ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 101 ซาจี๋

คนสกุลเฉินกับป้าเฉินกำลังเคี่ยวน้ำตาลข้าว[1]อยู่ในลานบ้าน กลิ่นของข้าวสาลีหอมอบอวลไปทั่ว

“น้าสะใภ้!” อวี้หย่วนเดินเข้าไปทักทายคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินใช้มือเช็ดกับผ้ากันเปื้อนที่มัดอยู่ตรงเอว ร้องถามด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “อาหย่วน เจ้ามาหาท่านอาหรือ? เขาไปส่งเหนียนเกา[2]ให้เถ้าแก่ใหญ่ถงน่ะ วันนี้ก่อนเที่ยงคงไม่กลับมาแน่ เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ? ถ้าบอกกับข้าไม่ได้ก็ไปเขียนกระดาษทิ้งไว้ให้ท่านอาที่ห้องหนังสือเถอะ”

พรุ่งนี้เป็นวันปีใหม่เล็ก ข้าวของที่ต้องใช้ตอนวันปีใหม่เตรียมเสร็จแล้ว เหนียนเกาเป็นของกินที่ทุกบ้านทุกครอบครัวต้องมี อีกอย่างการทำเหนียนเกาก็เป็นงานถนัดของคนสกุลเฉิน เพียงเพราะปีก่อนๆ คนสกุลเฉินสุขภาพไม่ดี จึงไม่เคยลงมือทำเอง ปีนี้แม้ร่างกายของคนสกุลเฉินจะสู้คนปกติมิได้ แต่ก็ดีขึ้นกว่าทุกๆ ปีมากแล้ว ไม่เพียงคนในสกุลอวี้ที่ดีอกดีใจ คนสกุลเฉินเองก็เบิกบานขึ้นมาก ลงมือทำเหนียนเกาหนักสิบกว่าจิน ทั้งญาติพี่น้องมิตรสหาย เพื่อนบ้านในตรอกซอย ต่างได้การแบ่งสรรไปคนละเล็กคนละน้อยอย่างถ้วนหน้า

“ข้ามาหาอาถังขอรับ!” อวี้หย่วนทางหนึ่งก็ตอบคำ อีกทางก็ช่วยคนสกุลเฉินยกน้ำตาลข้าวที่เคี่ยวเสร็จแล้วเข้าไปในห้องครัว “อาถังอยู่หรือไม่ขอรับ? พวกเราตอนไปหังโจวครั้งก่อนก็ได้เห็นแบบลวดลายใหม่ ข้าอยากจะหารือกับนางสักหน่อย”

คนสกุลเฉินไม่ได้เอะใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นางอยู่ในห้องหนังสือน่ะ!” พูดจบ ก็ใช้มีดหั่นขนมน้ำตาลข้าวออกเป็นชิ้นใส่ชามแล้วส่งให้อวี้หย่วน “รับไปสิ พวกเจ้าสองพี่น้องลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่”

อวี้หย่วนรับของมาอย่างดีใจ แล้วถือชามไปที่ห้องหนังสือ

อวี้ถังมือถือพู่กันอยู่ ตัวค่อมอยู่เหนือโต๊ะหนังสือขีดเขียนอะไรบางอย่าง

ตะวันอบอุ่นในหน้าหนาวลอดผ่านหน้าต่างที่ติดกระดาษเกาลี่[3]เอาไว้ แสงทาบทับจนเงาของนางเกิดเป็นประกายทองหนึ่งชั้น ดูอบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งนัก

อวี้หย่วนตะลึงงัน ก่อนจะส่งเสียงเรียก “อาถัง”

อวี้ถังเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้ทันที

รอยยิ้มแผ่ซ่านไปทั่วเริ่มจากดวงตาของนาง ทำให้สีหน้านั้นเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาทันที

“ท่านพี่มาได้อย่างไร?” นางวางพู่กันลง หยัดตัวตรงยืนอยู่หลังโต๊ะหนังสือ แล้วพาอวี้หย่วนไปนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือริมหน้าต่าง “ท่านไม่ได้วุ่นวายอยู่กับการเตรียมของขวัญปีใหม่ให้สกุลเซียงหรอกหรือ?”

