ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 96 น้อยเนื้อต่ำใจ

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยยังจำอวี้ถังได้

พวกเขาไม่เพียงต้อนรับสองพี่น้องสกุลอวี้อย่างกระตือรือร้น เถ้าแก่เนี้ยยังตั้งใจเลือกห้องพักที่เงียบสงบให้กับอวี้ถังเป็นพิเศษด้วย ไปตักน้ำร้อนมาให้อวี้ถังล้างหน้าผลัดผ้าด้วยตัวเอง

อวี้ถังรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก

เถ้าแก่เนี้ยก้มศีรษะให้นางดูปิ่นดอกไม้ของตัวเอง “ครั้งที่แล้วเจ้ามอบให้ข้า ทุกคนต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่างดงาม สวมครั้งหนึ่งก็ชมครั้งหนึ่ง”

อวี้ถังเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะขอเถ้าแก่เนี้ยไปช่วยซื้ออุปกรณ์ทำปิ่นดอกไม้ในตรอกเล็กด้วยกัน

นางวางแผนว่าครั้งนี้จะทำปิ่นดอกไม้หลายอันหน่อย รอในยามที่พี่ชายและคุณหนูเซียงกลับบ้านฝั่งมารดา ก็จะนำไปอวดที่สกุลเซียงได้

หลังจากอวี้หย่วนทราบก็สบายใจ

เขากำลังจะไปสืบข่าวทางประตูอู่หลิน ทั้งกลุ้มใจไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องอวี้ถังอย่างไรดี

“เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวหน่อย” เขากำชับน้องสาว “ซื้อของเสร็จแล้วก็รีบกลับมา ตอนเย็นข้าไม่อยู่กินข้าวที่โรงเตี๊ยม บอกกล่าวกับเถ้าแก่เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานั้นเถ้าแก่เนี้ยจะนำอาหารเย็นไปส่งเจ้าในห้อง หากเจ้ากินข้าวเย็นเสร็จแล้วข้ายังไม่กลับมา ก็ปิดห้องหับหน้าต่างประตูให้แน่น รีบเข้านอน มีเรื่องอะไร ข้าจะพูดกับเจ้าพรุ่งนี้แทน”

นับเป็นครั้งแรกที่อวี้ถังไหว้วานญาติผู้พี่ให้ทำเรื่องเช่นนี้ กังวลอยู่บ้างว่าเขาจะเผยพิรุธจนถูกคนสกุลกู้จับตามอง หรืออาจจะพบกับอันตรายอะไร ดึงแขนเสื้อเขาเอ่ยอย่างเป็นห่วง “ท่านต้องระวังให้มาก สืบข่าวได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ท่านก็พูดแล้ว ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีไม่สาย ตราบใดที่มีชีวิต ย่อมมีความหวัง ครั้งนี้พวกเราไม่สำเร็จ ครั้งหน้าค่อยหาวิธีอื่นก็เพียงพอแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นกัน”

“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใดกัน?” อวี้หย่วนได้ฟังก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “บอกเจ้าแล้วว่านิยายประโลมโลก ละครงิ้วอะไรพวกนั้นอย่าไปดูให้มาก เจ้ากลับทำหูทวนลม เรื่องคอขาดบาดตายคิดให้น้อยๆ หน่อยเถิด เจ้าคิดว่าข้าไปทำอะไรกัน? ไปสืบข่าวเรื่องแม่นมของคุณหนูกู้ย่อมสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกิจการในร้านค้าของพวกเรา ไปประตูอู่หลินก็เพื่อไปหาเหยาซานเอ๋อร์ จากนั้นค่อยถือโอกาสไปสืบข่าวให้เจ้าด้วย”

นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขามาหังโจว มีโอกาสติดต่อกับเหยาซานเอ๋อร์ อวี้หย่วนกับเขาก็เริ่มไปมาหาสู่กัน หลายวันก่อนหน้านี้เขาก็ขอคนไปส่งของขวัญปีใหม่ให้เหยาซานเอ๋อร์ ร้านค้าสกุลพวกเขาเปิดกิจการ เหยาซานเอ๋อร์ก็ให้คนส่งของขวัญมาอวยพรถึงหลินอันเช่นกัน

แบบนี้ก็ดี!

