ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 93 สั่งสอน

เผยเยี่ยนเห็นอวี้ถังทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็โมโหสุดขีด

เดิมเขาคิดว่า คนที่ไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ เขาแค่ไม่ต้องไปใส่ใจ ปล่อยนางไปตามยถากรรมก็พอ แต่เมื่ออวี้ถังสั่งคำกับซวงเถาจบแล้ว ยังจะมายืนเบื้องหน้าเขา แล้วเอ่ยเสียงหวานหน้ายิ้มแฉ่งว่า “นายท่านสาม ข้ารู้ว่าท่านไม่เห็นค่าสิ่งเหล่านี้ และรู้ว่าเรื่องวันนี้เป็นสกุลข้าที่ทำไม่สมควร ท่านก็ให้ข้าไปซื้อชาดีมารับรองท่านหน่อยเถอะ มิเช่นนั้นใจของข้าคงไม่อาจสงบได้แน่ อาหารมังสวิรัติก็เช่นกัน ท่านยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่สะดวกจะรั้งท่านให้นั่งกับพวกเราตรงนี้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็ดูแลท่านให้เต็มที่ หากท่านคิดว่ามันไม่อร่อย ก็ตกเป็นรางวัลให้คนรับใช้ อย่างน้อยก็ถือเป็นน้ำใจของสกุลข้า”

สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใด ต้องให้ผู้อื่นรับรู้ว่าสกุลอวี้ซาบซึ้งใจต่อสกุลเผยเพียงใด และเติมแต่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกหน่อยว่าเขาต้องลำบากเพียงใดเพื่อมาร่วมงานเปิดร้านของสกุลอวี้

เพียงแต่คำพูดนี้นางไม่อาจพูดออกไปได้

อาศัยความรู้สึกของนาง หากว่านางสารภาพออกไปตามตรง เผยเยี่ยนต้องพลิกหน้าใส่นางเป็นแน่

เผยเยี่ยนมองรอยยิ้มที่เจิดจ้าดั่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิตรงหน้าตน บวกกับสีหน้าเอาอกเอาใจหน่อยๆ ความขุ่นข้องในใจคล้ายจะเลือนหายไปอีกแล้ว

ช่างเถอะ!

เขาเป็นบุรุษ ไม่จำเป็นต้องมาคิดแค้นกับแม่นางน้อยคนหนึ่ง

อีกอย่าง ตอนเป็นหนุ่มสาวใครบ้างไม่เคยทำผิด?

สิ่งสำคัญคือต้องแก้ไขความผิดนั้นต่างหาก

มิสู้เขาสั่งสอนนางเสียหน่อยจะดีกว่า

เมฆหมอกเริ่มจางหายจากสีหน้าของเผยเยี่ยน เขาจิบชาช้าๆ หนึ่งคำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “ให้สาวใช้เจ้ากลับมาเถอะ ข้าไม่ขาดแคลนใบชา กลัวแต่เด็กในร้านจะตัดสินใจแทนเจ้าเสียก่อน เห็นว่าใบชาหนึ่งจิน[1]ห้าตำลึงหน้าตาไม่ต่างอะไรกับใบชาหนึ่งจินห้าร้อยตำลึง ถึงได้ซื้อใบชาห้าตำลึงกลับมา หากถูกลือออกไป เดี๋ยวผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าชอบดื่มชาหยาบๆ ต่อไปเดินไปทางใดคงได้ดื่มแต่ชาที่รสชาติเหมือนน้ำล้างหม้อ ข้าทุกข์ใจ ผู้อื่นย่อมทุกข์ใจตามด้วย”

หมายความว่าอย่างไร?

อวี้ถังค่อนข้างมึนงง

นางสั่งซวงเถาบอกให้คนไปซื้อใบชาชั้นดีมาแล้ว ใบชาจินละห้าร้อยตำลึงสกุลนางคงไม่มีปัญญาซื้อ ต่อให้ซื้อมารับแขกเพียงครึ่งเหลี่ยง[2]ก็คงไม่หน้าใหญ่ปานนั้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดซื้อใบชาจินละห้าตำลึงมารับรองเขาหรอกกระมัง?

อีกอย่าง อะไรคือเดินไปทางใดคงได้ตื่มแต่ชาที่รสชาติเหมือนน้ำล้างหม้อ ข้าทุกข์ใจ ผู้อื่นย่อมทุกข์ใจตามด้วย?

เขาทุกข์ใจนั้นเข้าใจได้ เหตุใดผู้อื่นต้องทุกข์ใจตามเขาด้วยเล่า?

อวี้ถังมองตาที่คมกริบของเผยเยี่ยน พลันเข้าใจทุกอย่างในทันที

คนผู้นี้ กำลังเหน็บแนมนางอย่างนั้นรึ?

นางเริ่มจะฟังออกแล้ว

นี่โทษนางได้หรือ? ใครพูดเหน็บแนมผู้อื่นเหมือนอย่างเขาบ้าง สีหน้าไม่เพียงไร้อารมณ์ น้ำเสียงราบเรียบ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เอื่อยเฉื่อยอย่างกับน้ำไหล

หรือว่าการพูดจาไม่ต้องแสดงออกถึงอารมณ์หรอกรึ?

อวี้ถังบ่นในใจ ด่าเผยเยี่ยนจนฟังไม่ได้ไปยกหนึ่ง

คนผู้นี้ เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย อารมณ์แปรปรวน หากว่าสมองหมุนช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ไม่รู้ว่าเขาจะเอานางไปคิดไร้สาระอะไรในสมองนั่นอีก

สมองของอวี้ถังพยายามแล่นเร็วจี๋

ใบชา…ราคาถูก…คิดไปว่าเขาชอบดื่มชาหยาบๆ…

แต่ก็เหมาะสมกับนิสัยรักชื่อเสียง ชอบวางท่าของเขาดีเหมือนกัน

ส่วนว่าผู้อื่นเป็นทุกข์ตามนั้น หมายถึงแต่ไรเขาก็เกิดมาในสกุลที่ไม่ขัดสน คนสกุลอื่นหากคิดใช้ใบชาหยาบๆ มาต้อนรับเขาก็ต้องไปหาซื้อโดยเฉพาะอีกอย่างนั้นรึ?

เวลาผ่านไปพักใหญ่แล้ว อวี้ถังยังคิดไม่ตกว่าตัวเองผิดตรงไหนกันแน่ แต่ห้องบัญชีนั้นเงียบกริบ เด็กในร้านที่รับใช้เขาตอนแรกก็ไม่รู้ไปหลบตรงไหนตั้งแต่ตอนที่นางเข้ามาแล้ว เผยหม่านกับหูซิ่งก้มหน้างุดราวกับท่อนไม้ คล้ายกลัวมีคนรู้การมีอยู่ของพวกเขา ซวงเถาที่แค่เห็นเผยเยี่ยนก็ตัวสั่นงันงก พอถูกนางใช้งาน ก็รีบวิ่งหายไปอย่างกับควัน หากว่านางไม่พูดอะไรต่อ ในห้องนี้ก็คงไม่มีเสียงอื่นอีกแล้ว ผ่านไปอีกพักหนึ่ง บรรยากาศที่นางเพิ่งจะทำให้ดีขึ้นหน่อยก็เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอีกครั้ง

สนทนากับเผยเยี่ยนช่างเหน็ดเหนื่อยเสียจริง

อวี้ถังได้แต่ทอดถอนใจในอก สีหน้าไม่กล้าแสดงออกแม้แต่น้อย ได้แต่พูดไปเรื่อยเปื่อยว่า “ฟังท่านพูดเข้าสิ ของขวัญแม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจ! ไม่ว่าใบชาหนึ่งจินจะห้าตำลึงหรือห้าร้อยตำลึง จุดประสงค์ก็คืออยากรับรองท่านให้ดีที่สุด ล้วนเป็นความจริงใจทั้งสิ้น…”

เพียงแต่นางพูดไม่ทันจบดี ก็ได้ยินเสียงเย็นของเผยเยี่ยนแทรกขึ้นมาว่า “เช่นนั้นแล้ว ห่วงเคาะประตูสองตำลึงอันหนึ่งก็คือของขวัญด้อยค่าแต่มากด้วยน้ำใจอย่างนั้นสินะ?”

อวี้ถังถูกเผยเยี่ยนเสียดสีอย่างไม่ทันตั้งตัว ตกใจจนแทบซวนเซสะดุดล้ม

ในสมองมีความคิดแรกผุดขึ้นมาทันทีว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าห่วงเคาะประตูอันละสองตำลึง?

ความคิดที่สองคือหรือตอนนี้เผยเยี่ยนกำลังคิดบัญชีแค้นเรื่องนี้กับนาง?

ความคิดที่สามคือแย่แล้ว แย่แล้ว จากนิสัยเย่อหยิ่งของเผยเยี่ยน จะต้องคิดว่าสกุลอวี้ตั้งใจหลอกลวงเขาแน่ๆ!

อวี้ถังไม่ทันคิดให้ละเอียด ก็ร้องว่าไม่เป็นธรรมทันที “นายท่านสาม ท่านเข้าใจผิดแล้ว ห่วงเคาะประตูที่ให้ท่านนั้น เป็นความคิดของข้าเอง ตอนนั้นข้ากับท่านพ่อไปเดินดูของที่ร้านวัตถุโบราณ ข้าเห็นว่าห่วงเคาะประตูชิ้นนั้นน่าสนใจ เลยอยากให้ท่านได้เล่นสนุกดูบ้าง…”

เผยเยี่ยนเลิกคิ้วสูง ตัดบทนางอย่างไม่เหลือความเกรงใจว่า “ห่ออย่างดีถึงเพียงนั้น ซ้ำบอกว่าได้มาจากร้านวัตถุโบราณ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาทำเหมือนมันเป็นของขวัญล้ำค่า เช่นนั้นก็อย่าให้คนที่รับของขวัญรู้สิว่านั่นเป็นของราคาสองตำลึง? ซื้อของในร้านค้าข้ามาเป็นของขวัญให้ข้า คงมีแต่เจ้าที่คิดอะไรเช่นนี้ออกมาได้ ทำไมเล่า ตอนนี้ยังคิดจะซื้อใบชาจากร้านข้ามาต้อนรับข้า? สั่งอาหารมังสวิรัติจากหอสุราของข้ามาให้ข้ากิน? ในสมองของเจ้านอกจากความสะดวกสบายแล้ว สามารถคิดอย่างอื่นได้อีกหรือไม่? ของขวัญแม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจ? ข้าได้รับของเช่นนี้ เจ้าลองมาช่วยข้าดูทีสิ? ข้าจะหาความจริงใจของสกุลเจ้าจากที่ตรงไหนได้อีก?”

สีหน้าของอวี้ถังพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

เรื่องนี้โทษนางได้รึ?

ทั่วทั้งเมืองหลินอันยังมีร้านค้าใดบ้างที่ไม่ใช่ของเขาคนสกุลเผยอีก

นางแค่อยากซื้อของดีๆ ให้เขา แต่นอกจากร้านของสกุลเผยแล้ว นางจะไปซื้อที่ใดได้?

แม้ในใจจะแอบเถียง แต่สมองของนางชัดเจนดี เรื่องนี้นับว่านางทำไม่ถูก

อย่างน้อย ก็ไม่มีความจริงใจ

แต่ใครจะคิดว่าคนที่แสนจะยุ่งอย่างเขา ถึงกลับรู้ว่าท่ามกลางร้านค้ามากมายของตนมีขายห่วงเคาะประตูเช่นนี้อยู่หนึ่งอัน!

อวี้ถังอดจะอัศจรรย์ใจไม่ได้ เขาคงไม่รู้หรอกใช่ไหมว่าสินค้าทุกชิ้นของสกุลเผยมีอะไรบ้าง?

นี่ นี่เป็นไปไม่ได้กระมัง?

เผยเยี่ยนเพิ่งค้นพบว่า คุณหนูอวี้ไม่เพียงมีดวงหน้าที่งดงาม แต่ดวงตาคู่นั้นยังพูดจาอยู่ตลอดเวลาได้อีกด้วย มันไม่เคยสงบนิ่งเหมือนน้ำเลย

มองดวงตาที่นางใช้จ้องเขา เขาไม่ต้องใช้สมองก็รู้แล้วว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

เผยเยี่ยนอดจะยิ้มเย็นไม่ได้ เอ่ยสั่งสอนนางว่า “ใต้หล้าไม่มีกระดาษที่ห่อไฟได้ ในเมื่อเจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้ ก็ต้องคิดแล้วว่าต้องถูกเปิดโปงสักวันหนึ่ง หากจะใช้คำพูดที่ว่าของขวัญแม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจมายัดเยียดให้ผู้อื่น มิสู้ไปคิดให้ดีว่าสมควรพูดจาเช่นไรในตอนที่มอบของขวัญให้?”

อวี้ถังพยักหน้าคล้อยตาม

แต่เผยเยี่ยนเห็นท่าทางของนาง รู้ทันทีว่านางไม่เข้าใจสักนิดว่าตนกำลังพูดอะไร

เขาหยุดคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยเข้าประเด็นทันที “สิ่งใดล้วนมีค่าที่ความจริงใจทั้งนั้น หากเจ้าคิดว่าห่วงเคาะประตูน่าสนใจ ตอนที่มอบของขวัญให้ก็บอกผู้อื่นเสียว่าสิ่งของนี้หาได้มีราคาค่างวด แค่ดูน่าสนุกเท่านั้น แล้วใส่กล่องไม้ธรรมดามาก็พอ หากคิดว่าห่วงเคาะประตูนั้นเป็นวัตถุโบราณ ตอนมอบของขวัญก็ต้องเล่าประวัติความเป็นมาออกมาด้วย แต่การทำอย่างขอไปทีเช่นเจ้าคือเอาของราคาสองตำลึงใส่ในกล่องผ้าไหมสิบตำลึง ทั้งยังซื้อจากร้านของเจ้าตัวอีก เจ้าคิดว่าใครจะชอบของขวัญเช่นนี้กัน?”

นี่กำลังสอนนางว่าสมควรทำตัวเป็นคนเช่นไรรึ?

อวี้ถังตะลึงตะลาน ผ่านไปครึ่งวันถึงได้สติ

จริงๆ ด้วย นายท่านสามกำลังบอกนางว่าสมควรกระทำตัวเช่นไรอยู่!

อวี้ถังพลันตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก

มีคนอยู่หนึ่งประเภท เขามักจะสั่งสอนคนเมื่อคิดว่าคนผู้นั้นเป็นคนกันเอง

ก็เหมือนครั้งแรกที่นางเจอเผยเยี่ยน กระทั่งคำอธิบายจากนางเขายังไม่ยินดีจะฟัง แต่ตอนนี้ เขากลับชี้แจงให้นางฟังว่านางทำผิดไปตรงจุดใด

นี่นับว่าก้าวเดียวเหยียบถึงฟ้าจริงๆ!

ดูท่าความพยายามของนางจะเห็นผลเสียแล้ว

ใต้หล้านี้ยังมีสิ่งใดทำให้คนรู้สึกว่าการทุ่มเทมีความหมายมากกว่านี้อีก?

อวี้ถังรู้สึกว่ากรอบตาของตนรื้นชื้น รีบเอ่ยความในใจออกไป “นายท่านสามสั่งสอนได้ถูกต้อง ข้าจำใส่ใจไว้แล้ว ต่อไปจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก” นางนึกไปถึงนิสัยชอบเล่นแง่ของเขา จึงรีบเอ่ยเสริมว่า “ข้าจะให้คนไปเรียกซวงเถากลับมาเดี๋ยวนี้ ในร้านมีชาอะไรก็จะใช้ชานั้นรับแขก ท่านเองก็ไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว ส่วนเรื่องอาหารมังสวิรัติ อย่างไรก็คงต้องให้คนส่งไปที่จวนท่าน แต่จะสั่งอาหารชั้นยอดของหอสุราให้อย่างแน่นอน”

นับว่าเขาไม่เปลืองน้ำลายไปเปล่าๆ

สีหน้าของเผยเยี่ยนเริ่มดีขึ้นมาหน่อย

อวี้ถังถอนหายใจ แล้วเริ่มปวดใจกับเงินที่ต้องจ่ายค่าอาหารมังสวิรัติ

คงสักประมาณห้าถึงหกสิบตำลึงถึงจะซื้อได้กระมัง

อีกอย่างอาหารมังสวิรัติยังแพงกว่าอาหารจัดเลี้ยงเสียอีก

หรือว่าเงินทองไม่อาจประหยัดได้สักหน่อยหรือ?

เขามิใช่ต้องรักษาหน้าตา? ทั้งยังต้องรักษาภาพลักษณ์สง่างามอีกด้วย?

