สกุลอวี้เริ่มเตรียมของขวัญให้หม่าซิ่วเหนียงที่จะออกเรือน อวี้ถังก็หยิบเอาเครื่องประดับศีรษะที่เคยสั่งทำที่ร้านเครื่องเงินก่อนหน้านี้ออกมาด้วย
ป้าเฉินเห็นแล้วอดจะประหลาดใจไม่ได้ “คุณหนูเป็นสตรียังไม่ออกเรือน เหตุใดจึงมอบของสูงค่าเช่นนี้ จะดูมากเกินไปหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
อวี้ถังไม่คิดเช่นนั้น นางอยากจะตอบแทนไมตรีที่หม่าซิ่วเหนียงมีให้นางเมื่อชาติก่อน
คนสกุลเฉินแต่ไหนแต่ไรก็ตามใจอวี้ถัง ตอนนี้แม้จะรู้สึกว่าสิ่งของที่อวี้ถังอยากมอบให้สูงค่าไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง เพียงแก้ต่างแทนนางยิ้มๆ “ผู้อื่นดีมาก็ต้องดีตอบ อาถังยังไม่ออกเรือน รอให้นางแต่งงาน ซิ่วเหนียงก็ต้องมอบของขวัญที่ใกล้เคียงกัน ไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก”
ป้าเฉินพึมพำว่า “ท่านตามใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ!”
คนสกุลเฉินลูบหัวอวี้ถังยิ้มๆ “นางโตแล้ว ต่อไปในเรือนมีเรื่องใดก็ให้นางจัดการ จะสนิทกับใคร จะห่างเหินกับใคร ล้วนให้นางเป็นคนตัดสิน หากนางมีสหายที่ดี ข้าเองก็ดีใจ จะพูดว่าตามใจนางมากเกินไปได้อย่างไรเล่า!”
ป้าเฉินยังรู้สึกว่าคนสกุลเฉินปล่อยปละอวี้ถังมากเกินพอดี แต่ทำได้เพียงยิ้มแล้วส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะไปที่ห้องเก็บของ หยิบเอาผ้าชั้นดีสองพับมาเป็นของขวัญให้หม่าซิ่วเหนียงตามคำสั่งของคนสกุลเฉิน
อวี้ถังเห็นแล้วถึงได้รู้สึกว่าสิ่งของที่ตนเตรียมไว้สูงค่าเกินกว่าเหตุ แต่กลับเป็นคนสกุลเฉินที่ปลอบใจนางว่า “มิตรภาพของแต่ละคนไม่เท่ากัน เจ้ารู้สึกว่าเหมาะสมก็พอแล้ว”
ตั้งแต่ที่คนสกุลเฉินรู้ว่าเรื่องของเว่ยเสี่ยวซานทั้งหมดเป็นฝีมือของอวี้ถัง นางก็เชื่อว่าบุตรสาวของตนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รู้ความแล้ว จึงค่อยๆ มอบเรื่องในเรือนให้นางตัดสินใจเอง การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นนี้ ถือเป็นก้าวแรกที่คนสกุลเฉินจะปล่อยให้อวี้ถังได้เลือกเอง
อวี้ถังเดินทางไปเรือนสกุลหม่ากับมารดาด้วยความไม่สบายใจนัก
เพราะวันแต่งงานใกล้เข้ามา หม่าซิ่วเหนียงไม่ได้ออกจากเรือนมาพักใหญ่แล้ว ทุกวันหากมิใช่ทำงานเย็บปัก ก็ต้องคอยต้อนรับเหล่าสตรีที่เอาของขวัญมามอบให้ เมื่อได้เห็นอวี้ถัง นางก็ดีใจสุดขีด พอเอ่ยทักทายคนสกุลเฉินแล้วก็ลากอวี้ถังเข้าห้องของตนด้วยความเบิกบาน นางชงชาให้อวี้ถังดื่มด้วยตนเอง ก่อนจะถามความเป็นไปของอวี้ถังในช่วงนี้
อวี้ถังไม่ได้ปิดบังหม่าซิ่วเหนียง จึงเล่าเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างสกุลหลี่ให้หม่าซิ่วเหนียงฟัง
หม่าซิ่วเหนียงได้ยินก็อ้าปากค้าง เป็นครึ่งวันกว่าจะดึงสติกลับมาได้ แต่มิใช่ตกใจกับความไร้ยางอายของสกุลหลี่ ทว่ากลับถามไปถึงเผยเยี่ยนแทน “หล่อเหลาอย่างที่เขาพูดไว้จริงหรือไม่? ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเกรงใจหรือไม่? แล้วเจ้ามีโอกาสได้คุยกับเขาหรือเปล่า?”
นี่นับเป็นสถานการณ์แบบใดได้?
อวี้ถังพลันมึนงงไปชั่วขณะ
หม่าซิ่วเหนียงปิดปากหัวเราะ แล้วกระซิบบอกนางว่า “ข้าได้ยินท่านพ่อพูดว่า สกุลกู้กับสกุลเฉินแห่งหังโจวล้วนอยากยกบุตรสาวให้แต่งกับนายท่านสามสกุลเผย กำลังสั่งคนให้ตามสืบเรื่องของนายท่านสามอยู่น่ะ!”
ในความคิดของอวี้ถัง การมีอยู่ของเผยเยี่ยนก็เหมือนเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง นอกจากครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าเขาหน้าตางดงามหล่อเหลาแล้ว ครั้งอื่นๆ ต่างรู้สึกอยู่ตลอดว่าเขาเป็นคนเข้าถึงยาก ไม่อาจล่วงเกินได้ จึงไม่เคยสนใจเกี่ยวกับงานมงคลของเขาเลยสักนิด เวลานี้เมื่อได้ยินหม่าซิ่วเหนียงพูดถึง นางก็อดจะนึกย้อนถึงคู่หมายของเผยเยี่ยนเมื่อชาติก่อนไม่ได้
แต่นางนึกอยู่พักใหญ่ ก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเขาแต่งกับสตรีสกุลใดแน่ ถึงขนาดที่ว่า ในความทรงจำของนาง ไร้ซึ่งร่องรอยเกี่ยวกับบุตรสตรีของเผยเยี่ยนด้วยซ้ำ
เขาเหมือนกับเงาสายหนึ่ง ปกติไม่มีใครรู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา แต่ทุกครั้งที่ทุกคนนึกถึงเขา ล้วนแต่เป็นยามที่เมืองหลินอันเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้น
เช่นนั้นชาติก่อนเขาแต่งใครเป็นภรรยากันแน่นะ?
มีลูกกี่คน?
เป็นชายหรือหญิง?
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเลือนราง
นางเอ่ยขึ้นมาว่า “ตอนนี้นายท่านสามอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เขาไม่น่าจะสนใจเรื่องหมั้นหมายกระมัง!”
“ก็แน่นอน” หม่าซิ่วเหนียงบอกยิ้มๆ “แต่ถ้ารอให้นายท่านสามออกจากช่วงไว้ทุกข์แล้วค่อยเชิญให้คนไปคุยเรื่องหมั้นหมาย เช่นนั้นย่อมสายเกินไปแล้ว…สกุลกู้กับสกุลเฉินล้วนอยากให้บุตรสาวแต่งกับเขา ทั้งยังมีสกุลอื่นที่สนใจนายท่านสามเหมือนกับสกุลกู้และสกุลเฉินด้วย พวกเขาย่อมต้องรีบลงมือให้เร็วหน่อย!”
อวี้ถังได้ฟังก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดูเจ้าพูดเข้าสิ อย่างกับนายท่านสามเป็นเนื้อชิ้นหนึ่งเสียอย่างนั้น ใครๆ ต่างคิดจะแย่งชิง”
หม่าซิ่วเหนียงตอบกลับอย่างไม่รักษากิริยาว่า “นายท่านสามเป็นแค่เนื้อชิ้นหนึ่งที่ไหนกัน เจ้าดูนะ นี่เป็นถึงเนื้อถังเซิง[1]เชียว ต้องรอดูว่าสกุลใดจะเก่งกาจชิงเขามาได้ พูดถึงตรงนี้ ข้าก็อยากจะถามเจ้าหน่อย เรื่องงานแต่งของเจ้าวางแผนไปถึงไหนแล้ว? จะปล่อยให้เรื่องของสกุลหลี่มาทำให้ล่าช้ามิได้กระมัง? ฮูหยินหลี่ผู้นั้น คงต้องป่วยเป็นโรคอะไรแน่ๆ เพื่อจะขอหมั้นหมายเจ้าถึงกับทำเรื่องมากมายเพียงนี้ เจ้าคอยดูไปเถอะ รอให้ข้าแต่งงานแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าโพนทะนาเรื่องนี้ออกไป ถึงเวลานั้นดูสิว่าใครจะกล้าแต่งให้สกุลนั้นอีก!”