อวี้ถังหัวเราะกระซิก “เช่นนั้นท่านพี่ก็รีบไปรีบกลับ อย่าลืมนำหัวหมูของร้านเจิ้นเป่ยเฉิงมาฝากข้าด้วย”

“เจ้าเป็นคุณหนูกุลสตรี มากินหัวมงหัวหมูอะไรกัน?” อวี้หย่วนเอ่ยอย่างไม่ปรานี “หากเจ้าอยากกิน ข้าก็จะซื้อขนมกุ้ยฮวา เชี่ยนสือเฝิ่น[1]ไม่ก็ วอซือถัง[2]ให้แทน” พูดจบ กลัวว่าอวี้ถังยังจะตอแยเขาให้ซื้อนั่นซื้อนี่ไม่เลิก หากตัวเองใจอ่อนขึ้นมา ก็จะเป็นเมื่อเหมือนก่อนรับปากทุกอย่าง เขาจึงโบกมือตัดบทอวี้ถัง เอ่ยว่า “ข้าไปล่ะ เจ้าดูแลตัวเองด้วย” ก่อนจะออกจากโรงเตี๊ยมไปโดยไม่เหลียวหลังมามองสักนิด

อวี้ถังพองลมที่แก้มอย่างโมโห กลับไม่อาจทำอะไรได้ นางจึงไปตรอกเล็กข้างๆ ซื้ออุปกรณ์ทำปิ่นดอกไม้กับเถ้าแก่เนี้ยแทน จากนั้นเห็นมีขนมเกาลัดวางขาย ก็ซื้อกลับมาจำนวนหนึ่ง ฝากเด็กของโรงเตี๊ยมนำไปส่งให้เถ้าแก่รองถง ทั้งถ่ายทอดคำพูดไปว่า “ครั้งก่อนมาหังโจว ต้องขอบคุณเถ้าแก่รองถงที่ให้ความดูแลอย่างดี เดิมตั้งใจจะนำของฝากจากหลินอันมาให้ ปรากฏว่าล้วนอร่อยสู้ที่หังโจวไม่ได้ จึงซื้อขนมหวานจากตรอกข้างๆ มาฝากแทน ของนั้นธรรมดา ไม่อาจตอบแทนน้ำใจได้หมด อย่างไรขอเถ้าแก่รองถงอย่าได้ถือสา รอพี่ชายกลับมา จะเข้าไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง”

หลังจากนางถูกเผยเยี่ยนอบรมสั่งสอน เมื่อกลับไปจึงตั้งใจเรียนรู้เรื่องมารยาทกับอวี้เหวินมากขึ้น รู้ว่ายามนี้อยากไปเยี่ยมเยือนใคร ไม่อาจไปตรงๆ ได้ แต่ต้องส่งป้ายชื่อไปล่วงหน้าไม่ก็ส่งคนไปมอบขนมของหวาน ควรทักทายเสียก่อน นัดหมายเวลาแล้วค่อยเข้าไป นี่จึงจะเรียกว่ารู้กาลเทศะ ทั้งยังได้รับบทเรียนจากเรื่องที่ส่งของขวัญให้เผยเยี่ยน ควรแสดงความจริงใจ พูดด้วยความซื่อตรง

เถ้าแก่รองถงได้รับขนมก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะอวี้ถังส่งขนมในนามของอวี้หย่วน เถ้าแก่รองถงจึงให้เด็กในร้านมาถ่ายทอดคำพูดแก่อวี้หย่วน กล่าวว่าพรุ่งนี้เย็นจะจัดงานเลี้ยงหลังร้านค้า เชิญอวี้หย่วนเข้ามาดื่มฉลองด้วยกัน

อวี้ถังตัดสินใจรับปากแทนอวี้หย่วนไป ทั้งให้เด็กคนนั้นช่วยไปซื้อสุราจินหวาสักไหมาเตรียมไว้ รออวี้หย่วนกลับมา

อวี้หย่วนรีบเร่งกลับมาก่อนเวลาห้ามออกจากเคหะสถาน

เขาดื่มสุรา ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาทั้งสองแข็งค้างอยู่บ้าง พูดจามั่วซั่วไม่รู้เรื่อง

อวี้ถังนั้นอับจนหนทาง คิดว่ารอได้เงินจากการประมูลแผนที่ จะซื้อบ่าวรับใช้ข้างกายให้อวี้หย่วนสักคน สกุลพวกเขาไม่ใช่สกุลร่ำรวยล้นฟ้าอะไร แม้จะกล่าวว่าบ่าวที่ติดตามอวี้หย่วนเมื่อก่อนนั้นรับใช้อวี้หย่วน ในความเป็นจริง กลับรับใช้ลุงใหญ่ของนางเสียส่วนมาก ทั้งอวี้หย่วนจะแต่งงานแล้ว แม้จะพูดว่าคุณหนูเซียงเติบโตในชนบท แต่ก็มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะมีข้ารับใช้อยู่ข้างกายหลายคนแล้ว นางไม่อาจให้ญาติผู้พี่ดูยากจนข้นแค้นเกินไปได้

เมื่อความคิดแล่นขึ้นมา ก็หักห้ามไม่ไหวอยู่บ้าง

นางยัดเงินให้เด็กโรงเตี๊ยมช่วยดูแลผลัดเปลี่ยนผ้าผ่อนให้อวี้หย่วน ส่วนตัวเองไปหาเถ้าแก่เนี้ย อยากขอให้นางช่วยแนะนำนายหน้าที่คุ้ยเคยและไว้ใจได้ เพื่อวางแผนจะซื้อบ่าวรับใช้ข้างกายให้อวี้หย่วน

เถ้าแก่เนี้ยคาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไอหยา ช่วงนี้สกุลพวกเจ้าคงรุ่งเรืองขึ้นไม่น้อย”

สกุลดั่งเช่นสกุลอวี้นี้ โดยปกติบ่าวรับใช้ข้างกายย่อมไม่ได้แบ่งแยกอะไรชัดเจนขนาดนั้น ครั้งนี้ต้องการซื้อบ่าวให้อวี้หย่วนโดยเฉพาะ หากไม่ใช่ว่าสกุลร่ำรวยขึ้นมา ย่อมไม่อาจใจใหญ่เช่นนี้

อวี้ถังไม่ตั้งใจจะมากความ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายข้าใกล้จะแต่งงานแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจให้เขาไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนคอยช่วยเหลือได้เลยกระมัง”

“นั่นก็มิผิด” เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม ช่วยเป็นธุระตามหาคนให้อวี้ถัง

อวี้หย่วนตื่นขึ้นมาเช้าตรู่ของอีกวัน ปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด อวี้ถังที่ยกอาหารเช้าเข้ามาล้วนไม่มีสีหน้าดีให้เขา

“สมน้ำหน้า!” อวี้ถังเอ่ย “ใครใช้ให้ท่านดื่มมากเพียงนั้น ข้างกายก็ไม่มีใครสักคน หากหกล้มหัวทิ่มไปจะทำอย่างไร? ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะระวังตัวดีๆ!”

อวี้หย่วนหัวเราะอย่างกระดากอาย เอ่ยประจบนาง “อาถัง เมื่อวานข้าช่วยเจ้าสืบอย่างละเอียดแล้ว หากทางสกุลกู้ไม่มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอันใด แม่นมของคุณหนูกู้คงจะไปเยี่ยมเยือนลูกชายที่ร้านค้าพรุ่งนี้ ว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็ช่างบังเอิญ ร้านค้าของเหยาซานเอ๋อร์อยู่ด้านหลังร้านค้าสกุลกู้ เหยาซานเอ๋อร์ไม่เพียงรู้จักกับลูกชายของแม่นมคุณหนูกู้ แต่ยังรู้จักเถ้าแก่ไม่กี่คนของร้านค้าสกุลพวกเขาด้วย อ้างจากที่เขากล่าว เถ้าแก่สามของสกุลพวกเขาเป็นคนที่ปากมาก ชอบพูดซี้ซั้วเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้ เถ้าแก่ใหญ่ของพวกเขาจึงไม่ชอบใจเขาเท่าใด ตัวเขาเองก็รู้ดีแก่ใจ คิดฉวยโอกาสจากความสัมพันธ์เล็กน้อยของสกุลกู้ หาร้านเล็กๆ เป็นเถ้าแก่ใหญ่ ได้ยินว่าข้ามาจากเมืองหลินอัน อยากเปิดร้านที่หังโจว เขาก็ต้อนรับข้าอย่างอบอุ่นเป็นพิเศษ เมื่อวานข้าดื่มมากไป ก็เพราะในงานเลี้ยงเขาเอาแต่ชวนข้าดื่มสุรา”

มีเถ้าแก่น้อยคนนักที่คิดจะเปลี่ยนนายจ้าง หากเปลี่ยนนายจ้าง ไม่มีคำแนะนำจากนายจ้างคนเก่า นายจ้างคนใหม่ย่อมไม่กล้ารับคนผู้นี้ไว้เช่นกัน

อวี้ถังได้ยินว่าเถ้าแก่สามผู้นี้ปากมากก็ไม่ชื่นชอบเท่าใด “หากท่านมาเปิดร้านที่หังโจว ท่านจะใช้ประโยชน์คนผู้นี้หรือไม่?”

“ไม่เด็ดขาด!” อวี้หย่วนก็ไม่ชอบคนปากมากเช่นกัน

อวี้ถังนึกถึงคำพูดที่เผยเยี่ยนสอนนาง “พวกเราใช้ประโยชน์เขาก็คือใช้ประโยชน์ แต่ไม่อาจทำให้เขาคิดว่าภายหลังพวกเราจะเชิญเขาไปเป็นเถ้าแก่ในร้านได้เชียว สองเรื่องนี้ต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน”

หากเกิดเรื่องราวแค้นเคืองอะไรขึ้นมาก็ไม่ดีแล้ว

อวี้หย่วนคลึงศีรษะที่เริ่มปวดขึ้นมาอีกครั้ง พึมพำ “ข้ารู้ เป็นเหยาซานเอ๋อร์ กลัวว่าข้าจะถูกพวกเขาดูแคลน จึงบอกว่าข้าอยากมาเปิดร้านที่หังโจว ยามนั้นข้าก็เอ่ยไปเช่นกัน ข้าอยากมา แต่พ่อข้าไม่ยอม เรื่องนี้แปดถึงเก้าในสิบคงไม่อาจสำเร็จ อย่างมากที่สุดข้าก็เข้ามาดู มาเที่ยวชมเท่านั้น”

อวี้ถังผงกศีรษะ

อวี้หย่วนเอ่ยเรื่องร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลเซิ่งขึ้นมา “เพียงแค่เดินเข้าไปก็พาให้คนรู้สึกว่าของในร้านค้าของพวกเขาไม่ธรรมดา เมื่อสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่า ไม่ได้ขายแพงเกินไป จริงที่ว่าของบางอย่างแพงอยู่บ้าง แต่ข้ารู้สึกว่าของพวกนั้นก็มีเหตุผลที่ต้องขายแพง ส่วนเรื่องแบบเครื่องลงรักของร้านพวกเขา นับว่าแปลกใหม่จริงๆ ไม่พูดถึงอย่างอื่น กล่องเครื่องลงรักแกะสลักอักษรมงคลแบบเดียวกัน การแกะสลักของพวกเขา กลับประณีตเสมือนจริง ร้านของพวกเราเทียบไม่ได้จริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ร้านพวกเขายังมีเครื่องลงรักแบบ ‘เชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยน’…”

ขณะที่เขาพูด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหมองเศร้า

“ข้าไม่กล้าดูนานนัก พอดีกับใกล้ถึงเวลาที่นัดเหยาซานเอ๋อร์ จึงรีบกุลีกุจอไป ข้ากลับมาใคร่ครวญดู คิดว่าทำเช่นนี้คงไม่ได้ วันนี้ต้องไปดูอีกครั้ง”

อวี้ถังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในใจเขา

แม้อวี้หย่วนจะเป็นลูกชายเจ้าของร้าน ทั้งติดตามไปที่ต่างๆ กับอวี้ป๋อไม่น้อย แต่อย่างไรเขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีสวมกวาน เพิ่งมาไม่นาน หนำซ้ำยังเป็นหังโจว เมืองอันดับหนึ่งของแถบเจียงหนานที่รวบรวมสกุลเลื่องนาม ร้านค้ามีชื่อ ทั้งสินค้ายอดนิยมไว้ด้วยกัน ย่อมรู้สึกอึดอัดเหมือนมีเพชรเม็ดงามอยู่ข้างๆ

ชาติก่อน ยามที่นางเพิ่งแต่งเข้าสกุลหลี่ เผชิญหน้ากับกู้ซีที่งดงามและใจกว้าง นางก็เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจตัวเองเช่นนี้

“ข้าจะไปกับท่าน” อวี้ถังเอ่ย “ข้าก็ใกล้ถึงเวลาออกเรือนแล้วเช่นกัน หากเครื่องลงรักแบบ ‘เชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยน’ ดีอย่างที่ล่ำลือขนาดนั้นจริงๆ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ยามที่มากับท่านแม่และป้าสะใภ้ใหญ่ ก็ซื้อกลับไปสักอันสองอัน”

ประเด็นหลักที่นางจะไปเที่ยวชมร้านค้าของสกุลเซิ่ง ทั้งให้เหตุผลที่เพียงพอกับอวี้หย่วน ก็เพื่อให้อวี้หย่วนมีความมั่นใจ ยามที่ทำเรื่องราวอันใดก็จะใจกล้าขึ้นมา คาดว่าเถ้าแก่และเด็กในร้านค้าพวกนั้นคงตาดีมีไหวพริบกันทั้งนั้น ยามที่เห็นพวกเขาสวมชุดไร้ราคาแต่กลับใจกล้ามาเทียวดูสินค้าในร้านพวกเขา ย่อมคิดว่าพวกเขาเป็นลูกหลานสกุลใหญ่โตที่ออกมาหาประสบการณ์ แน่นอนว่าคงไม่กล้าเพิกเฉยต่อพวกเขา

ญาติผู้พี่ก็สามารถอาศัยเรื่องนี้เรียนรู้วิธีรับมือกับผู้คนได้

อวี้ถังลอบพยักหน้าให้กับความคิดตัวเองในใจ ทั้งนึกไปถึงเผยเยี่ยนที่สวมชุดเรียบๆ ธรรมดากลับถือของหายากอยู่ในมือ

สามารถทำให้คนที่ชอบดูถูกคนอื่นพวกนั้นหกล้มหัวคะเมนได้ง่ายๆ

อวี้ถังพลันสัมผัสได้ถึงนิสัยเสียของเผยเยี่ยน

นางอดไม่ได้ที่จะยกมือเช็ดหน้าผากที่ไร้เหงื่อ เวลานี้จึงค่อยพูดเรื่องที่เถ้าแก่รองถงเชิญอวี้หย่วนไปงานเลี้ยง “วันนี้พวกเราออกไปเที่ยวเล่น ตอนเย็นก็กลับมาเร็วหน่อย ใช้โอกาสนี้ขอคำแนะนำเรื่องเคล็ดลับการค้าในหังโจวจากเถ้าแก่รองถง”

อวี้หย่วนตื่นเต้นอยู่บ้าง

ยังคงเป็นครั้งแรกที่เขารับมือกับเถ้าแก่รองถงที่มีฐานะเป็นผู้อาวุโสเพียงลำพังโดยไร้การชี้นำจากอาและบิดา ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว ในเมื่ออวี้ถังช่วยเขาวางแผนแล้ว เขาก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด

ช่วงสายวันนี้เขาตัดสินใจจะไปเที่ยวชมร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลเซิ่งในหังโจว ยามบ่ายไปพบเถ้าแก่สามของสกุลกู้ พูดคุยเรื่องสกุลหลี่ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่แม่นมของกู้ซีแวะผ่านมาพอดี

เมื่อตัดสินใจได้ สองพี่น้องก็กินข้าวเช้า ผลัดเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน เดินทางไปยังประตูอู่หลิน

————————

[1]เชี่ยนสือเฝิ่น คือผงที่ได้จากการบดแปรรูปของเชี่ยนสือ(สมุนไพรจีน) มีรสหวาน

[2]วอซือถัง ขนมที่ทำจากน้ำตาล มีลักษณะคล้ายขนมลา

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset