพึ่งพาทางบ้านของหลี่อี้จึงได้อดทนอยู่เรื่อยมา

พี่น้องสกุลชวีได้ยินอวี้ถังพูดเช่นนี้ แววตาที่มองอวี้ถังก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

พวกเขาเป็นคนที่มักอาศัยการพินิจคำพูดและสังเกตสีหน้าคนอื่น พิจารณาประเมินสถานการณ์ต่างๆ คุณหนูคนนี้ของสกุลอวี้ไม่เพียงขอให้พวกเขาช่วยจับคน แต่ยังกล้าถอนเขี้ยวจากปากเสือ[1]หาเรื่องให้สกุลหลี่ ไม่พูดถึงอย่างอื่น แต่อาศัยแค่ความกล้านี้ ภายหลังย่อมไม่อาจเป็นเพียงคนธรรมดาแน่

พวกเขาชอบคบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้เป็นที่สุด…มีความกล้า ย่อมไม่มีชีวิตที่น่าเบื่อ ไม่มีชีวิตที่ธรรมดาผาสุก ก็จะดิ้นรน ดิ้นรนแล้วก็จะต้องการคนอย่างพวกเขาช่วยทำเรื่องที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเท่าใด

คุณหนูอวี้คนนี้อายุยังน้อย พวกเขาเคยได้ยินมาก่อนเช่นกันว่า สกุลอวี้ต้องการหาลูกเขยแต่งเข้าสกุลให้นาง ภายหลังสามารถเป็นผู้ดูแลสกุลได้ ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ สั่งสมไปทีละนิด จึงจะนับได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวไกลที่สุด

สองพี่น้องแลกเปลี่ยนสายตากัน ตัดสินใจฝากตัวให้กับฝั่งอวี้ถังทันที

“บ่าวคนเดียวไม่รับใช้สองนาย หญิงสาวไม่แต่งสามีสองคน” เหล่าต้า ‘พี่ใหญ่’ ของสกุลชวีเอ่ยขึ้น “ในเมื่อพวกเราทำการค้าขายกับคุณหนูอวี้แล้ว ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงทิศทาง ค่าชดเชยไม่จำเป็นหรอก คุณหนูอวี้แค่พูดว่าต้องทำอย่างไรก็เพียงพอแล้ว!”

อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าพี่น้องสกุลชวีจะพูดง่ายกว่าชาติที่แล้วเป็นอย่างมาก

หรือเป็นเพราะยามนี้พวกเขายังไม่มีชื่อเสียงเหมือนชาติก่อน ไม่ค่อยได้รับงานเท่าใด?

นางไม่ได้คิดมาก ทั้งไม่ได้ใจกว้างแสร้งมีเงิน คุกเข่าลงขอบคุณพี่น้องสกุลชวี “บุญคุณของทั้งสอง ข้าทำได้เพียงคืนให้ภายหลังเท่านั้น”

พี่น้องสกุลชวีหมุนกาย หลบการคารวะจากอวี้ถัง

เหล่าเอ้อร์ ‘เจ้ารอง’ ของสกุลชวีเห็นเบื้องหน้าเป็นคุณหนูที่อยู่ติดห้องหับผู้หนึ่ง อีกคนก็เป็นเพียงเด็กเท่านั้น จึงใจอ่อนไปอย่างไม่รู้ตัว กล่าวเตือนอวี้ถัง “คุณหนูอวี้ยังคงต้องระวัง ยามนี้ไม่แน่ว่าหลี่เหอจะยอมล่วงเกินหลี่ตวนเพื่อผลประโยชน์เล็กๆ พวกนี้”

ไม่มีผลประโยชน์ที่เพียงพอ สกุลหลี่จะทำใจละทิ้งหลี่ตวนที่กำลังจะประสบความสำเร็จ ทั้งใกล้จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้แล้วอย่างไร

อวี้ถังขอบคุณพี่น้องสกุลชวีอีกครั้ง พูดอ้อมค้อม “ข้าจะให้ผู้ใหญ่ของสกุลพวกเราเป็นคนออกหน้า”

เดิมทีสกุลอวี้ก็ไม่ได้มีอำนาจมากกว่าสกุลหลี่ แม้ว่าผู้ใหญ่จะออกหน้าแล้วอย่างไร?