อวี้ถังพลันคิดออกหนึ่งวิธี เพื่อเงินทองในบ้าน นางจึงตัดสินใจเอ่ยไปทันที “นายท่านสาม ท่านว่าข้าเปลี่ยนอาหารมังสวิรัติจากหอสุราข้างๆ เป็นอาหารมังสวิรัติจากวัดเจาหมิงหรืออารามอื่นๆ ดีหรือไม่?”

เช่นนี้ภาพลักษณ์สูงพอแล้วหรือไม่?

อีกอย่างหากพ่อครัวในวัดรู้ว่านี่เป็นอาหารที่จะส่งให้สกุลเผย ย่อมจะทำสุดฝีมือโดยไม่สนใจเงินทอง…เพราะหากเก็บเงินมากเกินไป แล้วจะขอบิณฑบาตค่าธูปเทียนกับสกุลเผยได้เช่นไรเล่า? อย่างไรวัดก็ต้องรักษาภาพของความเรียบง่ายสมถะเอาไว้อยู่

เผยเยี่ยนมองดวงตาของอวี้ถังที่กระจ่างดั่งน้ำใสและมีประกายเจ้าเล่ห์แวบผ่าน อารมณ์ค่อยเบิกบานขึ้น

เด็กน้อยนับว่ายังสอนสั่งได้อยู่!

คุณหนูผู้นี้ จะว่าฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก เสียดายที่เกิดในครอบครัวธรรมดาสามัญอย่างสกุลอวี้ บิดามารดาไม่ได้มีวิชาความรู้ สอนสั่งอะไรนางไม่ได้ คล้ายเป็นไข่มุกที่ฝุ่นจับ

“เอาสิ!” เผยเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองแต่ไรก็เป็นคนอยู่กับความเป็นจริง ดีก็คือดี เลวก็คือเลว ในเมื่อคุณหนูอวี้คิดวิธีที่ทั้งมัธยัสถ์และสง่างามออกมาได้ เขาย่อมจะเห็นด้วยอยู่แล้ว

นางบอกแล้วอย่างไรว่าเผยเยี่ยนผู้นี้ มักวางท่าว่าเป็นคนเรียบง่ายสามัญ แต่ตัวตนกลับชื่นชอบความหรูหราฟุ้งเฟ้อ แต่ไม่ว่าจะหรูหราฟุ้งเฟ้อเพียงใด ภายนอกต้องดูเรียบง่ายและสามัญเท่านั้น

อวี้ถังรู้สึกว่านางได้ทำความรู้จักกับเผยเยี่ยนมากขึ้นอีกขั้น ในใจของนางเริ่มมีเขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

นางรีบตามหาเด็กในร้านที่เคยรับใช้อยู่ในห้องบัญชี บอกให้เขาไปตามซวงเถากลับมา แล้วไปหาป้าสะใภ้ที่คอยดูแลโรงงานและโกดังอยู่ด้านหลัง ขอให้นางส่งคนไปจัดการเรื่องอาหารมังสวิรัติที่วัดเจาหมิง ทั้งกระซิบบอกกับป้าสะใภ้ว่า “ต้องให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยว่านี่เป็นสิ่งที่สกุลอวี้แสดงความเคารพต่อสกุลเผยนะเจ้าคะ”

นี่มิใช่เป็นการประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ว่าสกุลเผยให้ท้ายสกุลนางอยู่หรือ?

นับเป็นผลดีร้อยประการต่อสกุลอวี้โดยแท้

ป้าสะใภ้มีหรือจะไม่ตอบตกลง

“ข้ารู้แล้ว” คนสกุลหวังรับปาก “เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร จะต้องออกมาดีแน่”

ทว่าอวี้ถังยังเป็นห่วงอยู่บ้าง รีบเอ่ยว่า “มากหรือน้อยเกินไปล้วนไม่งามนะเจ้าคะ”

“รู้แล้ว รู้แล้ว” ท่านป้าสะใภ้หันมาหัวเราะให้นาง “จะไม่ให้คนนินทาว่าสกุลอวี้ของเราประจบสอพลอสกุลเผยเด็ดขาด”

อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ

————————————————————-

[1]จิน เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของจีน หนึ่งจินเท่ากับห้าร้อยกรัม

[2]เหลี่ยง เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักที่เล็กกว่าจิน โดยสิบเหลี่ยงเท่ากับหนึ่งจิน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset