ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 86 ก่อนขึ้นปีใหม่

นี่คือต้องการให้สองสกุลประชันกันฉากหนึ่งก่อน!

เผยหม่านเข้าใจความนัย ยิ้มรับ ก่อนจะพลิกกระดาษไปหน้าที่อาหมิงอ่านค้างไว้ เตรียมจะอ่านให้เผยเยี่ยนฟังต่อ

เผยเยี่ยนยกมือทำท่า ‘ไม่ต้อง’ แล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นรายการของขวัญที่สกุลอู่ส่งมา เจ้าเอาไปดูเถิด เตรียมของขวัญที่ทัดเทียมกันส่งคืนไป จากนั้นดูว่าของที่ส่งมามีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้าง”

เผยหม่านรู้ดีว่าเขาโปรดปรานอันใด ตอบรับอย่างนอบน้อม ก่อนจะขอตัวออกไป

เผยเยี่ยนรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง คว้าห่วงประตูอันนั้นติดมือออกไปหาพี่รองคุยเรื่องเทศกาลปีใหม่ ทั้งแวะไปน้อมทักทายมารดาของเขา ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายไปห้องหนังสือด้านนอก

สถานที่ที่เคยใช้ต้อนรับสองพ่อลูกสกุลอวี้มาก่อน เวลานี้ นอกจากห้องหนังสือของเผยเยี่ยนแล้ว ห้องอื่นๆ ล้วนจุดไฟสว่างจ้า ผู้จัดการบัญชี ผู้ดูแล เสมียน ทั้งบ่าวรับใช้ต่างยุ่งพัลวันจนเท้าไม่ติดพื้น แม้ทุกคนจะพยายามพูดกันเสียงเบา กลับยังคงอึกทึกครึกโครม ความโกลาหลที่อยู่เบื้องหน้าพาให้เผยเยี่ยนขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

“นายท่านสาม!” ทุกคนได้ยินเสียงเคลื่อนไหว พบว่าผู้ที่มาคือเผยเยี่ยน จึงพากันเข้ามาคำนับ

เผยเยี่ยนผงกศีรษะ ทอดสายตามองไปยังเผยหม่าน

เผยหม่านเอ่ยละล่ำละลัก “รายการของขวัญของสกุลอู่ได้ลงบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว พวกผู้ดูแลของพวกเรากำลังปรึกษาตระเตรียมของขวัญส่งตอบ” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “แม้ยามนี้ท่านไม่เข้ามา ข้าก็เตรียมจะไปพบท่านอยู่เช่นกัน…ของบางชิ้นที่สกุลอู่ส่งมาล้ำค่าอยู่บ้าง ข้าให้ผู้จัดการบัญชีคำนวณดู อย่างน้อยที่สุดก็มีค่าถึงหนึ่งหมื่นตำลึง ภายในนั้นมีเจ็ดพันกว่าตำลึงที่ชี้ชัดว่ามอบให้นายท่าน”

สกุลอู่มาเพราะมีเรื่องให้ช่วยเหลืออย่างเห็นได้ชัด

แต่คนอื่นในสกุลเผยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ พากันมองเผยเยี่ยนอย่างเคารพนับถือ คล้ายว่าเพิ่งรู้จักกับคนผู้นี้มิปาน

เผยเยี่ยนเบะปาก ลูบห่วงประตูที่คาบอยู่ในปากสิงโต นึกถึงสกุลอวี้ที่จะแบ่งกำไรให้เขาเจ็ดส่วน

หากรู้ว่าเวลาเพียงแค่สองวันเขาก็ได้รับของขวัญมากมายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพ่อลูกคู่นี้จะตกใจถึงเพียงใด?

“เช่นนั้นก็รับไว้” หลังจากเผยเยี่ยนแตกคอกับศิษย์พี่รอง ก็ไม่ค่อยชอบใจคนข้างกายทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับศิษย์พี่รองเท่าใด “ข้าไม่รับไว้ คนอื่นจะไม่สบายใจเอาได้!”

เผยหม่านรับคำสั่งทั้งรอยยิ้ม เวลานี้มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามา เอ่ยอย่างกระหืดกระหอบ “นายท่านสาม ใต้เท้าเติ้ง เติ้งเสวียซง ผู้ตรวจการศึกษามาขอพบขอรับ”

เผยเยี่ยนคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง

ยามนี้เย็นมากแล้ว แม้เขาและเติ้งเสวียซงจะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก แต่เติ้งเสวียซงมีชาติกำเนิดต่ำต้อย นิสัยหยิ่งทะนง ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ผิวเผินเป็นอย่างมาก ตามหลักแล้ว เติ้งเสวียซงไม่ควรมาเข้าพบเขาในเวลานี้

หรือจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแผนที่?

เผยเยี่ยนลูบคาง ก่อนจะไปพบแขกที่ห้องอุ่น[1]

เติ้งเสวียซงอายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างผอมสูง ไว้เคราแพะ เปลือกตาปิดลงครึ่งหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ โดยมีหูซิ่งคอยรับใช้อย่างเอาใจใส่ ใบหน้าเรียบนิ่ง

เมื่อเห็นเผยเยี่ยน เขาก็ผงกศีรษะให้เผยเยี่ยนอย่างวางมาด

เติ้งเสวียซงก็ไม่ได้ชอบเผยเยี่ยนเท่าใด คิดว่าเผยเยี่ยนมีสติปัญญาเลิศเลอ กลับถือดีเอาแต่ใจตนเอง พรสวรรค์ที่ผู้คนมากมายล้วนถวิลหา แต่ตัวเขาเองหาได้ใส่ใจไม่ กระนั้นทั้งสองคนเป็นสหายร่วมสำนัก แม้เขาจะไม่ชอบเผยเยี่ยนอย่างไร ก็ไม่อาจบาดหมางกันได้ ดีที่ในอดีต เขาเคยช่วยเหลือเผยเยี่ยนครั้งหนึ่ง ยามนี้จึงทำให้เขามีความมั่นใจอยู่บ้าง

หลังจากทั้งสองคนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เติ้งเสวียซงก็บอกจุดประสงค์ที่มาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าได้ยินว่านายท่านใหญ่สกุลอู่แห่งหูโจวอยู่ที่นี่? เจ้าคงจะรู้แล้วว่าสกุลอู่แห่งหูโจวเคยทำสิ่งใดมาก่อน?”

เผยเยี่ยนแค่นเสียงอยู่ในใจ ไม่ต้องคิดก็มั่นใจได้แล้วว่า เติ้งเสวียซงมาเพราะแผนที่นั่น แค่ไม่รู้ว่าเขาอยากช่วยออกหน้าให้กับสกุลใดเท่านั้น? สามารถเอ่ยขัดขาสกุลญาติของเจียงหวาออกมาตรงๆ เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ขอให้เขาออกหน้า ย่อมไม่ใช่สกุลธรรมดาสามัญ แต่เหตุใดพวกเขาไม่ออกหน้า มาพบเขาตรงๆ กัน กลับต้องให้เติ้งเสวียซงมาเป็นคนกลาง?

เผยเยี่ยนแสร้งทำหน้าซื่อ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรสกุลอู่ก็เป็นญาติกับศิษย์พี่รองข้า ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?”

พอคำพูดออกจากปาก เผยเยี่ยนก็คิดคล้อยตาม

กระทั่งโจวจื่อจินยังได้ยินมาว่าเขาและศิษย์พี่รองแตกคอกัน คนพวกนี้คงไม่คิดแบบเดียวกันหรอกกระมัง?

นี่ก็น่าสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว!

เผยเยี่ยนครุ่นคิด พลางผลักจานผลไม้ของว่างไปทางเติ้งเสวียซง “ชิมดูสิ เถาจื่อหรันให้คนส่งขนมเปี๊ยะอวยพรมาให้ข้าจากกว่างโจว ข้าชิมแล้ว นับว่าสมคำเล่าลือจริงๆ”

เถาอัน มีนามรองว่า จื่อหรัน ยามที่รับตำแหน่งอาลักษณ์ในกรมโยธาธิการ มีเติ้งเสวียซงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา

เติ้งเสวียซงได้ฟังสีหน้าพลันแข็งทื่อ คงจะทราบแล้วว่าคนสกุลเถาทำเรื่องอะไรไปบ้าง

เผยเยี่ยนหัวเราะร่วน หยิบขนมเปี๊ยะอวยพรชิ้นหนึ่งส่งให้เติ้งเสวียซง “กินขนมเสียสิ!”

เติ้งเสวียซงฝืนกินหนึ่งชิ้น เอ่ยชมอยู่สองสามคำ ครุ่นคิด รู้สึกว่าตัวเองพูดเก่งสู้เถาอันไม่ได้ จึงเอ่ยอย่างรู้แล้วรู้รอดไป “เช่นนั้นข้าก็ไม่อ้อมค้อมแล้ว สกุลอิ้นแห่งเฉวียนโจวมีบุญคุณกับข้า จึงให้ข้ามาเป็นคนกลางแทนพวกเขา อย่างไรขอสยากวงพบพวกเขาเสียหน่อยเถิด”

สกุลอิ้นแห่งเฉวียนโจว สกุลเผิงแห่งฝูโจว และสกุลลี่แห่งหลงเหยียน ถูกขนานนามว่าเป็นสามสกุลใหญ่ในฝูเจี้ยน สกุลอิ้นแห่งเฉวียนโจวสร้างตัวโดยการทำชา ภายหลังถูกสกุลลี่แห่งหลงเหยียนกดหัว จึงเปลี่ยนมาทำการขนส่งทางทะเล เป็นกลุ่มเรือปัจจุบันในฝูเจี้ยน นอกจากสกุลเผิง ส่วนใหญ่ที่เหลือก็เป็นของสกุลอิ้น สกุลอิ้นไม่มีความมุมานะเท่าสกุลลี่ ทั้งอำนาจยังเทียบสกุลเผิงไม่ได้ แต่สกุลพวกเขาก็มีข้อได้เปรียบของตัวเองเช่นกัน…หลายปีมานี้ สกุลอิ้นทุ่มเทกำลังกับชนชั้นบัณฑิตมาโดยตลอด ช่วยเหลือบัณฑิตมากมาย ในสามสกุล กลับเป็นสกุลพวกเขาที่ข่าวสารฉับไวที่สุด ทำเรื่องคล่องแคล่ว ทั้งมีไหวพริบที่สุด

ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนยังเคยลังเลว่าจะลากสกุลอิ้นเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่

มาถึงตอนนี้ก็ดี ไม่ต้องให้เขาออกหน้า สกุลอิ้นก็กระโดดออกมาเอง

เผยเยี่ยนก็ไม่อ้อมค้อมกับเติ้งเสวียซงแล้ว เอ่ยตรงๆ “พวกเราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ข้าก็จะพูดตรงๆ แล้วกัน หากมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ถึงเวลานั้นก็เตือนข้าเสียหน่อย ในช่วงเวลาสั้นๆ แผนที่นั้นยังไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ข้าก็ไม่ได้ป่าวประกาศใหญ่โต แต่ว่า ข้ามีเรื่องอยากรบกวนสกุลอิ้นอยู่พอดี หากเรื่องนี้สำเร็จ ไม่ว่าแผนที่นั้นจะเป็นอย่างไร ข้าก็จะนับพวกเขาเป็นหุ้นส่วนไปด้วย”

เติ้งเสวียซงได้ยินก็ใจเต้นระรัว “นับเป็นหุ้นส่วน?”

เผยเยี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านคงไม่คิดว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แค่พวกเราไม่กี่สกุลก็สามารถกลืนลงท้องได้หมดกระมัง?”

เติ้งเสวียซงก็เป็นคนหนึ่งที่เอาแต่พากเพียรเรียนในตำรา ไม่ชื่นชอบทั้งไม่ใส่ใจเกี่ยวกับการค้าขายลงทุน เมื่อได้ฟังใบหน้าก็ขึ้นสี “เจ้าก็กล่าวว่าพวกเราไม่ใช่คนอื่นคนไกล เจ้าพูดมาเถิด อยากให้ข้าทำสิ่งใด?”

เผยเยี่ยนก็ไม่เกรงใจ “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้สกุลอิ้นช่วยเหลือ ท่านให้สกุลพวกเขาหาคนที่พอพูดจาถูกคอมาเถิด”

สามารถทำให้เผยเยี่ยนเอ่ยปากขอร้อง ทั้งใช้การค้าทางทะเลเป็นเหยื่อล่อ เติ้งเสวียซงก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา

สิ่งที่เขาทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว ต่อไปก็ไม่คิดที่จะติดไปกับน้ำโคลนนี้แล้ว

“ได้! เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้” เขายืนขึ้นอย่างว่องไว “ยามนี้ก็เย็นมากแล้ว ข้ายังต้องเดินทางกลับหังโจวทั้งคืน เจ้าก็อย่ารั้งข้าเลย ปลายปียังมีการสอบประเมินอีก ข้าไม่อาจถ่วงภาระสำคัญให้ล่าช้า”

เผยเยี่ยนก็ไม่ฝืนรั้ง ไปส่งเติ้งเสวียซงออกจากประตูด้วยตนเอง ระหว่างทางยังเอ่ยถึงเรื่องอวี้เหวิน “แม้จะเป็นซิ่วไฉคนหนึ่ง การสอบประเมินประจำปีอาจไม่เกี่ยวกับท่านโดยตรง แต่อย่างไรท่านก็ไถ่ถามทักทาย มีอะไรที่ช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือหน่อยก็แล้วกัน”

ทุกปีซิ่วไฉต้องเข้าสอบประเมินผล หากสอบไม่ผ่าน ก็อาจจะถูกริบตำแหน่งซิ่วไฉคืน

เติ้งเสวียซงไม่มากความ อย่างไรเผยเยี่ยนก็รับน้ำใจครั้งนี้แล้ว เขาเอ่ย “เจ้าวางใจ เรื่องนี้ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร ถึงเวลานั้นจะให้คนส่งจดหมายให้เจ้า”

เผยเยี่ยนคิดว่านี่ก็นับเป็นการขอบคุณห่วงประตูสิงโตอันนั้นแล้วกัน มองเกี้ยวของเติ้งเสวียซงฝ่าลมหนาวออกจากตรอกเสี่ยวเหมยไป เผยเยี่ยนก็ไปจัดการกิจธุระทั่วไปในห้องหนังสือข้างนอกอีกครั้ง

ผู้คนต่างยุ่งวุ่นวายไปทุกหนทุกแห่ง ผู้ดูแลไม่กี่คนกลับล้อมหน้าโต๊ะหนังสือ ด้านบนนั้นมีห่วงประตูสิงโตที่เขาทิ้งไว้ทับสมุดบัญชี พากันพูดคุยเรื่องห่วงประตูอันนั้นขึ้นมา “คาดไม่ถึงว่านายท่านสามก็มีอันหนึ่งเช่นกัน หากรู้อย่างนี้ ข้าคงนำออกมาจากร้านค้า ไม่ก็ส่งให้นายท่านสามแล้ว จะได้ครบคู่ นับว่าคุ้มค่าหน่อย”

เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างแปลกใจ “ที่ใดยังมีห่วงประตูสิงโตอีก?”

ผู้ดูแลคนนั้นเอ่ย “ในร้านโบราณวัตถุ มีห่วงประตูสิงโตแบบเดียวกับอันนี้ไม่ผิดเพี้ยน แต่ไม่กี่วันก่อนก็ขายออกไป เสียใจก็คงไม่ทันแล้วขอรับ”

เผยเยี่ยนได้ยินสีหน้าก็แปลกประหลาดไปอยู่บ้าง “ขายไปนานหรือยัง? ขายเท่าใด?”

ผู้ดูแลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องไม่กี่วันก่อนขอรับ ท่านก็รู้ ของสิ่งนี้เดิมก็ไม่มีมูลค่าอะไร ทั้งยังเหลืออันเดียวยิ่งแล้วใหญ่ พวกเราขายไปสองตำลึง หากรู้ว่าท่านมีที่นี่อีกอัน อย่างน้อยที่สุดก็คงสามารถขายได้ถึงหนึ่งร้อยตำลึง”

“อ้อ!” เผยเยี่ยนเอ่ยรับด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “เช่นนั้นพวกเจ้าก็สะสางงานต่อเถิด ข้าจะกลับไปพักแล้ว!”

ผู้ดูแลไม่กี่คนอย่างไรก็มักดูสีหน้าเขาในการกระทำเรื่อง ย่อมมีความสามารถสังเกตสีหน้า ตระหนักได้ทันทีว่าเขาอารมณ์ไม่ดี

ทุกคนต่างเหลียวหน้ามองกัน ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้า

ส่งสายตาแลกเปลี่ยน ไม่ทราบว่าควรพูดอะไรดี

รอจนเผยเยี่ยนจากไป เผยหม่านอดไม่ได้ซัดฝ่ามือใส่คนผู้หนึ่งไป “ยังไม่ทำงานดีๆ อีก? หรือไม่อยากหลับอยากนอนข้ามคืนกัน?”

ผู้ดูแลผู้นั้นจับศีรษะอย่างตกใจ รีบวางห่วงประตูนั้นลง ไปตรวจสอบบัญชีต่อ

เผยหม่านมองห่วงประตูที่แผ่รังสีอึมครึม รู้สึกราวกับว่ามันเป็นเผือกร้อนชิ้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร

แต่ก็ไม่อาจทิ้งไว้ตรงนี้โดยไม่สนใจได้กระมัง!

เขาใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก กวักมือเรียกอาหมิงเข้ามา กำชับเขาเสียงเบา “เจ้าหาโอกาสแอบนำมันไปวางไว้บนชั้นหนังสือนายท่านสามเสีย”

ยามใดที่นายท่านสามไปหยิบหนังสือแล้วพบเข้า นั่นย่อมเรียกว่าโชคชะตา หากไม่พบก็ไม่หายไปไหนเช่นกัน

อาหมิงทำตามคำสั่ง นำห่วงประตูไปวาง

ยามอู่[2]ของวันที่สอง คนสกุลอิ้นก็มาถึงหลินอัน

เขาเป็นลูกชายภรรยาเอกของสกุลอิ้น ทั้งเป็นผู้นำสกุลคนถัดไปของสกุลอิ้น

ก่อนมา สกุลพวกเขาก็สืบข่าวเผยเยี่ยนมาอย่างละเอียด ทราบว่านี่เป็นเทศกาลปีใหม่แรกหลังจากที่เผยเยี่ยนรับช่วงต่อเป็นผู้นำสกุล คิดไปทางเดียวกับสกุลอู่ เผยเยี่ยนย่อมต้องการสร้างอำนาจบารมี รถขนาดเล็กขนาดใหญ่ของพวกเขา จึงลากของมาเยี่ยมเยือนเผยเยี่ยนเกือบสิบคันรถม้า

วันนั้นอวี้ถังบังเอิญออกไปส่งของขวัญกับมารดาให้นายหญิงหม่า นั่งในเกี้ยวแง้มผ้าม่านมองเห็นอย่างชัดเจน หลังจากกลับไปคนสกุลเฉินยังเอ่ยกับอวี้เหวิน “ไม่แปลกใจที่ท่านผู้เฒ่ามอบตำแหน่งผู้นำสกุลให้นายท่านสาม การส่งของขวัญในปีนี้ คึกคักยิ่งกว่าปีที่ผ่านมาเป็นร้อยเท่า ภายหลังสกุลเผยย่อมเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆ เจ้าว่า สกุลเผยจะย้ายไปอยู่เมืองหังโจวหรือไม่”

โยนหม้อออกไปแล้ว อาการป่วยของภรรยาก็มีหมอเลื่องชื่อดูแล นับวันลูกสาวก็เชื่อฟังมากยิ่งขึ้น เรื่องในบ้านล้วนราบรื่นไปหมด การใช้ชีวิตของอวี้เหวินสบายขึ้นมาไม่รู้ตั้งเท่าใด ทั้งเริ่มคิดจะขังตัวเองอยู่ในห้องแกะสลักตราประทับ อ่านหนังสือเล่น เขาครุ่นคิดว่ารอต้นฤดูใบไม้ผลิอวี้หย่วนแต่งงาน งานมงคลของอวี้ถังก็สามารถวางแผนได้แล้วเช่นกัน เขาควรจะแกะสลักตราประทับให้ลูกสาวเสียหน่อย ภายหลังอวี้ถังดูแลบ้าน ก็สามารถใช้ตราประทับยืนยันการจ่ายเงินหรือใช้รับรองการกู้ยืม คิดแล้วก็ดูดีไม่หยอก

“ไม่หรอก!” เขาพินิจตราประทับ พลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “หากสกุลเผยคิดจะย้ายคงย้ายไปนานแล้ว อีกอย่าง เมืองหังโจวก็ไม่ได้ตั้งรกรากง่ายดายถึงเพียงนั้น”

สองสามีภรรยาคุยเล่นกันอย่างเอื่อยเฉื่อย ในใจอวี้ถังกลับร้อนรนอยู่บ้าง

ดูท่าแล้ว เรื่องการประมูลคงยืดเยื้อจนถึงหลังปีใหม่

ไม่รู้ว่าพวกคนที่มาส่งของขวัญเกี่ยวข้องกับการประมูลแผนที่หรือไม่?

อวี้ถังถอนหายใจเบาๆ

————————–

[1]ห้องอุ่น คือห้องเล็กๆ ที่กั้นแยกออกมาจากห้องใหญ่ ติดตั้งเตาผิงเพื่อให้ความอบอุ่น

[2]ยามอู่ เวลา 11:00-12:59น.

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset