บทที่ 59 ออกจากวัง
ไม่นานบรรดาหมอหลวงก็มาถึงตำหนักเฉาเฟิ่ง ไห่กงกงกลับมารายงานหลังจากสอบถาม และเป็นความจริงที่ว่าพวกเขาเริ่มให้ยาบำรุงแก่พระพันปีเมื่อครึ่งปีที่ก่อน และได้มีการบันทึกไว้
ไห่กงกงส่งคนไปเอาสมุดที่มีการบันทึกไว้มาให้พระพันปีดู ในนั้นไม่เพียงแต่บันทึกว่าใช้ยาเมื่อใด แต่ยังบันทึกว่าใช้มากน้อยแค่ไหน และช่วงเวลาใดของวัน
หลังจากพระพันปีทรงดูสมุดเล่มนั้นแล้ว สีหน้าก็ทรุดลง และโยนสมุดเล่มนั้นทิ้งไป
“พวกไร้ประโยชน์”
“พระพันปีได้โปรดระงับโทสะพ่ะย่ะค่ะ ต้องระวังพระวรกายด้วย”
ไห่กงกงรีบปลอบโยน ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร
“พระชายาเย่ ในความคิดของพระองค์ ควรจะทำอย่างไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ?” พระพันปีสงบลง แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก
ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล้าพูดว่า:“กราบทูลเสด็จแม่ หม่อมฉันสามารถเพิ่มตัวยาได้เพคะ ส่วนโสมหม่อมฉันคิดว่าควรเสวยทุกเช้าหลังอาหาร โดยใช้โสมสามแผ่นนำไปชงเป็นชาเพคะ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการบำรุงเสด็จแม่ แต่ยังทำให้เสด็จแม่มีกำลังวังชาด้วยเพคะ และเพิ่มชะเอมเทศ เพื่อทำให้เสด็จแม่อบอุ่น และในอีกสามวันหลังจากนี้ เสด็จแม่ก็น่าจะบรรทมได้ตามปกติเพคะ”
“เช่นนั้นหรือ?” พระพันปีมองไปที่ไห่กงกง
ไห่กงกงรีบกล่าวว่า:“พระชายาเย่ พระองค์รีบสั่งยาเถอะพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”
“ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปเขียนใบสั่งยา และยื่นให้ไห่กงกง ไห่กงกงไปจัยาด้วยตัวเอง และฉีเฟยอวิ๋นก็ไปต้มยาด้วยตัวเองเช่นกัน ยานี้เสร็จออกมาในตอนกลางคืน
ก่อนที่พระพันปีจะเสวยยา ไห่กงกงก็ลองชิมดูก่อน และตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีอะไร จากนั้นพระพันปีจึงเสวยยา
ในตอนกลางคืน ฉีเฟยอวิ๋นเฝ้าอยู่นอกห้องบรรทม พระพันปีทรงพักผ่อนก่อน ไห่กงกงเห็นว่าทรงพักผ่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่วางใจ จึงจะไปเฝ้าอยู่ข้างหน้าตามคำสั่งของพระพันปี เมื่อแน่ใจว่าทรงหลับสนิทแล้วก็เดินออกมาจากห้องบรรทม และเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบเข้ามาพูดคุย
“พระชายาเย่ ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ!” ไห่กงกงกล่าวพร้อมกับยกนิ้วให้
“กงกงยกย่องเกินไปแล้ว ข้ามีความรู้เพียงแค่ผิวเผิน กงกง ดูจากร่างกายของท่านแล้ว น่าจะจะเป็นบุตรคนสุดท้องในบ้านใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีอะไรทำและนอนไม่หลับ
“พระชายาเย่เก่งมากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ใช่กระหม่อมที่ครอบครัวยากจน และไม่มีอันจะกิน แต่เมื่อเข้ามาในวังก็จำความทนทุกข์ทรมานเหล่านั้นไม่ได้แล้ว วันนี้กระหม่อมเพิ่งรู้ว่าร่างกายของกระหม่อมไม่ค่อยดี เป็นเพราะพ่อแม่ให้กำเนิดช้าเกินไป เหอะเหอะ……”
ไห่กงกงหัวเราะเยาะขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“กงกง ความจริงแล้วโสมเป็นยาบำรุงที่ดี หากร่างกายอ่อนแอ สามารถตุ๋นซุปกินได้ทุกวัน และตุ๋นกับไก่เป็นอาหารก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโสมที่มากกว่าสิบปีขึ้นไป การกินเนื้อโสมไม่เป็นการบำรุงมากเกินไป เและยังช่วยยืดอายุได้อีกด้วย”
“หา?” ไห่กงกงอ้าปากค้าง เบิกตากว้าง และมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเสริมว่า:“มันแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่นเดียวกับที่กงกงกล่าวว่าครอบครัวยากจนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน มันเทียบกันไม่ได้เลย สารก่อนกำเนิดไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องบำรุงหลังกำเนิด”
“บ่าวขอบพระทัยพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”
ไห่กงกงรีบเช็ดหางตาของเขาอย่างรวดเร็ว เขาดูเหมือนเด็กที่น่าสงสาร
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พูดอะไร และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ทั้งสองยืนอยู่ที่นั่นสักพัก เมื่อไห่กงกงกลับไปดูแลพระพันปีแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงกางแขนออกดูแสงจันทร์ จะเห็นเส้นแนวเส้นลมปราณปรากฏขึ้นบนแขน และมีบางอย่างที่อยู่ในเส้นลมปราณกำลังดิ้นไปมา
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงสิ่งนี้อย่างละเอียด นางได้รับสิ่งนี้มาบนตัว ตอนที่นางอยู่ในรถม้าอย่างแน่นอน
ก่อนที่นางจะขึ้นรถก็ยังดี ๆ อยู่ เช่นนั้นก็คงเป็นตอนที่อยู่ในรถม้า
แต่หนานกงเย่ไม่มีทางใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ ผู้ชายคนนั้นมักจะลงมือต่อหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว โลกนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ
ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอายุยืนถึงร้อยปีหรือไม่
หลังจากปล่อยมือ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าสิ่งนี้ถูกระงับไว้ชั่วคราวบนแขนของนาง และใช้เข็มเงินผนึกการเคลื่อนไหวไว้ ชีวิตของนางยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย
หลังจากยืนมาทั้งคืน พระพันปีก็ทรงตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงไปพักผ่อน
และนอนหลับตลอดทั้งเช้า ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและไปเข้าเฝ้าพระพันปี และพบว่าหนานกงเย่นั่งอยู่ข้าง ๆ พระพันปี
“หม่อมฉันคารวะเสด็จแม่ คารวะท่านอ๋องเพคะ ” ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะคุกเข่าลง แต่ก็ถูกพระพันปีเรียกให้หยุด
“ตามสบาย ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ต้องหรอก”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลง นางสวมชุดในวังสีขาว และหันไปถอนสายบัวให้หนานกงเย่ :“ท่านอ๋อง!”
“ตามสบายเถอะ!” แม้ว่าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง แต่ก็ยังเฉยเมย ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าเขาไม่ต้องการพบหน้านาง
พระพันปีทรงอนุญาตให้นั่ง นางจึงจะนั่งลง
หนานกงเย่เลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น และทันใดนั้นก็พบว่าเรื่องหนึ่งว่าฉีเฟยอวิ๋นชอบสีขาว
แต่เมื่อก่อนที่พวกเขาพบกัน ฉีเฟยอวิ๋นจะสวมเสื้อผ้าที่งดงามมาก ชอบเครื่องประดับที่มีราคาสูง สวมเครื่องประดับผมไว้ทั่วศีรษะ เวลาเดินจะมีเสียงข้อมือข้อเท้าที่กระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง
“มองอะไรหรือ?” เมื่อพระพันปีเห็นบุตรชายมองอย่างเหม่อลอยก็จงใจขัดจังหวะ
หนานกงเย่ได้สติกลับมา:“เสด็จแม่ ลูกจะกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นก็ให้นางกลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ได้รีบร้อน เจ้ารีบร้อนหรือ!”
พระพันปีรักและโปรดปรานบุตรชายคนนี้ มิฉะนั้นเขาคงไม่กล้าอวดดีเช่นนี้
“พ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเย่กล่าวและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น:“ไปกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและมองไปที่พระพันปี พระองค์ทรงไม่ตรัสอะไร นางจึงไม่กล้าจากไป
“ไปเถอะ มีเรื่องอะไรก็เข้าว้งมารายงานข้า แล้วข้าจะตัดสินให้เจ้าเอง”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ”
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ออกมาจากตำหนักเฉาเฟิ่ง ไห่กงกงเดินตามออกไปด้านนอกและพูดกับทั้งสองคนสองสามคำ หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นจัดการเรื่องยาของพระพันปีเสร็จแล้ว นางก็ออกจากวัง
ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นก็คิดถึงการเตรียมยาของจักรพรรดิอวี้ตี้ และไม่มีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่น นางเดินตามหนานกงเย่ออกจากวัง
รถม้าถูกจัดเตรียมไว้นอกวัง หลังจากออกมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ขึ้นไปรถม้า และเมื่อขึ้นมานั่งในรถม้า นางก็นึกถึงเรื่องสิ่งนั้นบนแขนของนางได้
ในเวลานี้นางมองไปที่หนานกงเย่ และพบว่าหนานกงเย่ก็กำลังเฝ้ามองนางเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ และลูบใบหน้าของตัวเอง:“มองอะไร?”
“เอามือมาให้ข้า”
หนานกงเย่พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ผู้หญิงคนนี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาตลอดทาง คิดว่านางหลับไปแล้วเสียอีก
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือให้หนานกงเย่ แม้จะไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ก็คงจะไม่ทำร้ายนาง และคงไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก ดังนั้นนางจึงยื่นมือไปให้หนานกงเย่
หนานกงเย่เปิดแขนเสื้อของฉีเฟยอวิ๋น เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับรากบัว
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น และไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นตอบโต้ เขาก็หยิบมีดมาเฉือนฝ่ามือของฉีเฟยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นหายใจเข้าด้วยความเจ็บปวด แต่นางก็ไม่ดึงมือกลับมา
มีดของหนานกงเย่เฉือนลงบนฝ่ามือของนาง และเลือดก็ไหลออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเจ็บแขนเล็กน้อย
“มันคืออะไร?” นางถาม หาได้ยากที่หนานกงเย่จะอดทนเช่นนี้
“หนอนมีพิษทางทิศตะวันตก หลังจากเข้าสู่ร่างกายคนแล้วมันจะสามารถขยายพันธุ์ได้ หากไม่ขยายพันธุ์มันจะมีพิษและทำให้คนตายได้
หนอนชนิดนี้เรียกว่าหนอนไหมสีทอง ตอนที่มันยังเล็กจะมองไม่เห็น มันจะกัดกินผ่านผิวหนังมนุษย์เข้าไปในเนื้อ แต่หนอนไหมสีทองกัดไม่เจ็บ ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะค้นพบ”
ฉีเฟยอวิ๋นใจลอย และทันใดนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า:“จู่ ๆ ทำไมท่านถึงดีเช่นนี้?”
ทำดีหวังผล!
หนานกงเย่หัวเราะเยาะ:“ข้าดีอย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คงเป็นนางที่เข้าใจผิดสินะ
เมื่อมองไปที่ฝ่ามืออีกครั้ง ก็มีบางอย่างสีดำที่เต็มไปด้วยเลือดดิ้นออกมา และขยุกขยิกอยู่บนฝ่ามือของฉีเฟยอวิ๋น และมุ่งหน้าไปที่คมมีดของหนานกงเย่
**********************