บทที่ 10 บาดเจ็บ
“ข้าไม่ได้อยากจะหย่า” หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาที่เย็นชา ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง คนพวกนี้ไม่มีใครอยากให้เธอได้ดี
ชั่งเถอะ ไม่ยอมหย่าก็ไม่ต้องหย่ากัน!
“ชายาเย่ เจ้าก็ทนไปก่อนแล้วกัน แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็จะรับผิดชอบตัดสินใจเรื่องนี้ให้เจ้าเอง ถ้าหากว่าอ๋องเย่รังแกเจ้า เจ้าก็มาหาข้า ข้าจะจัดการเขาด้วยตัวข้าเอง”
เมื่อองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสเสร็จแล้ว ก็หยิบแผ่นหยกออกมาจากเอว มอบให้กับฉีเฟยอวิ๋น : “นี่คือสิ่งของที่ข้าพกติดตัวตลอด มันเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของข้า เก็บเอาไว้ หากวันใดอ๋องเย่รังแกเจ้า เจ้าก็แค่มาหาข้าก็พอ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบรับหยก พร้อมกับรีบคำนับขอบคุณ : “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
“วันนี้ก็เหนื่อยกันแล้ว อยู่ทานอาหารที่นี่แล้วกัน นานแล้วที่ไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
“เพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้พาฮองเฮาเดินจากไป เหลือสี่คนที่พากันยืนจ้องหน้ากัน
เวลานี้เอง จวินฉูฉู่มองไปยังฉีเฟยอวิ๋น ในใจเต็มไปด้วยความริษยา ที่ฝ่าบาททรงให้หยกส่วนพระองค์แก่ฉีเฟยอวิ๋น มีเกียรติระดับไหนกัน?
แต่สีหน้าที่แสดงออกกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและมีน้ำใจ : “พระชายาเย่ควรเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี ของพระราชทาน ไม่ควรทำหายไปเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ตอบอะไร ในใจคิดเพียงแต่ว่าจะรักษาองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ให้หายได้อย่างไร
“อย่าสนใจนางเลย เสียเวลาเสวนาด้วย เดี๋ยวจะพลอยติดความซวยเปล่าๆ……” ท่านอ๋องตวนฉุนจัด สีหน้าก็แย่มาก เขาเองไม่ชอบฉีเฟยอวิ๋นมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะรู้สึกว่านางเป็นแค่เศษซากเรือพเนจรที่ไร้ประโยชน์
“เสด็จพี่ อย่าพูดแบบนี้สิเพคะ” จวินฉูฉู่ขมวดคิ้วแสร้งกล่าวติติง
ฉีเฟยอวิ๋นมองทั้งคู่ที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย รู้สึกเอือมระอาเต็มที คู่รักจิตวิดปริตร ไม่รู้จะรั้งเธอไว้ทำไม
ไร้สาระ!
ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึกเจ็บ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวเข่าขึ้นมา จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีบาดแผล เธอจึงรีบไปหาที่เงียบๆ เพื่อตรวจดูบาดแผลของตัวเอง
“เข่าของเจ้าบาดเจ็บหรือ?”
ใครจะไปนึกว่าจวินฉูฉู่จะตามมาด้วย คาดไม่ถึงว่าพูดขึ้นมาแบบนี้
จวินฉูฉู่ยืนอยู่ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นด้วยท่าทีที่สวยและสง่างาม
“นิดหน่อย พระชายาตวนอย่าใส่ใจเลย”ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่แสดงออก
ตัวเธอไม่ได้พกยาสมานแผลมาด้วย ต่อไปคงต้องพกแล้วล่ะ : “พระชายาเย่ดูเหมือนอารมณ์จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่?”
จวินฉูฉู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ฉีเฟยอวิ๋นจึงเงยหน้ามองจวินฉูฉู่ แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยขากางเกงลง และจัดระเบียบกระโปรงเรียบร้อย
จวินฉูฉู่ที่กำลังจะเดินจากไป แต่ก็เจอหนานกงเย่ที่กำลังเดินมาพอดี จู่ๆ ก็เสียหลักหกล้ม
แต่ล้มลงคนละทางกับท่าหกล้ม มองจากที่ไกลๆ จะเหมือนว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นคนผลักนางล้ม
แกล้งล้มแบบนี้ ยอมแล้วจริงๆ!
ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันจะรู้ตัว ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ใบหน้า
หนานกงเย่ตบเธออย่างแรง เธอที่ยืนอยู่ก็ล้มลงกับพื้น
เมื่อเธอได้สติ ก็เห็นหนานกงเย่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ จองเธอด้วยสีหน้าแววตาที่น่ากลัว
เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย มีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายเธอ?
ผู้ชายสาระเลว มีตาหามีแววไม่!
