ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 87 เทียบเชิญ

ด้านหลี่ตวนกลับร้อนรนดั่งไฟสุม

เพราะเรื่องแผนที่ ช่วงนี้เขาและคนสกุลหลินแทบไม่ได้ก้าวเท้าออกจากเรือน ของขวัญปีใหม่ในบ้าน ก็เป็นคนสกุลหลินคอยจัดการ แต่มีบางสกุลกลับต้องให้เขาที่เป็นลูกชายคนโตของภรรยาเอกไปด้วยตัวเองจึงจะนับว่าเหมาะสม ซ้ำร้ายเรื่องภาพก็ยังมาติดขัดอีก

กว่าพวกเขาจะสืบข่าวได้ว่าที่หังโจวมีคนอย่างอาจารย์เฉียนอยู่ก็ลำบากยากเย็น ใครจะรู้ว่าอาจารย์เฉียนกลับย้ายไปอยู่ที่ใดก็ไม่ทราบ เขาจึงขอให้บิดาช่วยเหลือ เชิญอาจารย์มาจากรื่อเจ้า ไม่รู้ว่าอาจารย์ผู้นี้ฝีมือแย่หรือดวงพวกเขาไม่ดี ภาพไปอยู่ในมือเขาแล้ว แยกเป็นสามส่วน แต่ยามที่แยกกลับทำแผนที่ซึ่งอยู่ตรงกลางเสียหายไปเล็กน้อย

หากเป็นภาพอื่นยังพอว่า แต่นี่คือแผนที่ แม้จะเป็นส่วนเล็กๆ ทว่าความเป็นจริงของการเดินเรือ หากพลาดไปเพียงเล็กน้อยก็จะอาจจะผิดไปเป็นโยชน์ ไร้ทางที่จะรับประกันความปลอดภัย

ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่ สกุลเผิงจึงส่งคนมาส่งของขวัญปีใหม่

แม้คนที่มาจะเป็นเพียงผู้ดูแลเล็กๆ ของสกุลเผิงคนหนึ่ง มาอย่างเงียบเชียบ ส่งของขวัญธรรมดาทั่วไป แต่เขายังสัมผัสได้ถึงความนัยเร่งเร้าจากคำพูดผู้ดูแลคนนั้น เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด ถึงกระทั่งรับรู้ได้ว่า ‘หากสกุลหลี่ของพวกเจ้าทำไม่ได้ ก็มีคนมากมายอยากจะช่วยเหลือสกุลเผิงของเราอยู่’

ไม่แปลกที่สกุลเผิงจะทนรอไม่ได้

ตั้งแต่สกุลพวกเขาอาสารับช่วงต่อเรื่องนี้มาจนถึงยามนี้ก็เป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว

หลังจากผ่านพ้นปีใหม่ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องนำภาพนี้ส่งไปให้สกุลเผิง

หากพวกเขาไม่สามารถส่งแผนที่ไปให้สกุลเผิงได้ก่อนเวลานั้น พวกเขาก็ย่อมถูกคลางแคลงใจในความสามารถ

พวกเขาต้องหาอาจารย์คนอื่นที่มีฝีมือ ซ่อมแซมส่วนของแผนที่ที่ได้รับความเสียหาย แล้วยังต้องนำภาพนี้คืนสู่สภาพเดิมส่งไปให้สกุลเผิง

หาใครมาซ่อมแซม ยังคงเป็นปัญหาใหญ่

หลินเจวี๋ยรั้งอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เห็นว่าจะข้ามปีแล้ว ยืดเยื้อมากกว่านี้ เขาย่อมไม่อาจกลับฝูเจี้ยนได้ทันก่อนเทศกาลปีใหม่ ทั้งเรื่องแผนที่ยังซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก เขาอดกระวนกระวายใจขึ้นมาไม่ได้

“ไม่อย่างนั้น ก็เอาภาพนี้เป็นของขวัญปีใหม่ส่งไปให้สกุลเผิงก่อน?” เขาเสนอแนะวิธีให้หลี่ตวน “อย่างไรพวกเราก็ทำตามความต้องการของพวกเขา นำภาพมาไว้ในมือแล้ว ส่วนจุดเล็กๆ ที่ได้รับความเสียหายนั้น…สกุลเผิงมีกลุ่มเรือ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะมีวิธี รู้ว่าควรจะไปอย่างไร? หรือพวกเรายังต้องไปจัดตั้งกลุ่มเรือขึ้นมาอย่างนั้นรึ? ในเมื่อสกุลเผิงเป็นหัวเรือใหญ่ แม้นจะขาดทุนอย่างไร ก็ต้องเป็นพวกเขาที่ขาดทุนมากที่สุดอยู่ดี”