ผู้ทำหน้าที่เป็นมันสมองของสองพี่น้อง เหล่าเอ้อร์สกุลชวีคิดว่าอวี้ถังยังคงไร้เดียงสาไปอยู่บ้าง แต่ว่ากลิ่นหอมของดอกเหมยเกิดจากความเหน็บหนาว หากไม่ได้รับความลำบาก คุณหนูอวี้ผู้นี้ก็คงไม่รู้ว่าหนทางบนใต้หล้าแห่งนี้ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ให้นางได้เผชิญอุปสรรคเสียหน่อยก็ไม่แย่อะไร

พี่น้องสกุลชวีไม่พูดอะไรอีกแล้ว ทำตามคำสั่งของอวี้ถัง พาคนลี้ภัยทั้งสองจากไป ทั้งให้ซ่อนตัวไว้สองวันค่อยมอบให้หลี่เหอ

เว่ยเสี่ยวชวนไม่เข้าใจ แต่เขาก็เชื่อมั่นอวี้ถังเป็นอย่างยิ่ง

หากไม่ใช่อวี้ถัง เดิมทีเขาก็คงไม่รู้ว่าการตายของพี่รองมีเงื่อนงำ ทั้งคงไม่อาจจับมือสังหารได้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเขารอจนพี่น้องสกุลชวีจากไปจึงค่อยเอ่ยถามอวี้ถัง “พี่สาว พวกเราต้องให้ลุงอวี้เป็นคนออกหน้าจริงๆ รึ?”

เขาเป็นเพียงถงเซิง ทั้งยังเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ เรื่องระหว่างสกุลบัณฑิตนั้นเขารู้ดีกว่าใคร

ซิ่วไฉพบจวี่เหรินต้องสละที่นั่งให้ก่อน ไม่ว่าเจ้าจะอายุมากกว่าเท่าใด อาวุโสแค่ไหน

เช่นเดียวกัน หากจวี่เหรินพบจิ้นซื่อก็ต้องก้มหัว

อวี้เหวินเป็นเพียงซิ่วไฉคนหนึ่ง

สกุลหลี่นอกจากจวี่เหรินแล้วยังมีจิ้นซื่ออีก

อวี้ถังเผยยิ้มออกมา ดวงตาล้วนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พูดไม่ถูกว่าเป็นความงดงามอ่อนโยนอย่างไร แต่คำที่พูดออกมากลับไม่เข้ากันสักนิด “แน่นอน เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องของพวกเราเพียงแค่สกุลสองสกุล ขุนนางลำเอียงปกป้องกัน ทางการก็ย่อมทำงานอย่างขายผ้าเอาหน้ารอด พวกเราต้องหาคนที่สามารถเป็นผู้ตัดสินแทนพวกเราได้มาฟ้องร้องคดีความเรื่องนี้”

เว่ยเสี่ยวชวนยิ่งงุนงงกว่าเดิม

เขาเกาศีรษะ

อวี้ถังยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นไปอีก “เมืองหลินอันของพวกเราสามารถอยู่อย่างสงบสุขทุกวันนี้ได้ ไม่ใช่อาศัยท่านข้าหลวงที่รับตำแหน่งมาสามปี แต่พึ่งพาสกุลเผยที่ตรอกเสี่ยวเหมยต่างหาก”

“ใช่แล้ว!” เว่ยเสี่ยวชวนดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมา “ไฉนข้าจึงนึกไม่ถึงกัน! ท่านข้าหลวงทังเข้าข้างสกุลหลี่ พวกเราควรไปเชิญสกุลเผยช่วยเป็นคนกลางให้ก็เพียงพอแล้ว สกุลเผยเป็นสกุลที่สั่งสมความดี กระทำเรื่องเที่ยงธรรมเป็นที่สุดแล้ว ท่านข้าหลวงไม่สนใจ สกุลเผยย่อมสนใจ พวกเขาไม่อาจนั่งดูสกุลหลี่ฆ่าคนบริสุทธิ์เช่นนี้ได้หรอก”

อวี้ถังพยักหน้า “เจ้าคงรู้ว่าเหตุใดข้าจึงให้พี่น้องสกุลชวีซ่อนตัวคนลี้ภัยพวกนั้นไว้ก่อนสองวันแล้วกระมัง? รอผู้ใหญ่ของสกุลพวกเราพูดคุยกันดีแล้ว ค่อยเอาหลักฐานออกมา ป้องกันพอถึงเวลานั้นก่อนคนลี้ภัยทั้งสองจะถูกหลี่ตวนฆ่าปิดปาก”

เว่ยเสี่ยวชวนพยักหน้า คล้อยหลังกลับคล้ายผักกวางตุ้งที่ผ่านน้ำ จู่ๆ ก็ห่อเหี่ยว

อวี้ถังคิดว่าเขาคงนึกถึงเว่ยเสี่ยวซานขึ้นมา อดลอบถอนหายใจไม่ได้

ไม่ว่าอย่างไร เว่ยเสี่ยวซานก็ตายเพราะเกี่ยวข้องกับนาง

นางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร!