อวี้ถังดึงมือหม่าซิ่วเหนียงมากุมไว้ด้วยความซาบซึ้ง
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ หม่าซิ่วเหนียงก็ยังจริงใจต่อนางไม่เคยเปลี่ยน
นางเอ่ยกำชับต่อว่า “เรื่องนี้ซับซ้อนนัก บิดากับมารดาข้ายื่นมือเข้ามาจัดการแล้ว พวกเราตอนนี้ก็คอยดูไปก่อนว่าผู้ใหญ่จะจัดการอย่างไร เจ้าน่ะ ทำตัวเป็นเจ้าสาวที่เบิกบานใจก็พอแล้ว”
อวี้ถังไม่อยากดึงหม่าซิ่วเหนียงเข้ามาเกี่ยวพัน
นางสมควรจะมีชีวิตแต่งงานที่ราบรื่นไร้กังวล ไม่ควรต้องมาปวดหัวเพราะเรื่องวุ่นๆ ของตนอีก ทั้งนางก็ไม่ได้บอกหม่าซิ่วเหนียงถึงเจตนาแท้จริงที่สกุลหลี่ต้องการจะมาสู่ขอนาง
หม่าซิ่วเหนียงนิ่งคิด รู้สึกว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล แต่ก็ยังไม่วายพูดกับอวี้ถังอีกว่า “แต่ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยก็บอกได้เลยนะ อย่าได้เกรงใจเป็นอันขาด”
อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ มีเรื่องใดย่อมไปขอให้เจ้าช่วยอยู่แล้ว”
“ต้องแบบนี้สิ!” หม่าซิ่วเหนียงหัวเราะอย่างพอใจ แล้วหยิบขนมเปี๊ยะมงคลยื่นให้นาง
อวี้ถังหยิบเครื่องประดับศีรษะที่จะมอบเป็นของขวัญให้นางออกมา
หม่าซิ่วเหนียงตื่นตะลึง เดิมนางไม่คิดจะรับไว้ แต่เห็นถึงความตั้งใจของอวี้ถัง คิดว่าภายหลังค่อยตอบแทนนางคืนด้วยของขวัญชิ้นใหญ่ก็ใช้ได้แล้ว จึงไม่ได้เกรงอกเกรงใจ แล้วรับของเอาไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง
สหายคนอื่นๆ ที่สนิทสนมกับหม่าซิ่วเหนียงได้ติดตามมารดาของตนมามอบของขวัญให้หม่าซิ่วเหนียงเช่นเดียวกัน
หม่าซิ่วเหนียงแนะนำอวี้ถังให้ทุกคนรู้จัก
ในชาติก่อนอวี้ถังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่ได้มาส่งหม่าซิ่วเหนียงออกเรือนด้วยตนเอง วันนี้จึงได้รู้จักกับสหายสนิทหลายคนของหม่าซิ่วเหนียง
ในเมื่อเป็นเพื่อนเล่นกับหม่าซิ่วเหนียงได้ นิสัยก็คงเข้ากันกับหม่าซิ่วเหนียงได้ดี หากไม่เหนือความคาดหมาย ย่อมเข้ากันได้กับอวี้ถังเช่นเดียวกัน ญาติผู้น้องของหม่าซิ่วเหนียงถึงกับตำหนิหม่าซิ่วเหนียงว่าเหตุใดไม่แนะนำอวี้ถังมาให้พวกนางรู้จักเร็วกว่านี้หน่อย เช่นนั้นงานลอยประทีปตอนกลางเดือนเจ็ดจะได้มีสหายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
ชาติก่อนนั้นเพราะมารดาล้มป่วย อวี้ถังจึงมักอยู่เป็นเพื่อนมารดาที่เรือน ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นด้านนอกเท่าไรนัก วันนี้เหตุเพราะได้กลับมาเกิดอีกครั้ง และมีวาสนาได้อาศัยความสัมพันธ์ของสกุลเผย ทำให้อาการป่วยของมารดาดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งส่งผลให้ชะตาที่บิดามารดาของนางต้องตายในชาติก่อนต้องเปลี่ยนไป นางรู้สึกเป็นสุขยิ่ง จึงทำตัวร่าเริงและรู้ความกว่าชาติก่อนมาก ทันทีที่ได้เจอเหล่าแม่นางน้อยก็เล่นด้วยกันได้อย่างกลมกลืน นี่ย่อมไม่อาจโทษหม่าซิ่วเหนียงได้
หม่าซิ่วเหนียงเป็นคนชอบปกป้องสหาย จึงไม่พูดถึงว่าแต่ก่อนอวี้ถังเป็นเช่นไร เพียงตอบไปว่าตนไม่ทันคิด แล้วจะหาทางชดเชยให้ญาติผู้น้อง ถึงได้จบเรื่องนี้ไปได้
อวี้ถังยิ่งรู้สึกว่าหม่าซิ่วเหนียงเป็นคนดียิ่ง ตอนที่หม่าซิ่วเหนียงจะออกเรือน นางจึงช่วยงานจนมือเท้าพันกันหมดวุ่นวายอยู่สี่ห้าวันเต็มๆ
กระทั่งถึงวันแต่งงานของหม่าซิ่วเหนียง อวี้ถังก็ปล่อยโฮสุดเสียง ปวดใจยิ่งกว่านายหญิงหม่าเสียอีก ทำเอานายหญิงหม่าร้องไห้ต่อไม่ไหว หันไปกระเซ้าคนสกุลเฉินว่า “คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเป็นบุตรสาวอีกคนของข้าแล้ว? ข้าว่าไม่ต้องตามเจ้ากลับเรือนหรอก รั้งตัวอยู่ที่นี่มาเป็นบุตรสาวของข้าเลย”
คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็หัวเราะชอบใจ
อวี้ถังรู้สึกว่าตนได้ระบายความคับข้องใจ เอ่ยด้วยเสียงสะอื้นว่า “พี่สาวหม่าออกเรือนแล้ว ก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่สามี ดูแลอาน้าของสามี ท่าน ท่านไม่เป็นห่วงเลยหรือเจ้าคะ?”
“ข้ามีอะไรให้ห่วงกันเล่า?” นายหญิงหม่าชี้ไปยังคุณชายจางที่ยืนอยู่ไม่ไกล “พี่เขยเจ้าหากกล้าแตะต้องพี่สาวเจ้าแม้เพียงปลายเล็บ ข้าจะให้คนไปรับนางกลับมาเดี๋ยวนั้นเลย”
เหล่าสตรีในเรือนพากันหัวเราะเฮฮาอีกครั้ง
คนสกุลเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก โอบบุตรสาวมากอดไว้กับอก ทางหนึ่งก็ดึงผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าให้นาง ทางหนึ่งก็บ่นว่า “เจ้าเด็กคนนี้ วันนี้เป็นงานมงคล เจ้าอย่ามองว่าป้าหม่านางร้องไห้เพราะเสียใจ ความจริงก็ทำท่าไปอย่างนั้น กลับเป็นเจ้านี่สิ ที่ปล่อยโฮออกมาจริงๆ เสียได้”
อวี้ถังซุกตัวอยู่ในอกมารดาด้วยความอับอาย เป็นเหตุให้ทุกคนขบขันกันอีกรอบ
อาจเพราะมีเรื่องเฮฮามาแทรก งานแต่งของหม่าซิ่วเหนียงจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศน่ายินดี เป็นการส่งตัวออกเรือนพร้อมเสียงหัวเราะที่ยากจะได้พบเห็นในเมืองหลินอัน
ผ่านพ้นงานแต่งงานของหม่าซิ่วเหนียงไป ทางด้านสกุลหลี่ก็มีความเคลื่อนไหวทันที
เริ่มจากพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่กับผู้ลี้ภัยสองคนถูกตัดสินให้เนรเทศไปไกลกว่าสามพันลี้ ตามมาด้วยสิ่งที่สกุลหลี่เคยรับปากเอาไว้ก่อนหน้านั้น ภรรยาและลูกๆ ของพ่อบ้านใหญ่รวมถึงญาติที่เกี่ยวดองผ่านการแต่งงานซึ่งอยู่ในสกุลหลี่ล้วนต้องถูกขับไล่ออกไป
ทว่าตอนที่พ่อบ้านใหญ่ถูกเนรเทศนั้น สกุลหลี่ได้ฝากฝังให้คนของศาลาว่าการดูแลเขาระหว่างทางหรือไม่ บ่าวรับใช้ที่ถูกขับไล่ออกมาจากสกุลหลี่มีกี่คนแน่ที่เกี่ยวดองกับเขาจริงๆ สกุลอวี้ก็ไม่มีทางจะรู้ได้เลย
นายท่านอู๋เอ่ยปลอบใจอวี้เหวินว่า “เรื่องนี้สกุลหลี่ยอมอ่อนลงให้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่มีทางทำได้สะอาดหมดจดหรอก”
นอกจากสกุลหลี่ล่มสลายเท่านั้น
อวี้เหวินก็เข้าใจดี จึงกล่าวขอบคุณนายท่านอู๋ไป บอกว่าไม่ได้คิดแค้นอะไรกับสกุลหลี่แล้ว ก่อนจะนัดแนะเวลากับนายท่านอู๋ เพื่อไปดูหลี่ตวนใส่ชุดกระสอบเพื่ออุทิศให้กับเว่ยเสี่ยวซานที่วัดเจาหมิง
คนในเมืองหลินอันถึงได้รู้ว่าฮูหยินหลี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเว่ยเสี่ยวซาน
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา คิดกันว่าแม้ฮูหยินหลี่จะเป็นหญิงที่ออกเรือนแล้ว แต่ใจคอกลับโหดเหี้ยมยิ่งนัก เด็กบ้านสกุลหลี่นับเป็นบุตรของพวกเขา แล้วเด็กบ้านผู้อื่นมิใช่มีพ่อมีแม่เหมือนกันหรือ? ทั้งยังแอบพูดกันลับๆ ว่า โชคดีที่สกุลอวี้ไม่ได้ตอบตกลงเรื่องแต่งงานไป ไม่อย่างนั้นต่อให้แม่นางอวี้แต่งไปแล้ว น่ากลัวคงถูกแม่สามีข่มเหงทุกเมื่อเชื่อวัน ถูกทรมานอย่างสาหัสแน่
มีคนพูดเรื่องงานหมั้นหมายของหลี่ตวนขึ้นมา “ไม่รู้ว่าถ้าคุณหนูใหญ่สกุลกู้แต่งเข้าไปแล้ว นางจะกล้าสร้างความลำบากให้คุณหนูสกุลกู้หรือไม่?”
“นั่นก็ว่าไม่ได้หรอก!” บางคนบอกว่าฮูหยินหลี่มีชีวิตที่ราบรื่นจนเกินไป จึงไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น “คุณหนูกู้มีชาติกำเนิดดีแล้วมีประโยชน์อันใดเล่า? พอแต่งเข้าสกุลหลี่ ก็เป็นสะใภ้ของสกุลหลี่ อย่างไรก็ต้องเชื่อฟังสกุลหลี่อยู่ดี”
“กลัวแต่ว่าคุณหนูใหญ่สกุลกู้ก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ น่ะสิ” บางคนที่อยู่ตรงนั้นบ้างก็รู้สึกสาแก่ใจต่อความหายนะของผู้อื่น รอดูเรื่องขายขี้หน้าของสกุลหลี่
ตั้งแต่คนสกุลหลินรู้ว่าหลี่ตวนต้องใส่ผ้ากระสอบเพื่ออุทิศให้กับเว่ยเสี่ยวซาน ก็โมโหจนล้มป่วย
บนหน้าผากคนสกุลหลินมีผ้าขาวพันรอบ นั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าอิดโรย นางผลักถ้วยยาที่อยู่ในมือของหลี่จวิ้นออก จนยาต้มแทบจะหกรดใส่ตัวหลี่จวิ้น คนสกุลหลินพลันตวาดใส่หลี่จวิ้นว่า “เจ้าเป็นคนตายอย่างนั้นรึ? ข้าบอกเจ้าไว้อย่างไร? เจ้ากลับปล่อยให้พี่ชายเจ้าไปวัดเจาหมิง? ต่อไปเขาต้องเป็นขุนนางใหญ่โต ต้องเข้าร่วมสำนักเป็นมหาบัณฑิต ทำไมถึงปล่อยให้พี่ชายเจ้าไปสวมผ้ากระสอบให้กับไอ้ชาวนาบ้านนอกคนนั้น? ข้ากับบิดาเจ้ายังไม่ตายเลย! ต่อไปเจ้าจะให้พี่ชายเจ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? เจ้ารอคอยให้ถึงวันนี้มาตลอดใช่หรือไม่!”
หลี่จวิ้นก็ขมขื่นจนพูดอะไรไม่ออก
เขาได้แต่ค่อยๆ เคลื่อนถ้วยยาไปเบื้องหน้ามารดาอย่างระมัดระวัง กล่อมนางเสียงเบาว่า “ท่านแม่ เรื่องนี้ท่านพี่ได้เขียนจดหมายถึงท่านพ่อแล้ว ท่านพ่อต้องมีทางออกแน่ ท่านอย่าได้กังวลเลย สุขภาพของท่านสำคัญที่สุด รีบดื่มยาถ้วยนี้แล้วค่อยว่ากันนะขอรับ”
————————————————————-
[1]เนื้อถังเซิง หรือ เนื้อพระถังซัมจั๋ง มีความเชื่อว่าหากได้กินเนื้อพระถังซัมจั๋งเข้าไปจะอายุยืนยาวไม่แก่ เล่าว่าเหล่ามารล้วนน้ำลายไหลเพราะอยากกิน