ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 61 เข้าใจ

หากไม่ใช่เพราะไว้ใจเถ้าแก่ใหญ่ถง อวี้เหวินก็คงไม่เล่าเรื่องราวอย่างหมดเปลือกให้เขาฟังยามที่ไปหา ในสายตาของคนทั่วไปเรื่องที่อวี้ถังสืบเกี่ยวกับเว่ยเสี่ยวชวนนั้นนับว่ามีความสามารถไม่น้อย ในใจอวี้เหวินจริงๆ แล้วเขาภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก คิดว่าลูกสาวที่เหลือเพียงคนเดียวในสกุล หากไม่สามารถดูแลครอบครัว แม้ว่าจะรับลูกเขยเข้าสกุลมา ก็เพียงคลอดบุตรอบรมลูกสาว ขยายกิ่งก้าน สืบต่อสกุลอวี้เท่านั้น พอพวกเขาสองสามีภรรยาล่วงลับไป อวี้ถังไม่แน่ว่าจะสามารถดูแลลูกเขยและบุตรธิดาได้ ถึงเวลานั้นคนที่ลำบากก็ยังคงเป็นอวี้ถัง

เถ้าแก่ใหญ่ถงถามเขาว่าอวี้ถังรู้เรื่องเว่ยเสี่ยวซานหรือไม่ เขาลังเลไปพักใหญ่ ก่อนจะบอกเถ้าแก่ใหญ่ถงอย่างตรงไปตรงมา “รู้สิ คนที่พบว่าผิดปกติก็คือนาง ทั้งคนที่หาวิธีสืบเรื่องของเว่ยเสี่ยวซานก็เป็นนางอีกเช่นกัน”

เถ้าแก่ถงตกใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด คุณหนูผู้นี้กล้ามาหลอกเขาถึงร้านค้าของสกุลเผย ย่อมไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดตาขาว หลังจากตกใจ ก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมา เอ่ยกับอวี้เหวิน “ลูกสาวผู้นี้ของเจ้าแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ” คล้อยหลังก็นึกถึงการตายของเว่ยเสี่ยวซาน อดเสียดายแทนเด็กคนนี้ขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่เว่ยเสี่ยวซานไม่อยู่แล้ว พูดเรื่องพวกนี้ต่อไปก็พาให้คนยิ่งรู้สึกเสียใจเท่านั้น คำพูดร้อยพันพวกนั้นกลับกลายเป็นเสียงถอนหายใจ “ก็นับว่าเป็นโชคดีของเสี่ยวซานที่ สามารถทำให้เขาตายอย่างได้รับความเป็นธรรม”

แต่หากไม่ได้พบกับพวกอาถัง ก็คงจะไม่ประสบเคราะห์ร้ายเช่นนี้กระมัง?

เวลานี้จู่ๆ อวี้เหวินก็เข้าใจความรู้สึกของอวี้ถังขึ้นมาบ้าง เข้าใจว่าเหตุใดอวี้ถังจึงยอมเสี่ยงอันตรายสืบหาสาเหตุการตายของเว่ยเสี่ยวซานให้กระจ่างชัด

นึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นลูกสาวที่เขาอบรมสั่งสอนมา เขาก็อดยืดหลังตรงขึ้นมาไม่ได้ ปรึกษากับเถ้าแก่ใหญ่ถง “ท่านรู้จักมักคุ้นกับนางอยู่บ้าง ย่อมชมนางเช่นนี้ กลัวก็แต่ว่า…” นายท่านสามจะไม่คิดอย่างนั้น อวี้เหวินพะวงอยู่ในใจ ไม่กล้านินทาเผยเยี่ยนต่อหน้าเถ้าแก่ถง ทำเพียงกล่าวอ้อมๆ “ช่วงนี้ผู้คนพูดกันว่าอะไรนะ ‘สตรีไร้ความสามารถจึงจะนับว่ามีจรรยา[1]’ ไม่ใช่หรอกรึ?”

เถ้าแก่ใหญ่ถงกลับไม่ทราบถึงความคิดเห็นของเผยเยี่ยนในเรื่องนี้ เขาอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย “เจ้าวางใจ ข้าพบนายท่านสามก็จะพินิจดูว่าควรจะพูดกับนายท่านสามอย่างไร”

อวี้เหวินค่อยโล่งใจขึ้นมา

เถ้าแก่ใหญ่ถงกลับไปรายงานเผยเยี่ยน “คุณหนูอวี้รู้เรื่องนี้ สกุลอวี้รู้สึกผิดกับสกุลเว่ย ดังนั้นจึงลอบตรวจสอบเรื่องนี้อยู่เรื่อยมา”

เผยเยี่ยนกำลังคัดอักษร

บนโต๊ะหนังสือไม้หนานมู่[2]ตัวยาวมีกระดาษซวนจื่อที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนกองอยู่ ในแจกันประดับด้วยดอกซานฉาสีขาว พู่กันหูปี่[3]ที่ทำด้วยไผ่เซียงเฟยแขวนอยู่บนราวแขวนพู่กันไม้จื่อถานแกะสลักลายลำน้ำขุนเขาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่ามกลางความโบราณเรียบง่ายเผยให้เห็นเสน่ห์ความยาวนานของวันเวลา

“กล่าวเช่นนี้ คุณหนูอวี้ก็คงเห็นด้วยที่ให้ข้ามาเป็นคนกลาง?” เขาคัดตัวอักษรสุดท้ายด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะวางพู่กันในมือที่แท่นวางลวดลายภูเขาบนโต๊ะหนังสือ รับผ้าร้อนจากอาหมิง เด็กรับใช้ในห้องหนังสือมาเช็ดมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

เถ้าแก่ใหญ่ถงกลับพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรอยู่พักใหญ่

เรื่องของสกุลอวี้ย่อมมีอวี้เหวินเป็นผู้ตัดสินใจชี้ขาด ลูกสาวสกุลใดจะสามารถข้ามหน้าข้ามตาบิดากัน? แต่ฟังจากความหมายของนายท่านสาม ก็คือเรื่องนี้ยังต้องดูความต้องการของคุณหนูอวี้

แม้ว่านายท่านสามเพิ่งรับช่วงต่อสกุลเผย แต่อย่างไรก็เป็นผู้สืบทอดของสกุลเผย สามารถขอให้เขาออกหน้าเป็นคนกลาง สกุลอวี้จะร้องไห้อย่างซาบซึ้งใจก็ไม่ทันแล้ว คุณหนูอวี้เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง หรือยังกล้าคัดค้านอะไรอย่างนั้นรึ? ทั้งแม้ว่าคุณหนูอวี้จะคัดค้าน หรือนายท่านสามจะดูท่าทีของคุณหนูอวี้แล้วค่อยลงมือทำเรื่องอย่างนั้นรึ?

เถ้าแก่ใหญ่ถงไม่เข้าใจอยู่บ้างว่านี่คือสถานการณ์แบบใด

เผยเยี่ยนกระตุกยิ้ม มองเรื่องราวทะลุปรุโปร่ง

คาดว่าเดิมทีเถ้าแก่ใหญ่ถงคงไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้เป็นคนอย่างไร ก็ไม่แปลก นอกจากเขา ยังจะมีอีกกี่คนที่บังเอิญเจอคุณหนูอวี้ก่อเรื่องอยู่หลายครั้งหลายคราอย่างพอดี?

เขาไม่รอให้เถ้าแก่ใหญ่ถงเข้าใจ “คนของสกุลหลี่ขอหมั้นไม่สำเร็จ ทำร้ายคนที่ดูตัวกับนาง สกุลอวี้ไม่แจ้งทางการ กลับเชิญข้าให้เป็นคนกลาง พวกเขาเคยคิดไหมว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?”

อย่างอื่นยังไม่พูดถึง อย่างน้อยพวกเศรษฐีชนบทในเมืองหลินอันก็จะทราบเรื่องนี้ แม้ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของสกุลหลี่ แต่ผู้คนส่วนมากมักนำความผิดพลาดโยนให้สตรี คิดว่าหากหญิงสาวรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว คงจะไม่ทำให้ชายหนุ่มเกิดความแค้น มุ่งร้ายกัน ภายหลังคุณหนูสกุลอวี้อยากแต่งกับสกุลใด หรือแต่งกับสกุลที่เกี่ยวพันกับพวกเขาย่อมเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว

เวลานี้เถ้าแก่ใหญ่ถงจึงเข้าใจขึ้นมา

เขาอดถอนหายใจไม่ได้

เขาหมายความว่า อย่างไรเขาก็เป็นคนกลางให้สกุลอวี้ได้ แต่ความต้องการของนายท่านอวี้เป็นอะไรไม่สำคัญ กลับต้องถามความประสงค์ของคุณหนูอวี้ก่อน?

ที่แท้ก็กังวลว่าคุณหนูอวี้อายุยังน้อย ไม่รู้จักความเหมาะสม

ขอเพียงนายท่านสามไม่เข้าใจผิดเรื่องทั้งหมดที่คุณหนูอวี้ทำต่อสกุลหลี่ก็เพียงพอแล้ว

เถ้าแก่ใหญ่ถงรีบกล่าว “ฟังจากความต้องการของนายท่านอวี้ เดิมทีเรื่องนี้ควรรายงานต่อทางการ แต่ท่านก็รู้ว่าท่านข้าหลวงทังผู้นี้ไม่ชอบยุ่งเรื่องราวผู้อื่น พวกเขากลัวว่า…ฆาตกรที่แท้จริงจะรอดตัวไร้รอยขีดข่วน ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย กระทั่งผู้ที่รู้ความจริงก็ยังไม่มีสักคน”

ก็หมายความว่า สกุลอวี้รู้ดีแม้มีหลักฐานพิสูจน์ว่าสกุลหลี่เป็นผู้บงการให้ฆ่าคน เชิญเขาออกหน้าเป็นคนกลาง ก็ยังคงยากที่ฆาตกรจะถูกตัดสินโทษตาย

อย่างไรสกุลหลี่ก็มีเพียงลูกชายสองคน เรื่องนี้หากหลี่จวิ้นเป็นคนสั่งการยังพูดง่าย แต่หากเป็นฝีมือหลี่ตวน คาดว่าสกุลหลี่คงยอมให้หลี่จวิ้นเป็นแพะรับบาปดีกว่าต้องให้หลี่ตวนถูกตัดสินโทษตาย

อาหมิงยกน้ำชาเข้ามา

เผยเยี่ยนเชิญเถ้าแก่ใหญ่ถงดื่มชา ตัวเองกลับนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะหนังสือตัวใหญ่อย่างเอื่อยเฉื่อย หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าก็จะเป็นคนกลางให้แล้วกัน”

เถ้าแก่ใหญ่ถงคาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะตอบรับง่ายๆ เช่นนี้ ดีใจเป็นอย่างยิ่ง หยัดกายขึ้นขอบคุณเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็อย่าขอบคุณข้าเร็วไป ถึงเวลานั้นขอสกุลอวี้อย่าได้ไม่พอใจต่อข้าก็เพียงพอแล้ว”

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” เถ้าแก่ใหญ่ถงละล่ำละลักเอ่ย “ความร้ายแรงของเรื่องนี้นายท่านอวี้ล้วนรู้ดี ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ขอร้องท่านหรอก นายท่านอวี้บอกกับข้าแล้ว ไม่หวังให้เรื่องนี้มีผลลัพธ์สวยหรูอะไร ขอแค่ทำให้ทุกคนรู้ว่าสกุลหลี่ทำเรื่องอะไรบ้างก็เพียงพอแล้ว”

เผยเยี่ยนผงกศีรษะ เอ่ยยิ้มๆ “นี่ย่อมไม่ใช่ปัญหา”

เถ้าแก่ใหญ่ถงขอบคุณซ้ำๆ ยามที่เดินไปก็ยังอดถอนหายใจไม่ได้ “ยามนี้ยังไม่รู้ว่านายท่านอวี้จะลำบากใจเพียงใดกับทางสกุลเว่ย ก่อนที่ท่านจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง อย่างไรก็ควรบอกกล่าวกันเสียหน่อย!”

เผยเยี่ยนได้ยินจู่ๆ ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาหลายส่วน สั่งการเผยหม่าน “เจ้าจับตาดูหน่อย ถึงเวลานั้นก็บอกกล่าวกับข้า”

เผยหม่านรับคำสั่ง ในใจกลับอดลังเลไม่ได้

เมื่อก่อนเขาเป็นผู้ดูแลของนายท่านสาม จัดการเพียงเรื่องสำคัญรอบกายนายท่านสามมาโดยตลอด พ่อบ้านใหญ่คนก่อนที่ตายไป ก็เพราะอำนาจของนายท่านสามจึงไม่อาจก้าวก่ายเรื่องเขาได้ หลังจากนายท่านสามสืบทอดตำแหน่งผู้นำสกุล ฉากหน้าเผยหม่านรับช่วงต่องานของพ่อบ้านใหญ่ ในความเป็นจริงยังคงจัดการเรื่องรอบกายของนายท่านสามเป็นหลัก เป้าหมายปลายทางของนายท่านสาม แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เมืองหลินอันเล็กๆ แห่งนี้

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เรื่องเล็กๆ ของคนธรรมดาผู้หนึ่งก็ตกอยู่ในมือของเขาเช่นนี้?

เผยหม่านสั่นศีรษะ แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ยังคงส่งคนไปจับตาดูสกุลอวี้อย่างแข็งขัน

ด้านอวี้เหวินก็ปวดหัวไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับทางสกุลเว่ยอย่างไร คาดไม่ถึงว่าผู้ที่แก้ไขสถานการณ์นี้กลับเป็นเว่ยเสี่ยวชวน…เขาเล่าความจริงการตายของเว่ยเสี่ยวซานให้บิดามารดาฟัง

นายท่านเว่ยและนายหญิงเว่ยเจ็บปวดรวดร้าว ชั่วขณะยามที่เพิ่งทราบข่าวนั้น แม้ว่าจะเกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน คิดว่าหากตอนแรกไม่เจรจาแต่งงานกับอวี้ถังก็คงจะดี รอจนสติสัมปชัญญะคืนมา ก็รู้สึกละอายใจกับความคิดเสียใจเมื่อครู่ที่เกิดขึ้น

สกุลอวี้ก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นกัน

คนปกติใครจะฆ่าคนเพราะขอหมั้นไม่สำเร็จบ้างกัน?

เมื่อคิดเช่นนี้ กลับกันยิ่งรู้สึกว่าอวี้ถังและคนสกุลอวี้เป็นคนดี หลังจากเกิดเรื่องขึ้นนอกจากไม่ปกปิดเรื่องนี้เพราะกังวลถึงชื่อเสียงของลูกสาว ตรงกันข้ามยังพยายามสืบหาฆาตกร หาทางให้ฆาตกรถูกลงโทษ

หลังจากสองสามีภรรยาก่นด่าสกุลหลี่อย่างรุนแรงไปพักใหญ่ก็ปรึกษากันด้วยดวงตาแดงก่ำ คิดว่าเรื่องนี้ไม่อาจให้สกุลอวี้ออกหน้าแทนตัวเองเพียงผู้เดียวเช่นนี้ได้ ลูกชายของพวกเขา หากไม่รู้สาเหตุการตายก็แล้วไป เมื่อรู้แล้ว ก็ควรร่วมกับสกุลอวี้ร้องหาความเป็นธรรมจากสกุลหลี่จึงจะถูก

นายท่านเว่ยบอกเรื่องนี้กับเว่ยเสี่ยวหยวนซึ่งเป็นลูกชายคนโต คล้อยหลังก็พาเว่ยเสี่ยวชวนไปสกุลอวี้

อวี้เหวินเมื่อได้พบนายท่านเว่ยก็รู้สึกผิดจนไม่รู้จะวางไม้วางมืออย่างไร ขอโทษนายท่านเว่ยอย่างลำบากใจ

นายท่านเว่ยเพิ่งผ่านการร้องไห้มาแต่ยังเอ่ยปลอบอวี้เหวินด้วยดวงตาแดงก่ำ “สกุลพวกเจ้าก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะพบกับสกุลบ้าบอเช่นนี้ คุณหนูของพวกเจ้าสบายดีหรือไม่? เกิดเรื่องเช่นนี้ นางคงจะเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด เจ้าพูดกับนางนะว่า สกุลพวกเราล้วนเป็นคนที่มีเหตุผล ไม่อาจโทษนาง ให้นางไปเที่ยวเล่นที่สกุลเราได้อย่างสบายใจ”

อวี้เหวินยังมีอะไรจะพูดได้อีก

สองวันนี้พูดได้ว่าอวี้ถังเชื่อฟัง ยอมรับการลงโทษของเขาอย่างสงบเสงี่ยม คัดอักษรแต่โดยดี ทว่าท่าทีก็ยังคงหม่นหมองอยู่ตลอดเวลา คาดว่าในใจคงยากจะรับไหวเช่นกัน ยามนี้สกุลเว่ยยังข่มกลั้นความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายมาปลอบใจอวี้ถัง…เขาค้อมกายคำนับให้กับนายท่านเว่ย

นายท่านเว่ยรีบพยุงอวี้เหวินขึ้นมา คิดในใจว่าน่าสงสารความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ชั่วขณะก็รู้สึกสนิทใจกับอวี้เหวินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงตั้งใจทำเรื่องดีให้ถึงที่สุด กำชับเว่ยเสี่ยวชวนว่า “เจ้าห้า ข้าว่าอย่างไรเจ้าไปพูดดีกว่า! เจ้าไปพูดกับพี่สาวสกุลอวี้ดีๆ เถิด”

เว่ยเสี่ยวชวนเผยหน้าเรียบนิ่ง พยักหน้าอย่างจริงจังก่อนจะไปหาอวี้ถัง

หลังจากอวี้ถังรู้ว่าเผยเยี่ยนรับปากเป็นคนกลางให้ ก็ค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก

ในเมื่อยืนยันแล้วว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของสกุลหลี่ นางก็ย่อมไม่อาจเลิกราง่ายๆ

จัดการสกุลหลี่อย่างโจ่งแจ้งไม่ไหว นางก็จะทำในที่มืด

เพียงแต่ยามนี้ไม่รู้ว่าตกลงเป็นใครในสกุลหลี่ที่วางแผนให้สังหารเว่ยเสี่ยวซาน? ทั้งยังมีเรื่องแผนที่เดินเรือ สกุลหลี่ในชาติก่อนย่อมรู้เรื่องแผนที่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่อาจทำการค้าทางทะเลขึ้นมาอย่างกะทันหันได้หรอก

ชาตินี้พวกเขาอย่าได้คิดเพ้อเจ้อเลย!