ฉีเฟยอวิ๋นนึกไม่ถึงว่าหนานกงเย่จะทำแบบนี้ ยังไม่ทันจะรู้เหตุการณ์เป็นมายังไง ก็ลงมือทำร้ายร่างกายคนอื่นแล้ว เธอจ้องหนานกงเย่ด้วยแววตาโกรธจัด
“ตอนอยู่ข้างนอกข้าละเว้นเจ้าไปครั้งหนึ่งแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเข้าวังมา เจ้ายังจะบ้าคลั่งแบบนี้อีก!” หนานกงเย่แววตาเย็นยะเยือก ใครมองเป็นต้องขวัญกระเจิง
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นจากพื้น หันไปมองจวินฉูฉู่พี่กำลังลุกขึ้นยืน
สีหน้าของจวินฉูฉู่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด รีบอธิบายขึ้นว่า : “ท่านอ๋องเย่ อย่าโทษพระชายาเย่ ฉูฉู่ไม่ดีเอง สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงสะดุดล้มเองเพคะ”
“นางไม่คู่ควร และไม่ใช่พระชายาเย่ของข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นมองพวกเขาทั้งคู่สลับกันไปมา ยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกเหรอ เธอยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านอ๋องเย่ตบหน้าภรรยาที่ถูกต้องตามจารีตประเพณีของตัวเองต่อหน้าคนนอก ตำแหน่งพระชายาเย่ ข้าไม่ต้องการจริงๆ ใครอยากได้ ข้าพร้อมจะหลีกทางให้เอง พระ
ชายาตวน เจ้าอยากได้หรือไม่?”
จวินฉูฉู่สีหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร?” หนานกงเย่จ้องฉีเฟยอวิ๋นตาเขม็ง จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินจากไปทันที
ฉีเฟยอวิ๋นลูบแก้มตัวเองเบาๆ หรี่ตาลง หนานกงเย่ แค้นในวันนี้ ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม
มองแผ่นหลังที่กำลังเดินจากไปของหนานกงเย่ เธอไม่เข้าใจ ตามความสามารถของเขา แต่งงานกับจวินฉูฉู่ได้สบายมาก แล้วทำไมถึงไม่แต่งล่ะ?
เธอลูบแก้มของตัวเองเบาๆ ฉีเฟยอวิ๋นกำลังเตรียมจะเดินจากไป แต่เพียงแค่เหยียบเท้าลง ก็ล้มลงไม่เป็นท่า
ฉีเฟยอวิ๋นล้มแรงอุทานขึ้นด้วยความจุก เธอแหงนหน้าขึ้นไปมองจวินฉูฉู่ที่กำลังยืนมองเธออยู่ : “เป็นอย่างไรบ้าง พระชายาเย่ของข้า?”
สวยแต่รูปจูบไม่หอม คงจะสะใจมากล่ะสิ ฝากไว้ก่อนเถอะ!
ฉีเฟยอวิ๋นกัดฟันแน่นพร้อมกับลุกขึ้นยืน แล้วถีบไปเต็มแรง จวินฉูฉู่ที่หลบไม่ทัน จึงหงายหลังนั่งลงกับพื้น
ปัดมือเบาๆ ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองไปที่จวินฉูฉู่ อยากจะจัดการจวินฉูฉู่ให้สาสม เพิ่งกำลังจะยกขาขึ้น ยังไม่ทันจะได้เตะ ฮองเฮาก็ได้พาหนานกงเหยี่ยนและหนานกงเย่มาถึงพอดี
เมื่อทั้งคู่เห็นจวินฉูฉู่นั่งอยู่บนพื้น และขาฉีเฟยอวิ๋นก็ยังไม่ได้วางลง จึงเข้าใจผิดเป็นธรรมดา
ทั้งคู่วิ่งเข้ามาพร้อมกัน
ท่านอ๋องตวนรีบเข้าไปอุ้มจวินฉูฉู่ ช่วยประคองลุกขึ้น ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย : “เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่……ไม่เป็นไรเพคะ”
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย หนานกงเย่จึงไม่ได้ถามอะไร แต่สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อนางอย่างชัดเจน
ตอนที่พูดคือพูดกับหนานกงเหยี่ยน แต่สายตากลับมองไปที่หนานกงเย่ และเวลานี้ดวงตาของนางก็คลอเบ้าไปด้วยน้ำตา ดูแล้วชั่งน่าสงสารเสียไม่มี
หนานกงเย่จับคอของฉีเฟยอวิ๋น นิ้วเรียวยาวออกแรงบีบ : “นิสัยไม่เคยเปลี่ยน รนหาที่ตาย!”
ฉีเฟยอวิ๋นใบหน้าแดงก่ำ ทั้งสองมือของเธอกุมมือของเขาไว้ และเริ่มตาเหลือก
“ข้า……”
หลังจากนั้นหนานกงเย่ก็โยนฉีเฟยอวิ๋นออกไปเสียงดังโครม ฉีเฟยอวิ๋นโดนโยนลงกับพื้น กระดูกของเธอแตกหักแล้ว
แขนข้างหนึ่งของเธอขยับไม่ได้
เธอพยายามลุกขึ้น แล้วเดินไปพิงด้านข้างหายใจหอบ หยิบเข็มเล่มหนึ่งออกมา ปักไปที่แขนข้างหนึ่งของเธอ เพื่อให้แขนข้างที่หักชาไร้ความรู้สึก จากนั้นก็จ้องมองไปที่หนานกงเย่ : “หนานกงเย่ เพื่อผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้ ทำได้แม้กระทั่งรังแกเมียตัวเอง สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องรู้สึกเสียใจ”
“ถึงแม้เจ้าจะตายไป ข้าก็ไม่รู้สึกผิดสักนิด”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นเจ็บจนเหงื่อท่วมหัว รู้สึกว่าครั้งนี้คงจะยากแล้ว
จวินฉูฉู่ยืนอยู่ด้านหลังมองเธอด้วยความสะใจ ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปยังทิศทางประตูใหญ่ : “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ……”
นายพลฉีที่เป็นกังวลใจอยู่แล้ว แต่เพราะเชื่อในคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น จึงได้แต่รออยู่ด้านนอก
เวลานี่เอง ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของฉีเฟยอวิ๋น จึงรอต่อไปไม่ไหวแล้ว บุกเข้าไปในพระตำหนักเฟิ่งอี๋โดยทันที เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นบาดเจ็บ จึงรีบพุ่งตรงเข้ามาหาฉีเฟยอวิ๋น : “อวิ๋นอวิ๋น”
“ท่านพ่อ พวกเขาจะฆ่าข้า”
เป็นเพราะฉีเฟยอวิ๋นปวดมาก หน้าจึงขาวซีดจนน่าตกใจ นายพลฉีได้ยินแล้ว จึงพุ่งตรงเพื่อจะไปจัดการ เวลานี้ไม่สนใจว่าใครเป็นใครแล้ว เจอใครก็จะจัดการให้หมด
จวินฉูฉู่ถูกปกป้องจากชายทั้งสอง นางยืนหลบอยู่หลังชายสองคนนั้น หนานกงเหยี่ยนและหนานกงเย่เตรียมรับมือฉีจือซานอย่างเต็มที่
“ฉีจือซาน เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว กล้าดียังไงถึงมาบังอาจมาต่อต้านข้า ข้าจะจัดการเจ้าแทนองค์จักรพรรดิ!” ท่านอ๋องตวนหนานกงเหยี่ยนพูดด้วยอารมณ์เดือดจัด
ฉีจือซานเองไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่นิด : “ข้ามิอาจเกรงกลัวท่านได้ หากท่านทำร้ายลูกสาวของข้า ตัวข้านี้จะให้ท่านชดใช้ด้วยเลือด”
“ฆ่าก็อยากจะดู ว่าเจ้าจะเอาเลือดของข้าออกมายังไง น้องสาม อย่าให้มันได้มีโอกาส”
หนานกงเย่ไม่พูดอะไร แต่กลับลงน้ำหนักมือรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งคู่สู้กันอย่างไม่ถดถอย ประลองกับฉีจือซานแน่นอนว่ากินแรงไปไม่น้อย
ฉีเฟยอวิ๋นใช้โอกาสนี้ รีบฟื้นฟูรักษาบาดแผลบนร่างกายของตัวเอง
ส่วนด้านหน้า ฉีจือซานเขาคู่ควรกับการถูกขนานนามว่าเป็นนักสู้ที่กล้าหาญและเก่งกาจ สองต่อหนึ่ง และชัยชนะก็อยู่ในมือของเขา เพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถจัดการหนานกงเย่ได้ ขณะที่ฝ่ามือกำลังพุ่งตรงไปที่หนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็รีบตะโกนขึ้นทันที : “ท่านพ่อ อย่าทำ
ร้ายเขา!”
ฉีจือซานขยับฝ่ามือเล็กน้อย ฝ่ามือพุ่งตรงไปที่กลางอกของหนานกงเหยี่ยน หนานกงเหยี่ยนกระอักเลือดออกมาแล้วล้มลงกับพื้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็กระอักเลือดอีกหนึ่งครั้ง เวลานี้เอง จวินฉูฉู่ก็ร้องตะโกนลั่น
“ท่านอ๋อง”
หนานกงเหยี่ยนยื่นมือที่สั่นเทาไปยังจวินฉูฉู่ จวินฉูฉู่จึงรีบวิ่งเข้าไปหา กุมมือหนานกงเหยี่ยนไว้แน่น
“ท่านอ๋อง อย่าทำข้าตกใจ”
“ฝ่าบาท ตามฝ่าบาทเร็ว”
“เรียกหมอหลวง ใครก็ได้ มาจับพ่อของฉีเฟยอวิ๋นที รอคำสั่งลงอาญา”
ฉีจือซานไม่ใช่ประเภทที่จะจัดการแบบนี้ได้ หนานกงเย่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “ข้าจะดูว่าจะใครบังอาจ”
และแล้วก็ไม่มีคนกล้าแม้แต่คนเดียว
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่ บนตัวของเขาเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือก แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้สึกถึงแรงพิฆาตจากเขาเลย!