ทังเหอรีบเดินมาข้างหน้าในทันที:“ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องอยากจะถามพระองค์พ่ะย่ะค่ะ?”
หนานกงเย่หันไปมอง ร่างกายของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดและน่ากลัวมาก
“พูดมาเถอะ” ในเวลานี้หนานกงเย่สงบลง ราวกับว่าบาดแผลบนร่างกายของเขาไม่เจ็บไม่คัน
“พระชายาตรวจโรคให้ฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์ เป็นคำแนะนำของท่านอ๋องใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ทังเหอต้องการรู้ความจริง เขาถึงจะสามารถวางแผนได้
“ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย” สายตาของหนานกงเย่ดูมืดมน หญิงคนนั้นสุดจะบรรยายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนางยังกล้าจ่ายยาให้ฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์อีก นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร
“ในเมื่อไม่ใช่คำแนะนำของท่านอ๋อง อย่างนั้นท่านอ๋องก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป อยู่รักษาบาดแผลให้หาย ความบาดหมางระหว่างท่านอ๋องกับพระชายาก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องที่รู้กันดี และการดำรงชีวิตของพระชายากับท่านอ๋องก็ยังเข้ากันไม่ได้อีก ครั้งนี้เพียงแค่ท่านอ๋องไม่ยอมรับ คิดเสียว่าไม่มีนางและไม่สนใจว่านางจะเป็นหรือตาย”
ทังเหอยังไม่รู้เรื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาของหนานกงเย่ แต่พ่อบ้านคอยเฝ้าท่านอ๋องด้วยความเป็นกังวล
ถ้าไม่มีพระชายา ท่านอ๋องคงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้ หากตัดสินใจเช่นนี้จะเป็นการไร้ความปรานีมากเกินไปต่อพระชายา
แต่เพื่อท่านอ๋องแล้วจะทำอะไรได้!
“ถ้าถูกสงสัยจริง ๆ ต่อให้ข้าจะไม่สนใจว่านางจะเป็นหรือตาย ข้าก็ต้องตำหนิด้วย ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของจวนอ๋องเย่”
หนานกงเย่มองไปที่ประตู:“ไปนานแค่ไหนแล้ว?”
“สามชั่วยามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านรีบตอบกลับ
หนานกงเย่เดินไปที่ประตู:“เตรียมรถม้า ข้าจะเข้าไปในวัง”
“ท่านอ๋อง ท่านอย่าว่าแต่จะเข้าไปในวังเลย แม้แต่ออกไปยังยากเลยพ่ะย่ะค่ะ?” ทังเหอขวางไว้ แล้วบอกใบ้ให้อาอวี่ปิดประตูในทันที
“บังอาจ ข้าอยากจะทำอะไร พวกเจ้ากล้าขวางข้าหรือ?” สีหน้าของหนานกงเย่ดูแน่วแน่
ทังเหอถอยกลับไปในทันที และไม่กล้าขวางเขาอีก
“อาอวี่ เตรียมรถม้า ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“……” อาอวี่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำตาม
รถม้าในจวนอ๋องเย่เตรียมพร้อมแล้ว หนานกงเย่ขึ้นรถอย่างไม่เต็มใจ และทังเหอก็ทำได้เพียงไปเป็นเพื่อนด้วย
ระหว่างทางหนานกงเย่หยิบยาตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ใส่เข้าไปในปากและดื่มน้ำเล็กน้อย:“อีกไกลแค่ไหน?”
“ใกล้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่ตอบอยู่ข้างนอก หนานกงเปิดม่านออกไปมองข้างนอก ปกติจะไปถึงที่นั่นได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ในตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดใจและรู้สึกว่ามันไกลมาก
หนานกงเย่ปิดม่านลงแล้วหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมาถึงประตูวังแล้ว เขาจึงลืมตาขึ้น
ทังเหอลงจากรถม้าและเดินไปถามเรื่องการเข้าไปในวังที่ประตูวัง ทหารรักษาพระองค์ที่ประตูส่ายหัว:“พระพันปีมีรับส่งว่าห้ามไม่มีใครเข้าไปข้างใน”
เมื่อทังเหอกลับมา หนานกงเย่ก็ได้ยินโดยที่ไม่ต้องถามอะไรเลย
หนานกงเย่หรี่ตาลง:“ไปเชิญพระเจ้าน้าหวังมา”
พระพันปีองค์ปัจจุบันมีน้องชายที่อายุยังน้อยมากคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้เกิดมาจากพระมารดาเดียวกัน แต่ก็เป็นพระสวามีของน้องสาวคนเล็กของแม่ฮองเฮาหวัง
น้องชายคนนี้เป็นที่รักและโปรดปรานมาตั้งแต่เกิด และเขายังเป็นหนึ่งในน้องชายคนโปรดของพระพันปีอีกด้วย
จะเข้าออกจากวังก็ไม่เคยถูกแทรกแซง อยากมาก็มาอยากไปก็ไป
แน่นอนว่าทังเหอรู้ดี และรีบส่งคนไปเชิญพระเจ้าน้าหวังในทันที แต่คนไม่ได้มาด้วย
คนใช้นำตราสัญลักษณ์ในการเข้าวังมามอบให้หนานกงเย่:“พระเจ้าน้าไม่ได้อยู่บ้าน ออกไปอธิษฐานขอพร ฮูหยินทรงเป็นกังวลว่าท่านอ๋องจะมีเรื่องสำคัญ จึงให้ข้านำตราสัญลักษณ์มาให้”
นานกงเย่หยิบตราสัญลักษณ์มาดู และรู้ว่าพระเจ้าน้าหวังไม่ต้องการออกหน้า ไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงกล่าวว่า:“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะบอกว่าไปแย่งชิงมา กลับไปบอกพระเจ้าน้าเถอะ”
“ข้ารับทราบ”
หลังจากผู้ที่มาขึ้นรถม้าจากไป หนานกงเย่ก็ออกจากรถม้า
หลังลงจากรถแล้ว ทังเหอและอาอวี่ก็เอาตราสัญลักษณ์ออกมาใช้การ ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูถอยออกไปในทันที แต่ไม่ยอมให้ทังเหอและอาอวี่เข้าไปด้วย
“พวกท่านเข้าไปไม่ได้” ทหารรักษาพระองค์ก็ทำตามหน้าที่เช่นกัน
หนานกงเย่หันกลับมามองทั้งสองคน:“รออยู่ที่นี่เถอะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็หันหลังเดินไปยังพระที่นั่งบำรุงฤทัย เป็นเพราะเกิดเรื่องขึ้นกับองค์จักรพรรดิ พระองค์จึงจำเป็นต้องประทับอยู่ที่นั่น
อันที่จริงถนนสายนี้อยู่ไม่ไกล โดยปกติจะไม่รู้สึกว่าไกล แต่วันนี้หนานกงเย่เดินมาครึ่งชั่วยามแล้วเพิ่งจะถึงประตูทางเข้าพระที่นั่งบำรุงฤทัย
เมื่อขันทีที่ประตูจำอยู่ที่ทางเข้าเห็นหนานกงเก่เข้าไปก็คุกเข่าลงในทันที:“ท่านอ๋องเย่”
“ใครอยู่ข้างใน?”
เสียงของหนานกงเย่ทุ้มต่ำ ในเวลานี้ศีรษะของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า และในขณะนี้ร่างกายของเขาก็สั่นคลอน
ขันทีรู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็รีบตอบด้วยเสียงต่ำว่า:“พระพันปีทรงประทับอยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ”
“พระชายาเย่ล่ะ?”
“พระนางอยู่ในห้องโถงข้าง ๆ หมดสติจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น” ขันทีไม่กล้าที่จะลังเล
“หมดสติ?”
แววตาของหนานกงเย่หรี่ลงเล็กน้อยและกล่าวว่า:“ไปกราบทูลเสด็จแม่ว่าข้ามาขอเข้าเฝ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีลุกขึ้นวิ่งไปด้วยความตื่นตระหนก เสื้อผ้าของอ๋องเย่เปื้อนเลือดจนทำให้ขันทีตกใจกลัว
ไม่นานขันทีก็วิ่งออกไป
“ท่านอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่รีบเดินเข้าไป เขาเดินขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วจนเกือบจะลื่นล้ม ขันทีรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วช่วยพยุงไว้ แต่หนานกงเย่ก็ผลักออก:“หลีกไป”
ขันทีไม่กล้าช่วยพยุง หนานกงเย่ลากร่างของตัวเองไปข้างหน้าทีละก้าว กว่าจะเดินไปถึงพระที่นั่งบำรุงฤทัยก็เที่ยงวันแล้ว เมื่อเข้าไปในประตูวัง ขันทีและนางกำนัลก็คุกเข่าลงด้วยความตกใจ
ในวันปกติธรรมดาองค์จักรพรรดิจะทรงใส่พระทัยมากที่สุด อ๋องเย่ผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดเป็นเช่นนี้ ทำให้พวกเขาต่างหวาดกลัว
พระพันปีค่อย ๆ มองไปที่คนที่เดินเข้ามาและรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง
ฮองเอาตกใจมากจนหน้าซีด แต่เขาไม่สนใจอย่างอื่น และรีบเดินลงมาจากข้างบนอย่างรวดเร็ว:“เสด็จอา พระองค์ทรงเป็นอะไร?”
หนานกงเย่หันไปมองพระพันปีและคุกเข่า:“ลูกถวายบังคมเสด็จแม่”
เสียงคุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ ฮองเฮาตกใจและอุทานว่า:“หมอหลวง หมอหลวง……”
หมอหลวงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว พระพันปีรีบเดินลงมาจากข้างบนและมองดูบุตรชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า:“เจ้ากำลังจะทำอะไร?เจ้าเป็นอะไร?”
หนานกงเย่ชีพจรอ่อนแอมาก:“ลูกก็แค่ไม่รู้ว่าทำไมลูกถึงเข้ามาในวังไม่ได้ และต้องไปเอาตราสัญลักษณ์ที่เอวของท่านน้ามา จึงจะสามารถเข้ามาได้?”
หลังจากที่คำพูดสุดท้ายจบลง หนานกงเย่ก็ล้มลงไปที่พื้น
“หมอหลวง หมอหลวง……” พระพันปีรีบเรียกหมอหลวงมาดูอาการ หมอหลวงมือสั่น:“พระพันปีได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย พระพันปีได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย……”
หมอหลวงคุกเข่าแล้วเอามือยันบนพื้น โน้มศีรษะลงติดพื้นแล้วเหลือบมองไปที่หนานกงเย่
พระพันปีอยู่ในวังมากว่าสี่สิบปี พระนางทรงประสบกับความเปลี่ยนแปลงมานับไม่ถ้วน สถานการณ์นี้ทำให้อดไม่ได้ที่ถอยพระวรกายไปอย่างสั่นคลอน นัยน์ตาสลัว ๆ:“เย่เอ๋อร์……เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจสิ
ฉีเฟยอวิ๋นบังเอิญมาตรวจดูอาการ ตามความคาดการณ์ของนาง อีกไม่นานองค์จักรพรรดิก็จะทรงฟื้นขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะไม่ดีถ้ารอให้ฟื้นแล้วค่อยคุกเข่า ไม่สู้ทำเร็วหน่อยจะดีกว่า หลังจากที่คุกเข่าลงพอดิบพอดี องค์จักรพรรดิก็ทรงฟื้นขึ้นมา เช่นนี้แล้วนางก็จะได้ไม่ต้องคุกเข่านานเกินไป
แต่เมื่อมาถึงนอกพระที่นั่งบำรุงฤทัย ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นกลุ่มคนที่อยู่บนพื้นและพระพันปีก็ยืนอยู่ตรงนั่นด้วยท่าทางที่แข็งทื่อและโศกเศร้า
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ และฮองเฮาก็ตะโกนเรียกออกมา:“เสด็จอา เสด็จอา……”
เมื่อได้ยินคำว่าเสด็จอา ฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกลี้ลุกลน และอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไป เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว นางก็เห็นหนานกงเย่ล้มหงายหลังอยู่ที่พื้น และร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยคราบเลือด
“หนานกงเย่……หนานกงเย่……”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วยื่นมือไปอังที่จมูกของเขา จากนั้นนางก็ปลดเสื้อผ้าของหนานกงเย่ออกในทันที บาดแผลของเขาถูกเปิดออกและมีเลือดไหลออกมา