อวี้ถังลูบศีรษะเว่ยเสี่ยวชวนเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าหยุดไม่ใช่รึ? ไปดื่มชาที่เรือนข้าเถิด! ยามนี้พวกเราสองสกุลเป็นญาติกันแล้ว เจ้ายังสามารถไปเล่นกับพี่ชายข้าได้ เขาเป็นคนดีทีเดียว เมื่อลูกพี่ลูกน้องเจ้าแต่งเข้ามา พี่ชายข้าย่อมจะปฏิบัติตัวดีกับนาง”

เว่ยเสี่ยวชวนกลับส่ายศีรษะ เอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่อยากไปเที่ยว ข้าต้องกลับไปทบทวนตำรา”

อวี้ถังไม่อาจรั้งเขา “เช่นนั้นก็ไปนั่งที่เรือนข้า เดี๋ยวข้าจะให้อาเสาจ้างเกี้ยว ไปส่งเจ้ากลับเรือน”

เว่ยเสี่ยวชวนขานรับเสียงเบา ไปพบอวี้เหวินและคนสกุลเฉินพร้อมอวี้ถัง เพียงเอ่ยว่าเว่ยเสี่ยวชวนบังเอิญผ่านมา นางจึงเชิญเขากลับมานั่งเล่น

เดิมทีคนสกุลเฉินก็เอ็นดูเว่ยเสี่ยวชวนที่หน้าตาสะอ้านสะอาด ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ทั้งสองสกุลจะเกี่ยวดองกันแล้ว เห็นเว่ยเสี่ยวชวนก็ยิ่งชื่นชอบ รีบเรียกให้ป้าเฉินไปซื้อขนมผลไม้ให้เว่ยเสี่ยวชวนกลับไปที่สกุลเว่ย “ให้แม่ พี่สะใภ้และลูกพี่ลูกน้องของเจ้าชิมเสีย” ยังกำชับเขา “หากต้องการซักเสื้อผ้า ก็ให้คนส่งจดหมายมา ข้าจะให้ป้าเฉินไปเอามาช่วยซักให้เจ้า ยามวันหยุด หากอากาศไม่ดีก็มาพักที่นี่ได้ มีบทเรียนอะไรไม่เข้าใจ ก็มาถามลุงอวี้เจ้า” พูดจบ ก็รู้สึกว่าเขายังเด็กเกินไป คงยังเหนียมอาย นางพูดมากกว่านี้ เด็กคนนี้ก็เพียงเห็นเป็นคำพูดตามมารยาทเท่านั้น “ไอหยา ดูข้าสิ พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าทำไม เดี๋ยวข้าจะให้อาหย่วน พี่เจ้าไปส่งกลับเรือน ฝากบอกกล่าวกับแม่เจ้าแทน”

เว่ยเสี่ยวชวนรีบหยัดกายขึ้นขอบคุณ

คนสกุลเฉินให้อาเสาเรียกอาหย่วนที่ยุ่งอยู่ที่ถนนฉางซิ่งกลับมา รอจนเกี้ยวมาก็ให้เขาไปส่งเว่ยเสี่ยวชวนกลับสกุลเว่ยด้วยตัวเอง

ด้านอวี้ถังดึงบิดาไปที่ห้องหนังสือ นำเรื่องที่ตรวจสอบเรื่องของสกุลหลี่กับเว่ยเสี่ยวชวนเล่าให้อวี้เหวินฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน

อวี้เหวินตกใจจนหน้าซีดขาวไปหมด ยามที่อวี้ถังบรรยายก็อยากขัดบทสนทนาของอวี้ถังอยู่หลายครั้ง แต่กลัวว่าภายใต้ความใจร้อนของตัวเองจะพูดอะไรออกไปทำร้ายจิตใจลูกสาวจึงข่มกลั้นเอาไว้ รอคอยอวี้ถังเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ชั่วขณะนั้นก็ระเบิดอารมณ์ “เจ้ายังเห็นพ่อเจ้าอยู่ในสายตาหรือไม่!? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่บอกใคร พาเสี่ยวชวนเด็กที่ยังไม่โตดีทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ออกมา ดูท่าปกติข้าจะตามใจเจ้าเกินไป นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องอยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยมดีๆ ให้ข้า หากยังคัดอักษรไม่จบห้าหมื่นครั้ง ก็ไม่อนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น!”

อวี้ถังรู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกจึงเชื่อฟังคำสั่งสอนแต่โดยดี

คนในสกุลไม่รู้ว่านางกลับมาเกิดใหม่ ทั้งไม่รู้ว่านางดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวอยู่ในสกุลหลี่มาเจ็ดแปดปี สิ่งลำบากที่ได้รับ เรื่องเสียเปรียบที่เคยเผชิญก็หนักหนากว่าคนทั่วไปไม่รู้ตั้งเท่าใด การกระทำในชาตินี้ของนางล้วนมาจากความทุกข์ทรมานในชาติก่อน ถึงกระทั่งใช้ชีวิตแลกกลับมา หากทำร้ายถึงคนในสกุล นางก็ไม่กล้าทำหรอก

บิดาได้ฟังเรื่องเช่นนี้ ย่อมต้องกังวลใจ

นางก้มหน้ารับผิด “ท่านพ่อ ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ข้าจะอยู่ในเรือนคัดอักษรดีๆ”

————————————————–

[1]ถอนเขี้ยวจากปากเสือ หมายถึง ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset