เมื่อม่านในรถม้าเปิดออก หนานกงเย่ก็ประหลาดใจเช่นกัน ในขณะที่มอง ดวงตาที่เย็นชาของเขาก็แสดงความไม่พอใจออกมา:“เจ้าไม่ละอายบ้างหรือ ไกลเช่นนี้ก็ยังตามา?”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก ใครอยากจะตามท่าน ประสาท?
หลังจากมองอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง เพื่อที่จะทนทุกข์น้อยลง ฉีเฟยอวิ๋นจึงเป็นฝ่ายกล่าวว่า:“หม่อมฉันเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านอ๋องเพคะ จึงตามออกมา แต่หลงทางอยู่ที่นี่”
“ฮึ!” หนานกงเย่สะบัดผ้าม่านในมือแล้วนั่งลง ฉีเฟยอวิ๋นไม่รอให้หนานกงเย่พูดอะไร และรีบขึ้นไปนั่งลงบนรถม้าข้าง ๆ อาอวี่
นั่งข้างนอกดีกว่าถูกโยนออกไป สามารถกลับไปได้โดยที่ไม่ต้องเดิน ฉีเฟยอวิ๋นก็พอใจมากแล้ว
รถม้ายังคงเดินต่อไป อาอวี่รู้สึกอึดอัดใจ
“พระชายา พระองค์เสด็จเข้าไปข้างในเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ข้างนอกอากาศดี” ดีบ้าบออะไร หนาวจะตายอยู่แล้ว!
นางไม่อยากเข้าไป เข้าไปก็คงถูกโยนออกมา ไม่เข้าไปดีกว่า
สักพักเสียงของหนานกงเย่ก็ดังออกมาจากรถม้า:“เข้ามาสิ!”
หากฉีเฟยอวิ๋นมีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงจะไม่เข้าไป แต่เมื่อคิดถึงความหนาวเหน็บข้างนอก นางก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในทันที
ในรถม้ามีไข่มุกงดงามระยิบระยับ ฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงดูดโดยไข่มุกราตรีขนาดเท่าไข่ไก่ที่อยู่บนโต๊ะ หากใส่มันลงไปในยาคงจะดีมาก
“ไม่ว่าอย่างไรก็ออกมาจากจวนท่านแม่ทัพ แต่ยังคงไม่มีความก้าวหน้ามากนัก” ตอนที่หนานกงเย่พูด ฉีเฟยอวิ๋นก็ประหลาดใจ สมกับที่เป็นพี่น้องกัน แม้แต่พูดก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน
ฉีเฟยอวิ๋นเมินเฉยต่อการถากถางของหนานกงเย่ นางสังเกตว่ารถม้าของคนอื่นเต็มไปด้วยตะเกียงน้ำมันและเทียนไข แต่รถม้าของชายผู้นี้คือไข่มุกราตรี แล้วมันยังใหญ่เท่าไข่ไก่ แท้จริงแล้วเขาร่ำรวยมากขนาดไหน เป็นเพียงแค่ท่านอ๋อง โดยปกติแล้วก็ไม่ได้มีรายได้อะไร
ในตอนนี้เมืองต้าเหลียงอยู่ในความสงบ และไม่เห็นว่าเขานำทหารไปสู้รบ แม้แต่รางวัลก็มีจำกัด
ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้เขากลายเป็นเป้าที่ผู้คนต่างเข้าโจมตี แต่เขายังคงเอนกายเพื่อเก็บแรงอยู่บนรถม้าสบายอกสบายใจ และใช้ไข่มุกราตรีในการอ่านหนังสือ
ว่ากันว่าไข่มุกราตรีจะส่องแสงสว่างในเวลากลางคืน ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น และไม่คิดว่ามาที่นี่แล้วจะโชคดีได้เห็นเองกับตา นับว่าเป็นผลกำไรที่ไม่ได้คาดคิดไว้เลย
เมื่อมองไปในรถม้าก็ถือว่าค่อนข้างกว้างขวาง ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปนั่งลงตรงข้ามกับหนานกงเย่ และจ้องมองไปที่ไข่มุกราตรีอย่างเหม่อลอย
“ทำไมข้าถึงทนเห็นท่าทางที่โลภเช่นนี้ของเจ้าไม่ได้?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไร นางทนไม่ได้กับคนที่อยู่ตรงข้าม เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า:“ท่านอ๋อง ท่านเอาไข่มุกมาจากไหนหรือ?”
หนานกงเย่หุบจมูกด้วยความโกรธ เมื่อครู่พูดไปตั้งมากมาย ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ฟังเลย
และมองดูอย่างระมัดระวัง วันนี้นางสวมชุดบุรุษสีดำอีกครั้ง เพียงแค่ผ้าโพกหัวและท่าทางที่แข็งแกร่ง หากไม่ดูอายุก็คงจะดูไม่ออกว่านางเป็นผู้หญิง
หนานกงเย่เล่นหนังสือที่อยู่ในมือ และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า:“ข้ามีสมบัติมากมาย ข้าจะจำได้อย่างไร?”
“ในเมื่อมากมายเช่นนั้น ไข่มุกนี่ก็ต้องเยอะมาก” ฉีเฟยอวิ๋นยกไข่มุกราตรีขึ้นด้วยความสนใจ แววตาของนางเป็นประกาย
หนานกงเย่ขบขัน:“เจ้ากล้าแตะต้องไข่มุกของข้า ข้าจะตัดมือของเจ้า”
“ไม่ให้ก็ช่าง เก็บไว้ให้คนอื่นเถอะ”
“เจ้าบอกว่าเอาไปให้คนอื่นงั้นหรือ?” มีอะไรบางอย่างในคำพูดของผู้หญิงคนนี้ แต่เขาฟังไม่เข้าใจ?
ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าจะถูกโยนออกไปจากรถม้า นางจึงกล่าวว่า:“ข้าก็แค่พูดจาส่งเดช ท่านอ๋องไม่ต้องจริงจังหรอกเพคะ”
หนานกงเย่กล่าวอย่างเย็นชา:“ของของข้า ข้าอยากจะทำอะไรก็ได้”
“เพคะ”
“ข้าเห็นเจ้าแล้วก็อยากจะโยนออกไป”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไร แต่ถ้าจะถูกโยนออกไป นางจะปล่อยให้งูกัดเขาให้ตาย ไม่สำนึกบุญคุณ นางไม่ควรช่วยเลย
ในรถม้าสงบลง ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มสัปหงก และไม่นานก็เผลอหลับไป
ทันใดนั้นหนานกงเย่ก็รู้สึกหนักเท้า เขาเงยหน้าขึ้นมอง คนที่พิงอยู่ในรถม้าค่อย ๆ หล่นลงมา โชคดีที่มีหมอนอยู่ที่ขาของเขา หากไม่มีหมอนอยู่ที่ขาของเขา นางก็คงจะลงไปอยู่ที่เท้าของเขา
ฉีเฟยอวิ๋นตัวเล็กและนอนราบเหมือนกับเด็ก ๆ นางใส่ชุดดำแล้วดูงดงาม แต่ใบหน้าของใบหน้าภายใต้แสงสว่างของไข่มุกนั้นสะอาดหมดจด
อุ้งมือที่สกปรกจับใบหน้าของนาง
หนานกงเย่ยิ้มเยาะ เขายกเท้าขึ้นและอยากจะเตะออกไป แต่เมื่อเท้าตกลงไปก็ถูกฉีเฟยอวิ๋นกอดไว้
เมื่ออยากจะขยับอีกครั้ง มือของฉีเฟยอวิ๋นก็กอดเท้าของเขาไว้ที่หน้าอก ใต้ฝ่าเท้าของเขานุ่มนิ่ม แม้ว่าเขาอยากจะขยับ แต่ก็ไม่สามารถขยับได้ เขาจึงละทิ้งความตั้งใจที่จะขยับอีก
รถม้าโยกไปมา หนานกงเย่ได้สติกลับไปและมองไปที่หน้าหนังสือ
แต่ไม่ว่าจะสักแค่ไหน เขาก็มีสมาธิเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถม้าโยกไปมา ฉีเฟยอวิ๋นก็จะเอาเท้าไปถูกับหน้าอก ความรู้สึกสบายเช่นนั้น ทำให้ร่างกายของเขาชาไปทั้งตัว แม้ว่าหนานกงเย่จะควบคุมตนเองได้ดี แต่เมื่อคิดว่าความนุ่มนวลตรงนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้หญิงไม่สามารถแสดงต่อหน้าผู้คนได้ เขาก็ไม่สามารถมีสมาธิได้
หนานกงเย่อยากเอาเท้ากลับมา แต่ก็ไม่สามารถขยับ อยากจะเตะออกไป แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำไม่ได้
เขาโยนหนังสือทิ้งอย่างไม่พอใจ แล้วนอนลงในรถม้า เขาหรี่ตาลงและอยากจะหลับสักครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นอาอวี่ที่อยู่บนรถม้าข้างนอกก็พูดขึ้นว่า:“ท่านอ๋อง มีคน!”
หนานกงเย่ลืมตาด้วยสีหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง:“งั้นหรือ?”
“มีคนสี่ห้าคนกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ ท้องฟ้ามืดจนเห็นไม่ชัดเจน แต่มีลมพัด” อาอวี่ติดตามหนานกงเย่มาหลายปี ตั้งแต่ออกศึกสงครามไปจนถึงการสอดแนมศัตรู และได้นอนบนพื้นหญ้าในยามค่ำคืน ในทุ่งหญ้าหากมีคนเข้ามาใกล้ ลมก็จะเปลี่ยนทิศ กลิ่นก็จะเปลี่ยนไป อาอวี่รู้ดี
หนานกงเย่มองออกจากรถม้า:“อย่าเคลื่อนไหวมากเกินไป ระวังตัวด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
อาอวี่ไม่เข้าใจว่าในถิ่นทุรกันดารนี้ มีอะไรที่ไม่สามารถเคลื่อนไปมาได้ และยังต้องระมัดระวัง แต่อาอวี่คุ้นเคยกับการทำตามคำสั่งเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงยอมหยุดรถ และรอให้คนพวกนั้นเข้ามาใกล้ และในเวลานี้เขาก็หยิบดาบขึ้นออกมา
หนานกงเย่ฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกรถ แต่สายตาของเขาจ้องมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะหลับไปแล้ว แต่ก็ยังแข็งแกร่ง และกอดเท้าของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
ไม่นานก็มีเสียงต่อสู้ดังมาจากด้านนอกรถม้า ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ตื่น แนางลืมตาขึ้นแล้วขมวดคิ้ว การฝึกหลายปีที่ผ่านมาทำให้นางหูตาไว มีการเคลื่อนไหวพียงเล็กน้อยก็รู้แล้ว
หนานกงเย่ประหลาดใจมาก ฉีเฟยอวิ๋นตอบสนองอย่างรวดเร็วและลุกขึ้นนั่ง นางเหลือบมองไปที่ประตูรถม้า แล้วกล่าวว่า:“สู้กันแล้วหรือ?”
“ไร้สาระ” หนานกงเย่มองด้วยความไม่พอใจ ข้างนอกมีการต่อสู้กันเสียงดังขนาดนั้น ยังจะถามอีก
อยากจะดึงขากลับมา แต่ก็ชาไปหมดแล้ว
เขาอดทนไว้และไม่ได้เอากลับมาในทันที เงาดำจากด้านนอกพุ่งเข้ามาด้านในพร้อมกับดาบคมในมือ หนานกงเย่คว้าดาบที่อยู่ข้าง ๆ และพบว่าเท้าของเขาชาจนไม่สามารถขยับได้
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถคิดอะไรได้มากนัก นางพลิกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ชายชุดดำแทงดาบเข้ามา และฉีเฟยอวิ๋นก็เอาตัวขวางไปขวางดาบไว้
เช่ง!
“ท่านอ๋อง!”
อาอวี่รีบเข้ามา ชายชุดดำชักดาบออกมา ฉีเฟยอวิ๋นถูกนำตัวไปไว้ข้างหน้า และหนานกงเย่ที่อยู่ข้างหลังก็คว้านางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วก้มหน้าลงมอง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเย็นชามาก:“เจ้าโง่!ใครใช้ให้เจ้าเข้ามาขวาง?”
หน้าผากของฉีเฟยอวิ๋นเต็มไปด้วยเหงื่อ:“ยกไข่มุกเม็ดนั้นให้ข้าเถอะ?”
หนานกงเย่ถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง:“อีกเดี๋ยวข้าจะทุบมันซะ!”
สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นทรุดลง:“เนรคุณ……”
อีกสองสามคำนั้นไม่ได้พูดออกมา และลุกขึ้นหยิบดาบที่อยู่ข้าง ๆ เหวี่ยงขึ้นไปด้านบน คนที่ลงมาจากด้านบนเห็นท่าไม่ดี จึงรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้เท้าของหนานกงเย่ไม่เป็นอะไรแล้ว เขาโอบฉีเฟยอวิ๋นแล้วกระโจนออกไปจากรถม้า แต่ก่อนที่จะออกไปฉีเฟยอวิ๋นคว้าไข่มุกราตรีมาเก็บไว้ด้วย
สีหน้าของหนานกงเย่ดูอึมครึม:“รนหาที่ตาย!”