บทที่ 69 การกลับเข้าเมืองมีการเปลี่ยนแปลง
“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่” จวินฉูฉู่นำญาติผู้หญิงในตระกูลจวินออกมาต้อนรับ ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องพูด และต้องพยายามให้มากพอ
หนานกงเย่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ:“พระชายาตวนเกรงใจเกินไปแล้ว”
“ที่ไหนกันเพคะ ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ เชิญเสด็จเพคะ”
ตอนที่จวินฉูฉู่มาเมื่อวานนี้ หนานกงเย่ก็กลับไปแล้ว และนางก็ผิดหวังมาก
วันนี้นางจึงตั้งใจมาต้อนรับหนานกงเย่ แต่ไม่คิดว่าฉีเฟยอวิ๋นจะมาด้วย
หนานกงเย่เดินเข้าไปข้างใน และฉีเฟยอวิ๋นก็ตามเข้าไป
จวินฉูฉู่รู้สึกผิดหวัง หนานกงเย่ไม่แม้แต่จะชายตามองนางเลย หรือจะเป็นเพราะฉีเฟยอวิ๋น
ในเวลานี้มีคนรออยู่ที่ลานบ้านของตระกูลจวินแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นหนานกงเย่ต่างก็คารวะ แล้วกลับไปยังที่ของตัวเอง ข้างหน้าพวกเขาคือสมุดบัญชีและลูกคิด พวกเขากำลังคำนวณสินสอดทองหมั้นในการสู่ขอจวินเซียวเซียวเข้าไปในวัง และแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่ได้รับพระราชทานจากฝ่าบาทนั้นได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว และเห็นได้ว่าตระกลูลจวินให้ความสำคัญกับการส่งบุตรสาวเข้าไปในวังครั้งนี้มากเพียงใด
ฉีเฟยอวิ๋นจำการแต่งงานของเจ้าของร่างเดิมได้ ไม่มีสินสอดทองหมั้นใด ๆ และหนานกงเย่ก็ไม่ได้ให้อะไรนางเลย
ช่างกระจอกเสียจริง!
มีคนนำเก้าอี้มาให้หนานกงเย่ และวางเตาอั้งโล่ไว้ข้างหน้า เขานั่งอยู่ด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นด้วย จึงเตือนว่า:“เมื่อคืนท่านอ๋องต้องลมเย็น พระวรกายยังคงอ่อนแออยู่ ควรเข้าไปด้านในดีกว่านะเพคะ”
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น และลุกขึ้นยืน
จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปด้านใน ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไป เช่นนี้แล้วจึงจะรู้สึกอบอุ่นขึ้น
คนอื่น ๆ ยังคงพูดคุยกันต่อไป และไม่นานก็มีคนถือสมุดบัญชีเข้ามา สิ่งที่ราชสำนักมอบให้ จะแบ่งไว้ที่ตระกูลจวินส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปให้เป็นสินเดิมของจวินเซียวเซียวในวัง
ฉีเฟยอวิ๋นฟังดูก็รู้ว่าครั้งนี้ฝ่าบาททรงพระราชทานรางวัลให้เกินหน้าเกินตาฮองเฮามาก
ประการแรกคือฮองเฮาจะไม่สบอารมณ์ในเวลาเช่นนี้ไม่ได้ นางจะต้องแสดงให้เห็นว่านางใจกว้าง ประการที่สองคือตอนที่ฮองเฮาทรงอภิเษกสมรสนั้น จักรพรรดิอวี้ตี้ยังควบคุมราชสำนักได้ไม่เต็มที่ จึงไม่ได้มีการจัดสรรให้เช่นนี้ ซึ่งต่างกับในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิอวี้ตี้หรือว่าตระกูลจวินก็ไม่ใช่ช่วงเวลาในตอนนั้นแล้ว
ส่วนฮองเฮา จักรพรรดิอวี้ตี้จะต้องให้เกียรติฮองเฮาต่อหน้าผู้อื่นอย่างแน่นอน แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันไม่สามารถปิดบังความจริงอันแสนวุ่นวายได้ และยิ่งไม่สามารถเพิ่มความรุ่งโรจน์ให้กับฮองเฮาได้เช่นกัน
สำหรับเหตุการณ์นี้ ไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าฮองเฮาและตระกูลเฉินแล้ว
เพียงเพราะว่าหนานกงเย่ถูกผู้อื่นลอบทำร้าย พระพันปีจึงคิดจะโค่นล้มตระกูลเฉิน
ผู้ที่มีสายตาเฉียบคม ใครบ้างที่ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของพระพันปี
ในภายภาคหน้าเกรงว่าจะต้องมีวันที่เฉินอวิ๋นชูต้องร้องไห้
เมื่อฮองเฮาไม่เป็นที่โปรดปรานก็จะเป็นจุดเริ่มต้น
ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว จวินฉูฉู่จึงเข้ามาเตรียมอาหารมื้อเที่ยง และราชครูจวินก็มาด้วยตัวเอง ทั้งสองพ่อลูกสาวทานอาหารด้วยกันกับพวกเขาสองสามีภรรยา
และในช่วงเวลานี้ จวินฉูฉู่ก็คิดในใจว่าหนานกงเย่จะชายตามามองนางบ้าง วันนี้นางสวมชุดสีเขียวมรกต ซึ่งเป็นสีที่หนานกงเย่ชอบ แต่เขาก็ไม่ได้ชายตามองนางเลยแม้แต่น้อย
หลังจากทานอาหารแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นออกไปข้างนอก นางรู้สึกว่าบรรยากาศด้านในอึดอัดมาก จึงอยากมาเดินสูดอากาศ
และไม่คิดว่าหนานกงเย่ก็จะออกมาเช่นกัน
“ท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นถอนสายบัว
หนานกงเย่เดินไปข้างหน้า:“ทังเหอ เจ้าไปควบคุมดูแลการปิดผนึกของวันนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าทังเหอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ออกมาแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินหนานกงเย่ตามขึ้นไปบนรถม้า เขาเอนกายลงบนรถม้าอย่างสบายใจ แล้วเล่นไข่มุกราตรีที่อยู่ในมือของเขา ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะมองเลยเห็นแล้วก็เจ็บใจ
เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเจ็บใจ ฉีเฟยอวิ๋นจึงหรี่ตาลง และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
จวินฉูฉู่กำหมัดและกัดริมฝีปากแน่น
นางยืนมองรถม้าของหนานกงเย่จากไปอยู่ที่หน้าจวนตระกูลจวิน เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของตัวเอง นางก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง
ในตอนนี้แม้แต่ชายตามองนางก็เป็นเรื่องยากแล้วหรือ?
เป็นเพราะฉีเฟยอวิ๋นงั้นหรือ?
เมื่อรถม้ากลับมาถึงจวนอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็ลงจากรถม้าและเตรียมจะกลับไปพักผ่อน แต่พอเดินไปข้างหน้า นางก็ถูกเรียกให้หยุด:“ไปล้างมือแล้วมาคัดลอกหนังสือ”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมา:“วันนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรง ค่อยคัดลอกได้หรือไม่เพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ
เจ้าไม่ต้องรีบร้อนอยากให้ข้าตายขนาดนั้น คนรู้ใจของเจ้ารอเจ้าอยู่ทุกเช้าค่ำ เจ้าไม่มีทางได้ไปอยู่กับเขาแน่!
“ไม่ได้”
หนานกงเย่เดินเข้ามาในจวน ฉีเฟยอวิ๋นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สวรรค์ทำไมท่านถึงไม่ลงทัณฑ์หนานกงเย่บ้าง
ฉีเฟยอวิ๋นทำได้เพียงไปคัดลอกหนังสือ ในขณะที่หนานกงเย่ไปงีบหลับ
หลายครั้งที่ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะฆ่าเขา แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือ
จนกระทั่งหนานกงเย่ตื่นขึ้นมา และลุกขึ้นมาอ่านหนังสือที่ฉีเฟยอวิ๋นคัดลอกไว้ และเห็นว่านางได้คัดลอกส่วนใหญ่แล้ว และยังคงคัดลอกอยู่ ซึ่งเป็นการใช้งานนางมากเกินไปนานขนาดนี้แล้วก็ยังโง่เขลามากขึ้นเรื่อย ๆ
หากเป็นเมื่อก่อน นางคงจะร้องห่มร้องไห้และอ้อนวอนขอให้เขาปล่อยนางไป แต่ในตอนนี้นางกลับดื้อรั้นมาก
แต่เมื่อก่อนที่นางร้องห่มร้องไห้ก็เพื่อที่จะขอพบและติดตาม หากเป็นการคัดลอกหนังสืออย่างในตอนนี้ เกรงว่านางคงจะเต็มใจ
แค่คิดแววตาของหนานกงเย่ก็ดูไม่พอใจแล้ว แต่เมื่อนึกถึงฉากที่ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดริมฝีปากของนางอย่างแรงในวันนั้น เขาก็ทำเสียงฮึอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก และปิดประตูเสียงดังปัง
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และถอนหายใจ ชาติที่แล้วนางทำชั่วอะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้มาเจอกับคนที่เลวทรามเช่นนี้
จงใจจะหาเรื่องนางได้ทั้งวัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ทำอะไรเลยมาเป็นเวลาสามวันติดต่อกันแล้ว สามวันที่ผ่านมานางทำได้เพียงแค่คัดลอกหนังสือ
หลังจากที่ผ่านไปสามวันแล้ว นางก็ออกมาจากห้องของหนานกงเย่ อาอวี่ดีขึ้นแล้ว และหนานกงเย่ก็ไม่อยู่ในจวน
หลายวันที่ผ่านมาในวังมีงานเฉลิมฉลอง หนานกงเย่จึงต้องไปควบคุมดูแลพิธีแต่งตั้งพระสนม และมีเวลาอยู่ที่จวนไม่มากนัก มีเพียงแค่ตอนกลางคืนที่จะมาดูฉีเฟยอวิ๋นคัดลอกหนังสือ และชีวิตของฉีเฟยอวิ๋นก็ผ่านไปอย่างสบาย ๆ
เพียงแต่ยุ่งอยู่กับเครื่องประทินโฉมของพระพันปีที่ฉีเฟยอวิ๋นยังคงต้องจัดการ
วันนี้อาอวี่มา ฉีเฟยอวิ๋นจึงอยากออกไปเก็บยา และจับคางคกสักสองสามตัว นางกลัวว่าถ้าไปคนเดียวแล้วจะกลับมาไม่ทันเวลา นางจึงขอความช่วยเหลือจากอาอวี่
อาอวี่เตรียมรถม้า และทั้งสองก็ออกเดินทางไปนอกเมือง
และใช้เวลาไม่นานในการตามหาคางคก และเมื่อกลับมาก็มืดแล้ว
ในระหว่างการเดินทาง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่ารถม้าค่อย ๆ หยุดลงอย่างช้า ๆ มีบางอย่างผิดปกติ นางเปิดม่านในรถม้าและมองออกไปข้างนอก
“พระชายา ท่านเข้าไปก่อน”
น้ำเสียงของอาอวี่ดูจริงจัง สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน เขาก็รู้สึกหวาดระแวง
ทำไมถึงมีรถม้าออกมานอกเมืองกลางดึก?
แต่รถม้าก็ที่จอดอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะไม่ใช่คนเลว
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม
“ยังไม่แน่ใจ พระชายาไม่ต้องออกมานะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
อาอวี่กำลังจะเดินไปดูรอบ ๆ มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องออกมาจากรถม้าที่อยู่ข้างหน้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงเปิดม่านออกมองไปดู:“มีคนตั้งครรภ์ด้วย?
หลังจากที่พูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็จะลงมาจากรถมา อาอวี่จึงรีบตะโกนว่า:“พระชายา ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ พื้นที่ชนบทเช่นนี้ รถม้าออกมาจากในเมือง มาทำอะไรถึงที่นี่?”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักและหันกลับไปมอง อาอวี่พูดถูก
นางมองไปยังรถม้าที่อยู่ตรงหน้า มีคนสองสามคนวิ่งอย่างลนลานอยู่ข้างนอกรถม้า และมีคนตะโกนว่า:“เร็วเข้าสิ ฮูหยินกำลังจะคลอดแล้ว น้ำร้อน ไม่ได้……ร้อนเกินไป”
มีเสียงกรีดร้องดังมาจากในรถม้า ผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หมอตำแยดูตื่นตระหนก และฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินทุกอย่าง
นางไม่สามารถนั่งดูเฉย ๆ ได้ ไม่เช่นนั้นคงต้องตายทั้งแม่ทั้งลูก
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าคนเหล่านั้นดูเป็นคนธรรมดาทั่วไป นางจึงกล่าวว่า:“อาอวี่ ข้าดูแลตัวเองได้ เจ้าลองไปดูสิ”
เพื่อความปลอดภัย ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ได้ไปที่นั่นในทันที อาอวี่รู้สึกลำบากใจ เขาลงจากรถม้าและไปดู หลังจากสอบถามแล้วก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนต้าเหลียง ดึกมากแล้วพวกเขาไม่มีบัตรผ่านที่จะเข้าไปในเมือง จึงทำได้เพียงพักอยู่ที่นี่ก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าไปในเมือง แต่ไม่คิดว่าหญิงมีครรภ์จะทนไม่ไหวและกำลังจะคลอดลูก
พวกเขาพาสาวใช้มาคนหนึ่ง แต่นางทำคลอดไม่เป็น ในเวลานี้พวกเขาจึงวุ่นวายมาก
หลังจากที่อาอวี่พูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปที่รถม้าตรงหน้าในทันที และบอกว่าตัวเองเป็นหมอ และอีกฝ่ายก็ร้องขอความช่วยเหลือ มีหมอมาหาถึงที่ พวกเขาจึงรีบเชิญฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนรถม้า
อาอวี่เข้าไปไม่ได้ เขาจึงรออยู่ด้านนอก
แต่หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนรถม้าแล้ว จู่ ๆ ก็มีเสียงร้องดังขึ้นจากในรถม้า อาอวี่ใจคอไม่ดี และหันกลับไปที่รถม้า แต่ก็สายเกินไป รถม้าแล่นออกไปแล้ว และคนสี่ห้าคนที่อยู่ตรงหน้าก็ขวางอาอวี่ไว้
**********************