เมื่อกำหนดวันแต่งงานได้แล้ว ลงลายมือในหนังสือหมั้นหมายเสร็จสิ้น แม้จะยังไม่ได้จัดงานอย่างเป็นทางการ ทว่าอวี้หย่วนก็นับเป็นลูกเขยของสกุลเซียงแล้ว ตามธรมเนียม วันที่สองนับจากวันปีใหม่อวี้หย่วนต้องไปคารวะสกุลเซียง คนสกุลหวังกำลังกลุ้มใจเรื่องของขวัญอยู่พอดี โทษว่าอวี้หย่วนไม่นำพาเรื่องนี้ ตอนที่ไปหังโจวถึงไม่ซื้ออะไรกลับมาซักชิ้น

อวี้หย่วนหัวเราะเหอะๆ เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “มิใช่มีท่านแม่กับน้าสะใภ้อยู่หรือ? เรื่องนี้ข้าก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ หากว่าต้องซื้อของมาผิดๆ มิสู้อย่าซื้อแต่แรกเลยดีกว่า!”

หนก่อนที่สกุลเซียงมาเยือนก็ทิ้งความทรงจำที่ไม่ค่อยอภิรมย์ให้เขานัก เขาจึงไม่อยากไปเรือนสกุลเซียงสักเท่าไร แต่เพื่อหน้าตาของคุณหนูเซียง เขาถึงได้ตัดสินใจโยนเรื่องนี้ออกจากสมอง จากนั้นเดินทางไปคารวะคนสกุลเซียงด้วยท่าทีสุภาพถ่อมตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยากยกเรื่องนี้มาพูดอีก

เขาวางน้ำตาลข้าวลงบนโต๊ะตัวเล็ก เอ่ยกับอวี้ถังว่า “น้าสะใภ้ให้มา ชิมดูสิว่าอร่อยหรือไม่”

มารดานั้นตื่นมาเคี่ยวน้ำตาลตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

ตอนที่นางยังเด็กเวลาเช่นนี้จะคอยอยู่ข้างเตาไม่ห่างอย่างทนรอไม่ไหว ทุกครั้งล้วนถูกมารดาอุ้มหนี สุดท้ายก็จะร้องไห้งอแงก่อนจะยอมหยุดเมื่อถูกยัดขนมน้ำตาลข้าวให้ชิ้นหนึ่ง

กระทั่งปีที่นางอายุได้สิบขวบ เพราะขโมยกินน้ำตาลข้าวจนลวกปาก ต้องไปเชิญหมอมาดูอาการและกินยาติดกันไปเป็นเดือน ของกินอร่อยๆ ทั้งหลายในวันปีใหม่จึงมีไว้แค่มองเท่านั้น นางไม่เคยตะกละกินไม่เลือกอีกเลย

สำหรับคนสกุลเฉิน เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อห้าหกปีก่อนเท่านั้น แต่สำหรับนาง นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว

นางได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ ส่งยิ้มให้พลางชงน้ำตาลข้าวให้กับตนเองและอวี้หย่วน “ท่านพี่ก็ลองชิมดูเจ้าค่ะ” อวี้ถังหย่อนตัวนั่งตรงหน้าอวี้หย่วนอีกครั้ง

อวี้หย่วนลองชิมน้ำตาลข้าวชง ได้กลิ่นหอมกรุ่นอบอวล หวานแต่ไม่แสบคอ จึงอดเอ่ยชมไม่ได้ว่า “ไม่คิดว่าท่านน้าสะใภ้จะทำน้ำตาลข้าวได้อร่อยถึงเพียงนี้ ปีนี้นับว่าเป็นลาภปากพวกเราแล้ว”

น้ำตาลข้าวนี้นอกจากใช้บูชาเทพเจ้าเตา ใช้ต้อนรับญาติมิตรที่มากล่าวสวัสดีปีใหม่แล้ว มากกว่าครึ่งหนึ่งก็เตรียมเอาไว้ใช้ตอนอวี้หย่วนแต่งงาน

อวี้ถังแอบหัวเราะ

อวี้หย่วนพลันเขินอาย ไม่กล้าพูดเรื่องน้ำตาลข้าวขึ้นมาอีก แล้วจงใจเลี่ยงประเด็นว่า “ข้ามาคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ข้าจะไปช่วยดูแลไร่นาและสวนป่าของสกุล พวกเราก็ปลูกต้นไม้ที่เจ้าพูดถึง แล้วทำผลไม้เชื่อมกัน”

อวี้ถังเดาไว้แล้วเหมือนกันว่าคงเป็นเช่นนี้

ชาติก่อนอวี้หย่วนดูแลกิจการได้เป็นอย่างดี ทว่าท่านลุงใหญ่ของนางก็ไม่เคยวางใจ ยังคอยช่วยชี้แนะอวี้หย่วนอยู่เรื่อยๆ ชาตินี้อวี้หย่วนแค่ติดตามอยู่หลังท่านลุงใหญ่เพื่อช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ท่านลุงใหญ่ยิ่งไม่มีทางปล่อยมือมอบร้านค้าให้เขาไปดูแลแน่

“ข้าก็คิดจะพูดเรื่องนี้กับท่านพี่อยู่พอดี!” อวี้ถังเอ่ยพลางเดินไปที่โต๊ะหนังสือ “ท่านพี่มาดูนี่สิเจ้าคะ นี่เป็นภาพต้นไม้ชนิดนั้นที่ข้าพูดถึง พอพ้นปีใหม่ไปแล้ว พวกพ่อค้าที่อยู่ด้านนอกคงกลับมากันเยอะ ท่านว่าจะขอให้พวกเขาเหล่านั้นช่วยดูหน่อยได้หรือไม่ เผื่อว่าจะมีพ่อค้าคนไหนพอรู้จักต้นไม้ชนิดนี้?”

อวี้หย่วนเดินเข้าดูอย่างละเอียด แล้วม้วนภาพผืนนั้นเก็บไปทันที “ได้สิ เรื่องนี้มอบหมายให้ข้า ก่อนวันที่สิบห้าจะส่งข่าวมาบอกเจ้าแน่”

อวี้ถังถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง รอให้อวี้หย่วนเดินออกไปแล้ว นางจึงวาดรูปต้นซาจี๋ขึ้นมาใหม่ แล้วให้อวี้เหวินที่เพิ่งกลับมาจากการส่งขนมเหนียนเกาช่วยดู “ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าเป็นต้นไม้ชนิดใด? จะตามหาคนที่รู้จักต้นไม้ชนิดนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ?”

ส่วนใหญ่พวกบัญฑิตจะชมชอบต้นไม้บุปผา ไม่แน่อาจจะมีคนรู้จักก็ได้

อวี้เหวินหัวเราะแล้วบอกว่า “เจ้าหาโจทย์ยากอะไรมาให้ข้าอีกแล้วล่ะ?”

เพราะอวี้ถังเสนอให้เชิญคหบดีที่มีชื่อเสียงและบัณฑิตที่สอบเป็นซิ่วไฉจวี่เหรินของเมืองหลินอันมาร่วมดื่มสุรามงคลที่เรือนในงานแต่งของอวี้หย่วน ช่วงนี้อวี้เหวินจึงต้องวิ่งวุ่นขาแทบเรียวเล็กไปหมดแล้ว ไม่ง่ายกว่าจะจัดการเรื่องราวให้เข้าที่เข้าทางได้บางส่วน ไม่ทันไรอวี้ถังก็ถือภาพต้นไม้อะไรไม่รู้มาถามความจากเขาอีก…

อวี้ถังยิ้มอย่างละอาย กอดแขนบิดาแล้วเอ่ยออดอ้อนว่า “ต้นนี้เรียกว่าซาจี๋เจ้าค่ะ ข้ากับท่านพี่วางแผนจะปลูกต้นนี้ที่สวนป่าของสกุลเรา ท่านพ่อช่วยข้าถามหน่อยสิเจ้าคะ! อย่างไรท่านก็ต้องช่วยท่านพี่ไปเชิญแขกคนอื่นๆ อยู่แล้ว!”

คนเมื่อเจอเรื่องยินดีย่อมจะสำราญใจ บุตรสาวเข้ามาคลอเคลียเขา เขาก็ยิ่งเบิกบานใจยิ่งนัก หลังจากแกล้งหยอกนางไปสองสามคำ ตอนที่เขาออกไปส่งเทียบเชิญก็พกภาพผืนนั้นติดตัวไปด้วย

ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดการณ์ของอวี้ถัง คนที่รู้จักต้นไม้ชนิดนี้กลับเป็นเสิ่นซ่านเหยียนอาจารย์แห่งสำนักศึกษาประจำอำเภอ

เขาหัวเราะแล้วถามอวี้เหวินว่า “เจ้าถามไปทำอะไรรึ? ต้นไม้ชนิดนี้แม้จะเนื้อหยาบ แต่พวกเราทางนี้ปลูกไม่ขึ้นหรอก หากเจ้าไม่เชื่อ จะไปดูที่จวนของสยากวงก็ได้ จวนเขาทางนี้ก็มีอยู่หลายต้น เป็นโจวจื่อจินนำกลับมาให้ตอนที่เขาได้ไปกานซู ตอนอยู่ที่โน่นยังงอกเมล็ดออกมาอยู่เลย แต่พอนำมาปลูกกลับไม่ออกผล เพราะเรื่องนี้ จื่อจินยังกระเซ้าสยากวงว่าจวนเขาดินน้ำไม่ได้เรื่อง”

อวี้เหวินนึกไม่ถึงว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ เขาเหม่อลอยพักใหญ่แล้วเอ่ยว่า “เป็นบุตรสาวข้าเอง ไม่รู้ว่าไปได้ยินมาจากไหน บอกอยากปลูกต้นไม้ชนิดนี้ที่สวนป่าของสกุล ถึงให้ข้าลองมาสอบถามดู!”

เสิ่นซ่านเหยียนแม้จะปลีกตัวออกจากสังคมภายนอกมาอยู่ที่แห่งนี้ แต่ก็พอได้ยินถึงนิสัยใจคอของอวี้เหวินมาบ้าง ภายหลังได้เจอกันหลายครั้ง ก็พบว่าเข้ากันได้ไม่เลว บางครั้งยังไปชื่มชมดอกไม้และออกไปเดินเที่ยวนอกเมืองกับเขาอีกด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นจึงตอบไปว่า “บุตรสาวเจ้าคนนี้ ช่างน่าเสียดายโดยแท้ หากว่าเป็นบุรุษ ต่อให้ไม่ร่ำเรียนวิชาแต่ก็คงทำการใหญ่ออกมาได้”

เสิ่นซ่านเหยียนเป็นใครกัน เขาเป็นถึงคุณชายสกุลเสิ่น อัจริยะในแถบเจียงหนาน เหล่าบัณฑิตได้รับคำชมจากเขาสักหนึ่งคำนับว่าประเสริฐยิ่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้เป็นสตรีเลย

อวี้เหวินปลื้มปริ่มจนหน้าบาน แต่ปากก็ถ่อมตนไปว่า “มิได้ มิได้ นางชอบซุกซนไปทั่วเช่นนั้นเอง”

เสิ่นซ่านเหยียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “แค่ซุกซน ยังซุกซนได้ประสบความสำเร็จเพียงนี้ นับว่าสุดยอดนัก” จากนั้นเขาก็นึกเรื่องงานแต่งของคุณหนูอวี้ขึ้นมาได้ จึงถามออกไปว่า “งานมงคลของบุตรสาวเจ้า เจ้าต้องคิดให้รอบคอบ อย่าได้ยกให้ผู้อื่นอย่างฉาบฉวยเป็นเด็ดขาด”

“แน่นอน แน่นอน” อวี้เหวินพยักหน้ารับติดๆ กัน

ต่อให้เสิ่นซ่านเหยียนไม่พูดคำนี้ออกมา เขาก็ไม่อาจตัดใจยกนางให้ผู้อื่นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้ว ตอนนี้มาได้ยินเสิ่นซ่านเหยียนพูดอีก เขาก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะหาบุตรเขยแสนประเสริฐมาให้จงได้

————————————————————-

[1]น้ำตาลข้าว มีวัตถุดิบหลักคือข้าวสาลี เพาะจนขึ้นเป็นข้าวสาลีงอกใช้ข้าวเหนียวนึ่งมาผสม คั้นน้ำออกมาเคี่ยวให้เหนียว ใช้เป็นตัวเชื่อมขนมให้เป็นแผ่นหรือก้อน มีรสชาติหวาน

[2]เหนียนเกา หรือขนมเข่ง เป็นขนมไหว้วันปีใหม่หรือวันตรุษจีน มีลักษณะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น แต่มีชื่อเรียกร่วมกันว่า เหนียนเกา เหนียนเกาของทุกถิ่นมีลักษณะสำคัญร่วมกันคือ ทำด้วยแป้งที่ได้จากข้าวชนิดใดชนิดหนึ่ง ภาคใต้ส่วนมากใช้ข้าวเหนียว ภาคเหนือนิยมใช้ข้าวฟ่างเหนียว สาเหตุที่นิยมใช้เหนียนเกาเป็นขนมไหว้ตรุษจีน เพราะชื่อขนมชนิดนี้มีความหมายว่า สูงส่งทุกๆ ปี

[3]กระดาษเกาลี่ เป็นชื่อเรียกสมัยก่อนของกระดาษจากเกาหลี เนื้อสัมผัสมีความเหนียว เรียบ หมึกซึมเล็กน้อย เหมาะสำหรับการประดิษฐ์ตัวอักษรและการวาดภาพ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset