ราชครูจวินมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวว่า:“เรื่องของตระกูล ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะเข้ามายุ่ง ให้เจ้าทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น”
“เจ้าค่ะ ลูกสำนึกผิดแล้ว”
“ลุกขึ้นเถอะ”
จวินฉูฉู่ลุกขึ้นยืน ศีรษะของนางแตก แต่ราชครูจวินก็เมินเฉยและกล่าวว่า:“ตระกูลเฉินไม่ปรองดองกับพวกเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีเฉินอวิ๋นชูอยู่ ตระกูลจวินก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ติดอยู่ที่ยังไม่มีโอกาส ครั้งนี้พระพันปีทรงขุ่นเคือง ยากที่จะมีโอกาสเช่นนี้ จะต้องพยายามให้ถึงที่สุด เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลจวิน เจ้าจึงต้องรอโอกาสที่เหนือกว่าคนอื่น”
“ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณในความกรุณาของท่านพ่อ”
“อืม ออกไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ในใจของจวินฉูฉู่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่ก็จำใจต้องออกไปจากห้องหนังสือ
หลังจากออกไปแล้ว นางก็ไปหาจวินเซียวเซียว และเมื่อมาถึงหน้าประตู นางก็เห็นน้องสาวทีกำลังเฝ้าดูต้นเหมยอยู่ข้างใน
จวินเซียวเซียวรูปโฉมงดงาม นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนในตระกูลจวินยอมรับ และได้รับการปกป้องอย่างดีมาตั้งแต่ยังเด็ก แม้แต่นางก็ยังอดอิจฉาไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตระกูลจวินมีความตั้งใจที่จำยกนางให้พระเจ้าน้า แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้
จวินฉูฉู่รู้สึกไม่สบายใจ และเมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านพ่อของนางพูดเมื่อครู่ นางก็อดไม่ได้ที่จะโกรธแค้น นางคิดว่าหากจวินเซียวเซียวไม่ใช่หญิงสาวที่ต้องออกเรือน และมีตระกูลจวินคอยจัดการ ก็คงจะไม่มีชื่อเสียงมากเช่นนี้
เหตุใดในตอนนั้นนางถึงไม่ใช่?
ฝ่าบาทกับท่านอ๋องตวน ค่อนข้างต่างกัน จะเทียบกันได้อย่างไร?
จวินฉูฉู่กำลังจะจากไป แต่จวินเซียวเซียวเห็นจวินฉูฉู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ จวินเซียวเซียวรีบเดินไปหานางด้วยรอยยิ้ม เมื่อไปถึงตรงหน้าแล้วก็ถอนสายบัว:“ท่านพี่สบายดีนะเจ้าคะ”
“เจ้าก็สบายดีนะ”
จวินฉูฉู่เดินตามเข้ามา แล้วกวาดสายตามองอย่างเฉยเมย จากนั้นก็กล่าวว่า:“เจ้าช่างมีฝีมือที่ละเอียดและงดงามนัก”
“ห้องของท่านพี่น่าจะดีกว่า ข้าชอบมาก แต่น่าเสียดายที่ในบ้านมีกฎ ข้าจึงไปที่นั่นไม่ได้ เช่นนั้น……หากท่านพี่ไม่อยู่ ข้าจะไปอยู่นะเจ้าคะ”
ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นการทิ่มแทงจวินฉูฉู่
จวินฉูฉู่ใจกว้างในกับเรื่องเหล่านี้ แต่เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้กลับไม่สามารถผ่านมันไปได้
“ที่ห้องของข้ามีอะไรดีกัน เทียบกับห้องของเจ้าไม่ได้เลย ข้าต่างหากที่ต้องอิจฉาเจ้า ท่านพ่อดูแลเจ้าเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก”
จวินเซียวเซียวไม่ใช่คนโง่ หัวสมองของนางเต็มไปด้วยแผนการ และเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถเป็นเลิศ นางมีอาจารย์ถึงเจ็ดแปดคน และแต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ
แม้ว่าจวินฉูฉู่จะไม่น้อยหน้า แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางก็วางแผนได้อย่างยอดเยี่ยม แต่นางก็ละเลยหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นจวินเซียวเซียวที่ใส่ใจในการเรียนจนในตอนนี้มีความสามารถที่ยอดเยี่ยม
แน่นอนว่าเป็นผู้หญิงที่ฉลาดกว่าคนทั่วไป
ในวันนี้นางได้รู้ถึงความประหลาดใจของจวินฉูฉู่ นางจึงยิ้มและกล่าวอย่างนิ่งสงบว่า:“เช่นนั้นหากท่านพี่ชอบข้าก็จะให้ท่านพี่”
จวินฉูฉู่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องกันและกล่าวว่า:“น้องสาว หากข้าชอบ เจ้ายินดีที่จะให้ข้าหรือไม่?”
“แน่นอน เพียงแค่ท่านพี่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าหรือว่าสมบัติบนดิน ข้าก็ยกมันให้ท่านพี่ได้”
“แล้วคนเล่า?ตำแหน่งล่ะ?” ในเวลาจวินฉูฉู่อดใจไม่ได้แล้ว นางสติเลอะเลือนจนถามออกมาเช่นนั้น จวินเซียวเซียวตอบกลับในทันที
“นั่นก็เช่นกันเจ้าค่ะ ท่านพี่อยากได้อะไร ข้าจะต้องให้อยางแน่นอน”
จวินฉูฉู่หวั่นไหว นางยิ้มและกุมมือของจวินเซียวเซียว:“เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็พอใจมากแล้ว”
สองพี่น้องพูดคุยกันอยู่สักพัก และจวินฉูฉู่ก็อ้างว่าอ๋องตวนรออยู่ที่จวน จึงจำต้องจากไปก่อน
เมื่อจากไปแล้วจวินฉูฉู่ก็หัวเราะเยาะในใจ ถึงอย่างไรเจ้ากับข้าก็เป็นศัตรูกัน เมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่ตำแหน่งที่เจริญก้าวหน้า มันจะเป็นอุปสรรคต่อทางเดินของข้า แล้วเราจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้อย่างไร
เมื่อมองจวินฉูฉู่ที่จากไปแล้ว จวินเซียวเซียวก็ถอนหายใจ แล้วหันกลับไปมองต้นเหมยเหล่านั้น และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า:“แต่เดิมเป็นหยดน้ำในมหาสมุทร เหตุใดยังต้องไปยุ่งกับคลื่นใหญ่ ไม่รู้จักประมาณตน?ท่ามกลางกระแสน้ำ เหตุใดจึงไม่สงบเสงี่ยมสักหน่อย พี่น้องร่วมมือกัน จึงจะก้าวไปสู้ความเจริญก้าวหน้า
ในห้องไม่มีใครอยู่เลย จวินเซียวเซียวเด็ดดอกเหมย แล้วใช้ปลายขยี้จนเป็นสีแดงเล็กน้อย จากนั้นก็ทาเบา ๆ ที่ริมฝีปากและยิ้มอย่างอ่อนโยน:“ยังขาดกลิ่นคาวเลือดอยู่เลย!”
ระหว่างทางจวินฉูฉู่เริ่มปวดหัว และไม่ว่าจะนวดอย่างไรก็ยังปวด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคนข้างนอกกล่าวถึงเรื่องการคัดเลือกนางสนมของฝ่าบาทก็ยิ่งปวดมากขึ้นไปอีก
เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋องตวนก็เห็นอ๋องตวนยืนอยู่ในห้อง
เดิมทีอ๋องตวนไม่ได้เป็นอะไร บาดเจ็บเล็กน้อยเพียงแค่ฟื้นฟูก็หายแล้ว เหตุผลที่กล่าวกันว่ากระดูกหักนั้น ก็เพื่อที่จะให้ฝ่าบาทพิจารณาลงโทษแม่ทัพฉี
“ท่านอ๋อง”
จวินฉูฉู่กลับมาจากข้างนอก และรีบถอนสายบัว หนานกงเหยี่ยนรีบเข้าไปพยุงจวินฉูฉู่ขึ้นมา และจับมือของนางไว้:“หนาวหรือไม่?”
“ไม่เพคะ ท่านอ๋องออกมาทำไมเพคะ ร่างกายของท่านยังไม่ค่อยดี ไม่สามารถเดินไปทั่วได้” นางเอาเสื้อคลุมไหล่ให้หนานกงเหยี่ยนอย่างโกรธเคือง
หนานกงเหยี่ยนถอนหายใจ:“ข้าอ่านเขียนได้ตั้งแต่ยังเด็ก และนำทหารไปสู้รบ นับตั้งแต่แต่งงานเขาก็มีเพียงเจ้า ข้าชอบที่ทุกวันตื่นมาแล้วเห็นเจ้า เแต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป มันน่าเบื่อมาก”
“ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ ไม่กลัวว่าคนจะหัวเราะเยาะหรือเพคะ” จวินฉูฉู่จับมือหนานกงเหยี่ยนและถอนหายใจในใจ ชายคนหนึ่งในใจคิดแต่จะอยู่กับผู้หญิงคนหนี่งไปทุกเช้าค่ำ ต่อไปจะมีความก้าวหน้าได้อย่างไร
“เจ้าเป็นอะไรไป?” หนานกงเหยี่ยนถาม จวินฉูฉู่ส่ายหน้า:“เป็นอะไรที่ไหนกันเพคะ ฝ่าบาทเลือกให้เซียวเซียวเข้ามาในวัง นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ข้าเพียงแค่ไม่รู้ว่าควรจะนับฝ่าบาทเป็นพี่ชายหรือน้องเขยดี”
“นี่มีอะไรกัน เขาเป็นฝ่าบาท ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะเปรียบเทียบได้” อ๋องตวนพาจวินฉูฉู่เข้าไปข้างในด้วยความรักใครสนิทสนม สีหน้าของจวินฉูฉู่ดูคร่ำครวญ ในตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้นึกถึงตำแหน่งของตัวเองในวันข้างหน้าเลย
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากจวนท่านแม่ทัพและมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ นางต้องการไปหางูตัวเล็ก ๆ งูชนิดนี้มีพิษร้ายแรง แต่พิษงูสามารถสกัดออกมาใช้รักษาโรคชีวิตผู้คนได้ ดังนั้นนางจึงเสี่ยงอันตรายไปหา แม่ทัพฉีอาจจะไม่เป็นกังวลมากนัก ฉีเฟยอวิ๋นตัดสินใจที่จะปิดบังเรื่องที่นางจะไปหางู นางเพียงแค่บอกว่าจะไปหาสมุนไพรที่เนินเขาสิบลี้
แม่ทัพฉีคยได้ยินเรื่องที่บุตรสาวไปหาสมุนไพรมาบ้างแล้ว จึงวางใจเมื่อฉีเฟยอวิ๋นออกไปนอกเมือง
หลังจากที่ออกจากเมืองแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปทางทิศใต้ และไม่มีเรื่องให้ล่าช้าระหว่างทาง ไม่นานนางก็มาถึงทุ่งหญ้าทางทิศใต้ ในเวลานี้หางูได้ไม่ง่ายนัก ภายใต้หิมะที่ตกหนัก พวกมันล้วนจำศีลกันหมด ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมพลั่วออกมาอย่างดี
ตามรอยงูและสังเกตภูมิประเทศ ไม่นานฉีเฟยอวิ๋นก็ระบุตำแหน่งได้
นางปักพลั่วลงไปแล้วเริ่มขุดดิน
นางขุดลงไปกว่าหนึ่งเมตร และพบงูที่กำลังจำศีลอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นสวมถุงมือแล้วหยิบมันขึ้นมาใส่ในถุงผ้าที่เตรียมไว้ และค้นหาที่อื่นต่อไป
หาได้สามตัวก็เพียงพอแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นโยนพลั่วในมือและกลับไป
เส้นทางบนภูเขานั้นเดินลำบากและหญ้าก็รก เมื่อเดินออกมาจากทุ่งหญ้าได้ ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไม่ไหวแล้ว อากาศหนาวจนพื้นดินจับตัวเป็นน้ำแข็ง หากยังอยู่ที่นี่คงจะแข็งตาย และในตอนนี้ร่างกายของนางก็ไม่ทนต่อสภาพความเป็นอยู่ในป่า
นางจึงมองดูว่ามีใครผ่านมาบ้างหรือไม่ และบังเอิญเห็นรถม้าวิ่งมาแต่ไกล และมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง นางไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงต้องการให้อีกฝ่ายแวะรับนางไปด้วย นางจึงเดินไปที่รถม้า แต่เมื่อเห็คนที่ขับรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นก็ด่าในใจ โลกกลมจริง ๆไม่ง่ายเลยที่จะพบรถม้าสักคนที่มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหนานกงเย่
อาอวี่ก็ประหลาดใจเช่นกัน:“พระชายา”
ก่อนที่ฉีเฟยอวิ๋นสวมเสื้อผ้าผู้ชายแล้วไปที่จวนอ๋องเย่ อาอวี่เห็นแวบแรกก็จำได้ว่าเป็นฉีเฟยอวิ๋น ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม แต่ยังเห็นได้อย่างชัดเจน