คำพูดนี้กล่าวได้ไร้หัวคิดเกินไปแล้ว

ทั้งเมื่อเป็นเช่นนี้ ในสายตาสกุลเผิง สกุลหลี่ย่อมไม่มีความสลักสำคัญอันใดแล้ว

ร่วมมือกับพวกดิบเถื่อน ก็ต้องโหดเหี้ยมยิ่งกว่าพวกเขา จึงจะสามารถตั้งหลักได้อย่างมั่นคง ได้รับความนับถือจากคนพวกนั้น

หลี่ตวนขมวดคิ้วมุ่นจนเป็น ‘ตัวอักษรชวน[1]’

หลินเจวี๋ยเอ่ย “ไม่อย่างนั้น เจ้าไปส่งของขวัญปีใหม่ก่อน? เอาแต่จดจ้องเฝ้ารอทุกวันเช่นนี้ ก็ย่อมไม่เกิดดอกผลอันใด คิดเสียว่าออกไปปลดปล่อยคลายความทุกข์”

ก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว

เดิมทีหลี่ตวนคิดจะไปสกุลเผยก่อน แต่นึกถึงท่าทีเผยเยี่ยนที่มีต่อสกุลพวกเขา ก็รู้สึกเย็นเยียบในใจขึ้นมา จึงตัดสินใจไปหาท่านข้าหลวงทังก่อน

อย่างไรข้าหลวงทังก็เป็นขุนนางที่คอยคุ้มครองดูแลในพื้นที่ แม้จะเป็นแขกที่ห่างไกลอยู่บ้าง แต่เคารพคนนอกค่อยนอบน้อมคนใน ก็ไม่ผิดอย่างใด

หลี่ตวนขบคิดอยู่ในใจพักใหญ่ ก่อนจะไปหาข้าหลวงทัง

ข้าหลวงทังกำลังพูดคุยกับผู้ช่วยคนสนิทในห้องหนังสือ “เจ้าดูดีแล้วใช่หรือไม่ เป็นคนสกุลอู่แห่งหูโจวอย่างนั้นรึ?”

“เป็นคนสกุลอู่แห่งหูโจวจริงๆ ขอรับ” ผู้ช่วยส่วนตัวเอ่ยถึงสกุลอู่ น้ำเสียงก็เบาลงหลายส่วน “ทั้งผู้ที่มายังเป็นนายท่านใหญ่ ผู้นำสกุลอู่”

ข้าหลวงทังเกาหัวขึ้นมา

ข้าหลวงหูโจว สอบเคอจวี่รุ่นเดียวกับเขา ทั้งสองคนรับราชการไม่ไกลกัน อยู่ในระดับเดียวกัน ย่อมคุยถูกคอกันกว่าคนอื่น ไปมาหาสู่บ่อยครั้ง คนอื่นอาจไม่รู้ เขาเคยได้ยินจากข้าหลวงหูโจวว่า บรรพบุรุษสกุลอู่ก่อร่างสร้างตัวจากกิจการขนส่งทางน้ำ จริงๆ แล้วนั่นเป็นคำพูดยกยอพวกเขาหลังจากคุณหนูสกุลอู่แต่งไปสกุลเจียงแล้วต่างหาก เมื่อก่อนสกุลอู่ก็คือโจรสลัด นับตั้งแต่ล้างมลทินมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเพียงสามรุ่นเท่านั้น ยามนี้เข่นฆ่าสังหารคนยังเป็นเรื่องที่เกิดประจำ เป็นข้าหลวงหูโจวที่ตามเก็บกวาดให้สกุลพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง

สกุลอู่ เป็นดาวร้ายตัวใหญ่

เหตุใดพวกเขาจึงไปมาหาสู่กับเผยเยี่ยน?

เขาถามผู้ช่วยส่วนตัว “เจ้าว่า ข้าควรล่วงหน้าไปสวัสดีปีใหม่เผยสยากวง ที่สกุลเผยก่อนหรือไม่?”

ข้าหลวงทังก็ไม่ชอบเผยเยี่ยนเท่าใดนัก คิดว่าเทียบกับท่านผู้เฒ่าที่ล่วงลับไปแล้ว เผยเยี่ยนแทบไม่เห็นเขาที่เป็นข้าหลวงอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ลับหลังข้าหลวงทังมักจะเรียกเขาว่า ‘เผยเยี่ยน’ หรือ ‘เจ้าสาม’ แต่ยามนี้ทราบว่าเขาไปมาหาสู่กับสกุลอู่แห่งหูโจว กระทั่งคำว่า ‘เผยเยี่ยน’ และ ‘เจ้าสาม’ ล้วนไม่กล้าเรียกทั้งนั้น

เมื่อเป็นคนสนิท ก็ย่อมเป็นคนที่เข้าใจข้าหลวงทังมากที่สุด ผู้ช่วยเอ่ยละล่ำละลัก “ท่านย่อมต้องล่วงหน้าไปสวัสดีปีใหม่นายท่านสามสกุลเผย! เมื่อก่อนยามที่ใต้เท้าจั่วรับราชการที่เจ้อเจียงก็เคยกล่าวว่า หากอยากจะเป็นขุนนางที่ใกล้ชิดปวงประชา ก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสกุลคหบดีในท้องที่ ผู้เก่งกาจอย่างใต้เท้าจั่วถึงขั้นเอ่ยเช่นนี้ พวกเราที่เป็นขุนนางธรรมดา ย่อมต้องเอาเป็นแบบอย่าง”

ข้าหลวงทังได้ยินสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยินแล้ว ก็ผงกศีรษะอย่างพอใจ “เช่นนั้นย่อมไม่อาจชักช้าได้ ต้องรีบเข้าไป สยากวงจะได้ไม่คิดว่าข้าเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง ความเป็นจริงข้าคือขุนนางที่ใกล้ชิดชาวบ้านมากที่สุดต่างหาก!”

เพียงเขาพูดไม่ทันจบ ข้ารับใช้ก็มารายงานว่าหลี่ตวนมาส่งของขวัญปีใหม่ให้เขา แม้เขาจะหงุดหงิดที่หลี่ตวนทำเสียความตั้งใจอยู่บ้าง แต่สกุลหลี่ไม่เคยส่งของขวัญไร้ราคามาสักครั้งเดียว เขายังคงดีใจที่ได้พบหลี่ตวน

ข้าหลวงทังไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบหลี่ตวนไม่กี่คำ ก็ยกชาส่งแขกแล้ว หลี่ตวนรู้สึกว่าข้าหลวงทังไม่ได้ปฏิบัติกับเขาอย่างกระตือรือร้นเหมือนวันปกตินัก

เขาอดแปลกใจไม่ได้ รอจนออกจากศาลาว่าการ ก็ให้เกี้ยวหยุดตรงมุมโค้งของประตูศาลาว่าการ แง้มผ้าม่านรอสักพัก ก็เห็นข้าหลวงทังพาผู้ช่วยส่วนตัวไปทางตรอกเสี่ยวเหมย

หลี่ตวนปวดแสบปวดร้อนในใจเหลือทน

เอ่ยถึงเผยเยี่ยน อายุมากกว่าเขาเพียงสามถึงสี่ปีเท่านั้น แต่ระหว่างสองคนกลับห่างกันราวฟ้ากับดิน ปกติคนอื่นย่อมไม่เอ่ยถึงพวกเขาทั้งสองในเวลาเดียวกัน กระทั่งมักจะเห็นเขาเป็นเด็กรุ่นหลังเผยเยี่ยนด้วยซ้ำ สรุปแล้วยังคงเป็นเพราะสกุลเผยมีอำนาจมากกว่าสกุลหลี่

ครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหาวิธีขึ้นเรือลำนี้ของสกุลเผิงให้ได้

หลี่ตวนส่งคนไปจับตาดูข้าหลวงทัง

หนึ่งชั่วยามให้หลัง เขาจึงทราบว่าข้าหลวงทังถูกสกุลเผยปฏิเสธไม่รับแขก…เผยเยี่ยนไม่ได้พบข้าหลวงทัง แต่ส่งเผยหม่านมาดื่มชากับข้าหลวงทัง ก่อนจะส่งแขกกลับไป

หลี่ตวนทอดมองกอไผ่ที่ยังเขียวขจีอยู่เบื้องหน้าห้องหนังสือของเขา เกิดความคิดมายมายขึ้นในใจ บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอย่างไรกันแน่

เผยเยี่ยนไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธข้าหลวงทัง เพียงแต่ข้าหลวงทังมาผิดเวลาไปเล็กน้อยเท่านั้น

ร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลอวี้จะเปิดกิจการอีกครั้งในวันที่สิบแปดเดือนสิบสอง สกุลอวี้จึงมาส่งเทียบเชิญให้สกุลเผย

อวี้ป๋อและอวี้หย่วนย่อมไม่คาดคิดว่าเผยเยี่ยนจะสนใจเรื่องเช่นนี้ ทั้งไม่กล้าคิดว่าเทียบเชิญนี้จะส่งไปถึงโต๊ะทำงานของเผยเยี่ยน พวกเขาเพียงหวังว่าถึงเวลานั้นสกุลเผยจะส่งข้ารับใช้มามอบของขวัญอวยพรให้เท่านั้น ร้านค้าสกุลพวกเขาสามารถตั้งอยู่ในจุดที่สะดุดตาที่สุด คนค้าขายที่เทียวไปเทียวมารู้ว่าร้านค้านี้ได้รับการคุ้มครองจากสกุลเผยก็เพียงพอแล้ว ใครจะรู้ว่าอวี้ป๋อและอวี้หย่วนเพิ่งส่งเทียบเชิญถึงมือผู้ดูแลที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ยามที่ออกจากประตูก็พบเข้ากับหูซิ่งพอดี

หลายวันมานี้หูซิ่งดูสุขสมอุราไม่น้อย

ผู้ที่มาส่งของขวัญปีใหม่ให้สกุลเผยต่างนับว่าเป็นสกุลชั้นสูงและมั่งมีของแถบเจียงหนาน คนมาส่งของขวัญยังเป็นผู้นำสกุลไม่ก็ผู้มีอำนาจในสกุลพวกนั้น ส่วนมากล้วนมาส่งให้นายท่านสามเพียงลำพัง มีส่วนน้อยที่มอบให้สกุลเผย

นี่ไม่ใช่ชี้ให้เห็นชัดเจนหรือว่าคนพวกนี้สามารถมาส่งของขวัญให้สกุลเผย ก็เพราะเห็นแก่หน้าของนายท่านสาม เป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายท่านสามทั้งนั้น!

ตอนแรกเขาไม่ได้ฟังคำพูดของพ่อบ้านคนก่อน ไม่สงสัยการตัดสินใจของท่านผู้เฒ่า นึกไม่ถึงว่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุนี้ ยามที่เขาเห็นสองพ่อลูกอวี้ป๋อ อวี้หย่วน ก็นึกถึงพ่อลูกอวี้เหวิน อวี้ถัง ขึ้นมาทันที ไหนจะวันนี้ยามที่เขาไปเชิญนายท่านสามก็บังเอิญเห็นห่วงเคาะประตูสำริดนั้นวางอยู่บนชั้นหนังสือ

หูซิ่งนึกทบทวนการสังเกตของตัวเองช่วงนี้อย่างจริงจัง คิดว่านายท่านสามผู้นี้ประหลาดไปอยู่บ้าง อย่างเช่น เสื้อคลุมที่สั่งตัดมาใหม่ นายท่านสามชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับวางไว้สิบวันถึงครึ่งเดือนจึงค่อยนำมาสวม บางตัวถึงกระทั่งวางไว้จนเปลี่ยนผลัดฤดู เทียบกับของที่ส่งมาไม่กี่วันก็ปรากฏอยู่ในห้องหนังสือเขา ทั้งยังสามารถหยิบไปวางที่ใดก็ได้เช่นนี้ จะเห็นได้ว่านายท่านสามย่อมพอใจกับของขวัญที่สกุลอวี้ส่งมาให้ไม่น้อย

เขาเป็นผู้ดูแลรับใช้นายท่านสาม ในเมื่อสกุลอวี้เป็นที่โปรดปรานของนายท่านสาม เขาย่อมเคารพต่อสกุลอวี้ เห็นความสำคัญของสกุลอวี้เช่นกัน

“ไอหยา นี่ไม่ใช่นายท่านใหญ่สกุลอวี้หรอกรึ?” เขาก้าวเข้าไปคำนับด้วยยิ้มเริงร่า เอ่ยอย่างเป็นมิตรสนิทสนม “นี่ท่านเข้ามามีเรื่องอันใดรึ? ไฉนไม่ให้บ่าวรับใช้ไปบอกกล่าวข้าเสียหน่อย? ท่านทำเช่นนี้ ห่างเหินเกินไปแล้ว!”

อวี้ป๋อและอวี้หย่วนตะลึงไปอยู่บ้าง

พ่อบ้านหูของสกุลเผยผู้นี้มักตามหมอหลวงหยางมารักษาคนสกุลเฉิน หากจะพูดว่าพ่อบ้านหูมีความสัมพันธ์อันดีกับใครในสกุลอวี้ นั่นก็ย่อมเป็นอวี้เหวิน ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พวกเขาก็คุ้นเคยกับหูซิ่งถึงขนาดนี้? โดยเฉพาะอวี้ป๋อ เพิ่งกลับมา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรด้วยซ้ำ เมื่อก่อนหากเขามีธุระที่สกุลเผย ก็ต้องคิดวิธีบางอย่างถึงจะสามารถเข้าใกล้พวกผู้ดูแลเหล่านั้นได้ นับประสาอะไรกับพ่อบ้านอย่างหูซิ่ง

เขามองอวี้หย่วนไปแวบหนึ่ง

อวี้หย่วนก็งงงวยเช่นกัน แต่เขายังคงรู้ความกว่าบิดามาก คิดแวบเดียวก็เดาสาเหตุออกแล้ว

เขากระซิบเตือนบิดาเบาๆ “เป็นท่านอา” จากนั้นก็ก้าวเข้าไปคำนับตอบหูซิ่ง เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มา ทั้งออกปากเอ่ยชวนหูซิ่งมาร่วมครื้นเครงเป็นมารยาทด้วยเช่นกัน

หูซิ่งตอบรับทันที สนทนากับสองพ่อลูกสกุลอวี้ ก่อนจะบอกให้พวกเขารอสักพัก “ข้าจะไปรายงานเรื่องพวกเจ้ากับนายท่านสามก่อน พวกเจ้าจะได้ไม่มาเสียเที่ยว”

อวี้ป๋อและอวี้หย่วนได้ยินก็เผยสีหน้าแปลกประหลาด

หูซิ่งกลับไม่สนใจพวกเขา อมยิ้มกับตัวเองเดินไปห้องพิธีการ หยิบเทียบเชิญของสกุลอวี้ ก่อนจะไปหาเผยเยี่ยน คำนับเผยเยี่ยนด้วยดวงตาที่ยิ้มแทบเป็นเส้นเดียวกัน มอบเทียบเชิญให้กับเผยเยี่ยน เวลานี้จึงค่อยเอ่ยอย่างนอบน้อม “ร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลอวี้จะเปิดกิจการแล้วขอรับ นายท่านใหญ่สกุลอวี้และคุณชายใหญ่สกุลอวี้มาส่งเทียบเชิญให้ท่าน ท่านดูสิว่า มีอะไรจะกำชับหรือไม่?”

สกุลอวี้อย่างนั้นรึ?

ในหัวของเผยเยี่ยนปรากฏภาพคุณหนูอวี้ที่ประพฤติตัวเรียบร้อยประหนึ่งผ้าพับไว้ ดึงสกุลเผยมาข่มขู่หลู่ซิ่น คล้อยหลังก็นึกถึงห่วงประตูสำริดที่มีราคาเพียงสองตำลึง

เขาแค่นเสียงเย็น “เรื่องเช่นนี้ยังต้องให้ข้าบอกเจ้าว่าควรทำอย่างไรอยู่รึ? เคยทำเยี่ยงไรก็ทำเยี่ยงนั้นสิ?”

ตามธรรมเนียมของสกุลเผย มอบหมายผู้ดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้ห่อเงินสองตำลึงใส่ซองแดงก็เพียงพอแล้ว

แต่ตามธรรมเนียมของท่านผู้เฒ่าเผย ญาติห่างๆ เทียบไม่ได้กับเพื่อนบ้านใกล้เคียง ในเมื่อสกุลเผยลงหลักปักฐานในหลินอัน ก็ต้องคบค้าสมาคมกับคหบดีชนบทและสกุลเพื่อนบ้านอย่างดีๆ นอกจากซองแดง ยามที่คนพวกนั้นมาส่งเทียบเชิญให้เขาถึงประตู ก็ยังไถ่ถามแสดงความห่วงใย หากเป็นคนที่ได้รับความสำคัญจากเขา ก็จะไปอวยพรถึงหน้าประตูด้วยตนเอง

ธรรมเนียมของสกุลอวี้เห็นได้ชัดว่าเป็นธรรมเนียมของท่านผู้เฒ่าเผย!

หากไม่ใช่ว่าเขาเรียกตัวพ่อลูกสกุลอวี้ไว้ สกุลอวี้จะทราบการตัดสินใจของเผยเยี่ยนในช่วงสั้นๆ ได้รึ?

หูซิ่งลอบชื่นชมไหวพริบของตัวเองอยู่ในใจ

“เข้าใจแล้วขอรับ! ข้าจะไปบอกกล่าวนายท่านใหญ่สกุลอวี้เดี๋ยวนี้” เขาเดินส่ายก้นจากไป

เผยเยี่ยนรู้สึกว่าท่าทีของหูซิ่งผิดปกติอยู่บ้าง แต่บ่าวรับใช้มารายงานว่าเถาชิงเดินทางมาจากกว่างโจว ชั่วครู่นั้นเขาจึงไม่ทันได้คิดอะไรมาก ไปพบเถาชิงทันที

————————————

[1]ตัวอักษรชวน川

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset