ข่าวเรื่องที่นายพลฉีได้ทำการต่อสู้ไปถึงพระกรรณขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้อย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ถูกเรียกตัวไปที่พระที่นั่งบำรุงฤทัยด้วย
พระองค์ทรงทอดพระเนตรไปยังฉีจือซานที่อยู่เบื้องล่าง องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตรัสขึ้นว่า : “ข้าไม่ได้ดูเจ้าเพียงครู่เดียว ก็ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อีกเดี๋ยวองค์จักรพรรดิสูงสุดและพระมเหสีจะมาคาดโทษกับข้า แล้วเจ้าจะให้ข้ารับหน้าอย่างไร?”
“ฝ่าบาท หรือว่าโอรสขององค์จักรพรรดิสูงสุดคือโอรส แล้วลูกของกระหม่อมไม่ใช่ลูกหรือ?” นายพลฉีที่ยังโกรธแค้นไม่หาย เสียดายที่ไม่ได้ตบสั่งสอนหนานกงเหยี่ยนให้ตายคามือ
“ดูแล้วเจ้าคงถูกถือหางจนกำเริบเสิบสาน แม้แต่พระอนุชาขององค์จักรพรรดิเจ้ายังกล้าทำร้าย” หนานกงเย่โกรธจนตัวสั่นเทา
ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูทรงปลอบใจอยู่ข้างๆ : “ฝ่าบาท อาการของอ๋องตวนคงที่แล้ว เพียงแค่ต้องบำรุงรักษาต่อก็ไม่เป็นอะไรแล้วเพคะ”
“ยังดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะไปทูลพระมเหสียังไง?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทอดพระเนตรสองพ่อลูกด้วยสีพระพักตร์ไม่สบพระทัย ฉีจือซานที่นิสัยแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เองทรงรู้สึกเหนื่อยพระทัยและเอือมระอาเป็นที่สุด
เวลานี้เอง ก็มีคนเข้ามาในพระที่นั่งบำรุงฤทัย
“พระมเหสีเสด็จ”
กงกงเรียกเสียงสูง ฉีเฟยอวิ๋นบ่นซวยในใจ โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่รู้ว่าจะออกไปได้หรือเปล่า
เบื้องหน้า ทั้งชุดปักลายด้วยดอกไม้สีเหลือง สวมมงกุฎหงส์สยายปีกอยู่บนพระเศียร ด้านข้างมีสาวรับใช้อยู่สี่นาง แต่ละนางวางมาดเนี้ยบสนิท มองจากด้านล่างขึ้นไป เหมือนจะสูงกว่ากว่าพระมเหสีด้วยซ้ำ
แต่ใบหน้าสวยหมดจด รูปร่างอรชร ถึงแม้จะสวมใส่ชุดคลุมที่หละหลวม แต่ก็ดูออกชัดเจน สวยเกินบรรยายจริงๆ
“พระมเหสีเสด็จมาแล้วหรือ?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรีบลุกขึ้น ฮองเฮาที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ทรงรีบลุกขึ้นด้วยเช่นกัน พร้อมกับทอดพระเนตรไปยังพระมเหสีหวาและทรงแย้มพระสรวล : “พระมเหสี ทรงเสด็จมาแล้วหรือเพคะ?”
“หากข้าไม่มา ฝ่าบาทคงปล่อยตัวฆาตกรที่ทำร้ายลูกชายของหม่อมฉันไปน่ะสิเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันปฏิบัติกับพระองค์ไม่ดีหรือ พระองค์ถึงได้ปฏิบัติต่อเหยี่ยนเอ๋อร์เช่นนี้?”
“พระมเหสีกล่าวแบบนี้ก็ไม่ถูก เรื่องนี้ทุกคนล้วนมีความผิด ที่แล้วมานายพลฉีก็มีนิสัยอย่างนี้มาโดยตลอด เมื่อครู่นี้ข้าเองได้สั่งสอนเขาไปแล้ว เรื่องนี้มีต้นสายปลายเหตุ ถือว่าเห็นแก่ข้า พระมเหสีปล่อยนายพลฉีไปสักครั้งเถอะ” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสขึ้นพร้อมกับเสด็จลงมาจากที่ประทับ
พระมเหสีหวามีประชนมพรรษาราวสามสิบกว่าพรรษา พระพักตร์พระองค์ผุดผ่องดุจหยก สวยสง่าดุจบุปผา ปกติพระองค์แทบจะไม่ออกมาข้างนอกเลย แต่เมื่อเกิดเหตุอันตรายขึ้นกับพระโอรสของพระองค์ พระองค์เองจึงไม่สามารถเพิกเฉยได้
เมื่อทรงได้ยินองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสออกมาเช่นนี้ พระมเหสีหวาก็ทรงพระพิโรธโกรธขึ้นมาทันที : “ฝ่าบาท หรือพระองค์ทรงเห็นว่าปฐมกษัตริย์สละบัลลังก์เร็ว ทรงเห็นว่าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าและหญิงหม้ายจึงน่ารังแกอย่างงั้นหรือ เพราะไร้สิ้นกำลังและอำนาจอย่างเช่นทุกวันนี้ จึงมารังแกลูกของหม่อมฉันได้ตามอำเภอใจ หม่อมฉันจะทนมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร หม่อมฉันจะโขกหัวให้ตายไปเสียประเดี๋ยวนี้ ตายไปได้ก็ดี จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนปฐมกษัตริย์”
พูดจบพระมเหสีหวาก็พุ่งตรงไปที่เสา องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงรีบตรัสขึ้นว่า : “พระมเหสีหวาใจเย็นเสียก่อน งั้นพระมเหสีหวาลองว่ามา ว่าต้องการจัดการเรื่องนี้อย่างไร พระมเหสีหวาจึงจะหายโมโหได้?”
นายพลฉีสีหน้าไม่ดีขึ้นมาทันที มองไปยังองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ไม่ได้ทรงเข้าพระทัยเขาตั้งแต่แรก พูดไปแล้ว พระมเหสีหวาคือมเหสีที่ปฐมกษัตริย์โปรดปรานเป็นที่สุด ตำแหน่งเครือญาติทางฝั่งพระมารดาของพระมเหสีหวาไม่สามารถแตะต้องปรับเปลี่ยนหรือสั่นคลอนได้ ไม่เพียงแต่ในราชวังเท่านั้น รวมถึงนอกวังด้วย
แม้ยุครุ่งเรืองจะสงบสุขแล้ว แต่ภายใต้ความเป็นมาแบบนี้ จึงมิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!
“ฝ่าบาท……” พระสุรเสียงของพระมเหสีหวาทรงเปลี่ยนไปอย่างทันที สุขุมขึ้นมาก : “ในเมื่อทุกคนต่างล้วนมีส่วนผิด แต่เวลานี้เหยี่ยนเอ๋อร์ยังคงนอนหมดสติอยู่ บาดเจ็บเกินจะทนไหว แต่ความผิดของนายพลฉีครั้งนี้จะตัดสินโทษง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้ ข้าคิดว่าให้เขาได้ลิ้มรสชาติการนอนทรมานแบบนั้นเหมือนๆ กัน จึงจะถือว่ายุติธรรม” นายพลฉีมีความดีความชอบต่อบ้านเมือง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นนายพลใหญ่ที่ปกป้องเมืองต้าเหลียงของเรา ปกป้องประเทศของเรา ถ้าหากจะลงโทษเขาด้วยเหตุผลนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะควร หากข่าวลือถูกแพร่กระจายออกไป จะกลายเป็นเรื่องน่าตลกขบขันของเหล่าผู้คนเอาได้!”
ฮองเฮาเองก็ทรงตรัสว่า : “นายพลฉีปกติเป็นคนประมาทบ้าบิ่น ฝ่าบาทและหม่อมฉันยอมรับในข้อนี้ พระมเหสี เรื่องนี้ขอพระองค์ปล่อยผ่านเถอะนะเพคะ?”
“ปล่อยผ่านรึ?” พระมเหสีหวาเตรียมจะพุ่งชนเสา : “หม่อมฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!”
“พระมเหสีหวา ช้าก่อน……”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงหันไปทางฉีจือซาน ทรงตรัสขึ้นว่า : “เรื่องที่เจ้าสร้างมาเอง ก็จัดการเองก็แล้วกัน!”
“กระหม่อมไม่ได้ทำอะไรผิด” ฉีจือซานไม่ยอมรับผิดใดๆ ทั้งสิ้น พระมเหสีหวาทรงกริ้วและตรัสอะไรไม่ออก พร้อมกับชี้ไปที่ฉีจือซาน
ฉีจือซานจะถือว่าเก็บไว้บทเรียน พ่อของนางเป็นคนที่ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น พระมเหสีหวาก็เป็นเพียงแค่ตำแหน่งหัวโขน เอาเรื่องลูกชายเสร็จ คงต้องเอาเรื่องแม่ของลูกชายด้วย
เวลานี้ผู้คนทั้งหมดต่างพากันจ้องมองไปที่ฉีจือซานเพียงคนเดียว แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังจัดการเขาไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้จัดการ
แน่นอนว่าพระมเหสีหวาทรงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่ ทรงชี้ไปที่ฉีจือซานด้วยความกริ้ว : “ใครก็ได้ มาจับมันซะ ข้าอยากรู้เสียเหลือเกินว่ายังมีกฎหมายของราชวังอยู่ไหม ทำร้ายผู้อื่นแล้วยังหลุดรอดไปได้ คิดว่าที่แห่งนี้เป็นอะไรกัน?”
พระมเหสีหวาทรงกริ้วจนจะลงไม้ลงมือ แต่ฉีจือซานไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่นิด แต่กลับชี้ไปที่พระมเหสีมเหสีพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “พระมเหสีหวา ข้านายพลฉีเห็นแก่พระพักตร์ของปฐมกษัตริย์ เคารพพระองค์เสมอ แต่พระองค์กลับไม่แยกผิดชอบชั่วดี พระโอรสของพระองค์ทรงทำเรื่องเลวร้าย ไม่กลับไปสั่งสอน แต่กลับมาช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ วันนี้กระหม่อมจะมาตัดสินผิดถูกกับพระองค์ เชิญพระองค์ไปพูดเรื่องนี้ต่อหน้าประชาราษฎร กระหม่อมจะขอความเป็นธรรมจากประชาชน”
“ฉีจือซาน บังอาจ หากเจ้ายังเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
พระมเหสีหวากลัวฉีจือซานอย่างเห็นได้ชัด ฉีจือซานไม่เคยเกรงกลัวฟ้าดิน เขาเองเป็นถึงมืออันดับหนึ่งในกองทัพ แน่นอนว่าพระมเหสีหวาไม่กล้าให้เขาเข้าใกล้อย่างแน่นอน
เวลานี้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ได้ตรัสอะไรออกมา พระองค์ไม่ชอบพระทัยพระมเหสีหวามาตั้งแต่แรกแล้ว
วันนี้ที่ทรงเจอเรื่องแบบนี้เข้า ก็ถือว่าพระมเหสีซวยก็แล้วกัน
ฉีเฟยอวิ๋นแอบหัวเราะเบาๆ หาเรื่องผิดคนแล้ว น่าขำสิ้นดี
“เหลวไหล! ไปเอามาจากไหน?”
ฉีจือซานพูดขึ้นว่า : “พระมเหสีหวา ท่านเป็นถึงพระมเหสี กระหม่อมเองเป็นเพียงพลทหาร หากจะพูดถึงยศตำแหน่ง กระหม่อมอาจเทียบเทียมมิได้ พระองค์เป็นพระมารดาของท่านอ๋องตวน กระหม่อมเป็นบิดาของอวิ๋นอวิ๋น ท่านอ๋องตวนก็คือท่านอ๋องตวนมิผิด แล้วอวิ๋นอวิ๋นของกระหม่อมมิใช่พระชายาเย่หรอกหรือ?
ท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่มีเรื่องขัดแย้งกัน กระหม่อมมิเคยยื่นมือเข้าไปก้าวก่าย แล้วทำไมท่านอ๋องตวนถึงยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย? กระหม่อมได้ทำร้ายท่านอ๋องตวนจริง นั่นเป็นเพราะท่านอ๋องตวนทำร้ายอวิ๋นอวิ๋นของกระหม่อม! กระหม่อมนายพลฉี มีแส้มังกรที่ปฐมกษัตริย์ทรงประทานให้ อย่าว่าแต่ท่านอ๋องตวนเลย แม้แต่พระมเหสีหวากระหม่อมก็ตีได้”
ฉีจือซานกำหมัดขึ้นตั้งกระบวนท่า
ฉีเฟยอวิ๋นอึ้งตาค้าง ท่านพ่อดูปกติเป็นคนสุกเอาเผากิน แต่ตอนนี้กลับดูไม่เป็นแบบนั้นเลย
พูดหลักการได้ยอดเยี่ยม!
แต่ท่านพ่อเข้าใจอะไรผิดไปหน่อย คนที่ทำร้ายข้าก็คือหนานกงเย่ผู้ชายสาระเลวคนนั้นต่างหาก!
โชคไม่เข้าข้างเพราะไม่มีหลักฐาน ความผิดก็ตกอยู่กับหนานกงเหยี่ยนแล้วกัน ใครใช้ให้เขามีเมียตอแหลล่ะ
พระมเหสีหวาทรงกริ้วจนสีพระพักตร์ซีดขาว : “ฉีจือซาน……เจ้า……ดี เจ้ากล้ารังแกข้า ฝ่าบาท……พระองค์จะดูเขารังแกหม่อมฉันแบบนี้หรือเพคะ?”
พระมเหสีหวาน้ำพระเนตรไหลหลั่ง ฮองเฮาทอดพระเนตรองค์จักรพรรดิด้วยความระมัดระวัง องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงตรัสขึ้นว่า : “ฉีจือซาน ยังไม่รีบขอประทานอภัยพระมเหสีหวาอีกหรือ?”
“กระหม่อมไม่ผิด เหตุใดถึงต้องขอประทานอภัยด้วย ยอมให้ท่านอ๋องตวนทำร้ายอวิ๋นอวิ๋น แต่ไม่ยอมให้กระหม่อมทำลายท่านอ๋องตวนหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ฉีจือซานจ้องตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ
“นี่……” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้แสร้งตรัสอะไรไม่ออก พระมเหสีหวาทรงพระพิโรธจนพระวรกายสั่นเทา : “ดี ดี……พวกเจ้ารอไว้เถอะ ข้าจะไม่ยอมจบเรื่องไว้เพียงแค่นี้แน่”
พระมเหสีหวาทรงกริ้วจนดวงพระเนตรเบิกกว้าง แล้วทรงออกไปด้านนอกทันที