อวี้ถังเริ่มหวนนึกเรื่องในชาติก่อนอย่างละเอียด

อย่างเช่นว่า ยามที่พวกหลานฝ่ายมารดาของคนสกุลหลินมาเป็นแขกที่สกุลหลี่เคยพูดอะไรไว้บ้าง เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง ปกติสกุลหลี่มักให้นางไปส่งของขวัญในเทศกาลต่างๆ ให้คนแปลกหน้าคนใดบ้าง ทั้งคนสกุลหลินสนิทสนมกับนายหญิงหรือฮูหยินสกุลใดบ้าง

พวกนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องยิบย่อยไม่สลักสำคัญอะไร แต่กลับสามารถบอกความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันของสกุลหลี่กับนาง ทำให้นางคิดวิธีวิเคราะห์เรื่องราวได้อย่างละเอียด หาสาเหตุที่สกุลหลี่ร่ำรวยขึ้นมาในชาติก่อนได้

ยามนี้เรื่องแรกที่ต้องจัดการก็คือแผนที่เดินเรือนั่น

อวี้ถังคัดตัวอักษรของวันนี้เสร็จ ก็นำแผนที่นั้นมากางบนโต๊ะหนังสือ สำรวจตรวจตราอย่างละเอียด

เว่ยเสี่ยวชวนเคาะประตูหลายครั้ง นางก็ไม่ได้ยิน จวบจนเขาตะโกนเรียกนางจากข้างนอก นางจึงดึงสติกลับมา ลุกไปเปิดประตู

“พี่สาว เจ้าสบายดีหรือไม่?” เขากลัวว่าหากตัวเองเสียใจจะทำให้บิดามารดายิ่งเจ็บปวดไปอีก จึงข่มกลั้นน้ำตาไว้เรื่อยมา พออยู่เบื้องหน้าอวี้ถังที่ร่วมกันวางแผนทั้งเป็นคนที่เขารู้สึกชื่นชม ท้ายที่สุดน้ำตาก็ไหลทะลักออกมา กล่าวสะอึกสะอื้น “ครอบครัวของข้ารู้เรื่องหมดแล้ว กล่าวว่าพอถึงเวลานั้นจะไปที่เรือนสกุลเผยกับพวกเจ้าด้วย”

ยังคงเป็นครั้งแรกที่อวี้ถังเห็นเว่ยเสี่ยวชวนร้องไห้ราวกับเด็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของเขาด้วยความสงสาร ควักผ้าเช็ดน้ำตาให้เขา “พวกเราไปตัดสินความกัน ไม่ใช่ไปทะเลาะกันเสียหน่อย จะต้องการคนมากมายไปทำไม?”

นางคิดมาตลอดว่าเผยเยี่ยนเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย

“ครั้งนี้นายท่านสามสกุลเผยสามารถช่วยพวกเราได้ ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อย” นางกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ถึงเวลานั้นพวกเราฟังเขาก็เพียงพอแล้ว”

ชาติที่แล้ว ดูเหมือนว่าเผยเยี่ยนเคยเป็นคนกลางให้คนอื่นเพียงสองสามครั้งเท่านั้น แต่ทุกครั้งล้วนได้รับการชื่นชมจากผู้คน เห็นได้ว่าคนผู้นี้ยังคงมีความเที่ยงธรรมไม่น้อย

—————————————–

[1]สตรีไร้ความสามารถจึงจะนับว่ามีจรรยา เป็นความเชื่อของสังคมจีนโบราณที่คิดว่า สตรีไม่จำเป็นต้องมีความสามารถมากมาย แค่เชื่อฟังสามีก็เพียงพอแล้ว

[2]ไม้หนานมู่ ถือเป็นของล้ำค่าและหายาก มักนำมาใช้สร้างเรือและพระราชวัง

[3]พู่กันหูปี่ เป็นพู่กันขึ้นชื่อของหูโจว มีลักษณะปลายแหลม หัวกลมมน ขนเรียบและแข็งแรง

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset