ตอนที่ 212 ลงเวลา
“คุณผู้หญิงคะ แล้วคุณหนูล่ะคะ” ป้าหลิวไม่ได้ยินถังโจวโจวพูดถึงลั่วอิงเลย
“อ้อ ลั่วอิงหรือคะ เดี๋ยวเราจะส่งเธอไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ พอพูดถึงตรงนี้แล้ว เดี๋ยวที่บ้านจะเหลือแค่ป้าหลิวเพียงคนเดียว ป้าหลิวอยากกลับบ้านไหมคะ ใช้โอกาสที่เราออกไปเที่ยวกลับไปเยี่ยมที่บ้านสักพักหนึ่ง ป้าหลิวจะได้มีเวลาอยู่กับคนในครอบครัวบ้าง”
ถังโจวโจวนึกย้อนไปว่า แม้แต่ช่วงตรุษจีน ป้าหลิวก็ยังอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ นอกเหนือจากคืนวันส่งท้ายปีเก่าที่เธอกลับไปร่วมมื้อเย็นกับที่บ้านแล้ว เธอก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย เธออยู่ที่นี่เพื่อคอยดูแลพวกเขาตลอด ก็ออกจะนานเกินไปสักหน่อย
ป้าหลิวหันมองไปอีกทางเล็กน้อย สีหน้าเธอค่อนข้างกังวล “แล้วคุณชาย…”
“กลับได้นะครับ ป้าหลิว ป้าอยากจะกลับไปกี่วันก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครอยู่บ้านอยู่แล้ว ป้าแค่กลับมาก่อนที่พวกเราจะกลับมาก็พอ” ลั่วเซ่าเชินได้ยินบทสนทนาระหว่างถังโจวโจวและป้าหลิวมาโดยตลอด และเมื่อเขารู้ว่าป้าหลิวกังวลว่าเขาจะไม่อนุญาต เขาจึงพูดขึ้นมาในทันที
“ขอบคุณค่ะ คุณชาย คุณผู้หญิง!” เมื่อป้าหลิวได้ยินว่าลั่วเซ่าเชินอนุญาตให้เธอกลับบ้าน เธอก็ซาบซึ้งเสียจนน้ำตาไหล เธอไม่ได้กลับบ้านมาสักพักแล้ว เธอไม่รู้ว่าลูกชายของเธอสบายดีหรือเปล่า
แม้ว่าลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวจะไม่ได้ขอร้องให้ป้าหลิวอยู่ที่บ้านทุกวัน นอกจากนี้พวกเขาก็ยังให้ป้าหลิวได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวทุกสัปดาห์ แต่ป้าหลิวก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นในบ้าน ดังนั้นเธอจึงเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้และบอกตัวเองว่าถ้าไม่จำเป็นเธอจะยังไม่กลับบ้าน
แล้วสามีของเธอก็มักจะพาลูกชายมาเยี่ยมเธออยู่บ่อยๆ สลับกับป้าหลิวที่กลับบ้านเดือนละครั้ง ซึ่งมันดูเหมือนจะผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ป้าหลิวกลับไปครั้งล่าสุด
ความจริงแล้วถังโจวโจวรู้สึกว่าแม้ป้าหลิวจะไม่อยู่ เธอก็สามารถจัดการเรื่องในบ้านได้ อย่างเรื่องทำอาหาร เธอเองก็เก่งอยู่เหมือนกัน ด้วยหัวใจที่มักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของถังโจวโจว เธอจึงสามารถเข้าใจความรู้สึกของป้าหลิวในเรื่องนี้ได้
“ป้าหลิวต้องใช้โอกาสนี้อยู่กับลูกชายหลายๆ วันเลยนะคะ!” ถังโจวโจวเคยเจอลูกชายของป้าหลิวอยู่หลายครั้ง เขาเป็นเด็กที่น่ารัก อายุประมาณสิบขวบ แม้จะอยู่ในวัยที่กำลังซนแบบนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าลูกของป้าหลิวเป็นเด็กดีมาก
เขาชอบอ่านหนังสือ ดังนั้นแต่ละครั้งที่สามีของป้าหลิวพาเขามาที่นี่ ถังโจวโจวก็มักจะให้เขายืมหนังสือกลับไปด้วยหนึ่งเล่ม แล้วป้าหลิวก็นำมาคืนภายหลัง หรือไม่เขาก็เอามาคืนด้วยตัวเองในครั้งถัดไป
“ค่ะ คุณผู้หญิง ฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณชาย คุณผู้หญิง” ป้าหลิวรู้สึกขอบคุณลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเป็นอย่างมากสำหรับโอกาสที่พวกเขาหยิบยื่นมาให้เธอ
สำหรับลูกชายของเธอ เธอคิดถึงเขาอยู่ตลอด เพียงแต่เธอไม่อาจทิ้งหน้าที่การงานไปได้ แม้ว่าจะคิดถึงลูกมากเพียงใด ป้าหลิวก็ทำได้แค่อดทนอยู่เงียบๆ
คราวนี้เมื่อเธอได้มีโอกาสดีๆ เช่นนี้ เธอจะทะนุถนอมมันไว้เป็นอย่างดี
“หาข้อมูลเสร็จหรือยัง ดูตั๋วไปถึงไหนแล้ว” ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวใช้เวลาค้นหาตลอดทั้งบ่าย เขายังไม่รู้เลยว่าเธอได้เรื่องอะไรมาบ้าง เมื่อเขาทำงานเสร็จแล้ว ลั่วเซ่าเชินจึงลุกออกจากโต๊ะและเดินเข้าไปหาถังโจวโจว
“อืม คุณบอกว่าคุณน่าจะต้องใช้เวลาเคลียร์งานประมาณสี่วัน ถ้าเป็นวันที่ห้าก็มีเที่ยวบินไปประเทศ M ตอนสิบโมงเช้า คุณคิดว่ายังไงคะ” ถังโจวโจวเห็นว่าเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินที่เร็วที่สุด มิฉะนั้นจะต้องรออีกวันหนึ่ง
“โอเค คุณจองวันนั้นไปก็แล้วกัน” ลั่วเซ่าเชินคิดว่ามันไม่เลวเลย พอถึงเวลานั้นก็จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนั้นก็ปล่อยให้เหล่าผู้จัดการคอยดูแลบริษัท ให้ลูซี่อยู่ที่นี่ ส่วนหวังหวา เขาก็จะให้ล่วงหน้าไปก่อน ลั่วเซ่าเชินเองจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดไม่ไหว
พวกเขาตกลงกันเรียบร้อย และเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวก็ลงไปชั้นล่างพร้อมกัน
ตอนที่ 213 สายตาจงเกลียดจงชัง
ฉินอวิ๋นเห็นว่าถังโจวโจวไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เธอจึงสั่งให้คนหยุดลงมือไปก่อน รอจนกว่าเธอจะตรวจสอบให้แน่ชัด แล้วค่อยลงมืออีกครั้ง เรื่องกำจัดจุดอ่อนของถังโจวโจวนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกสาวของเธอ
หลังจากฉินอวิ๋นตบหน้าเมิ่งชิงซีในครั้งนั้น สีหน้าของเมิ่งชิงซีที่มีต่อแม่อย่างฉินอวิ๋นก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ถ้าเมิ่งไหวเซินไม่ได้กลับมากินข้าวที่บ้าน เมิ่งชิงซีกับฉินอวิ๋นคงจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปแล้ว
มีแต่ฝั่งของเมิ่งชิงซีเท่านั้นที่ก่อสงครามเย็น ฉินอวิ๋นไม่ได้อยากจะทะเลาะกับลูกสาวของเธอจนถึงขั้นนี้เลย เมิ่งชิงซีเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ แต่ทำไมถึงโกรธเกลียดเธอที่เป็นแม่ได้มากขนาดนี้เพราะเรื่องของคนอื่นแท้ๆ
เมิ่งชิงซีไม่ได้เข้าใจถึงความกังวลของเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าถังโจวโจวมีอันตรายใดแฝงอยู่
ฉินอวิ๋นไม่สามารถบอกความจริงกับเมิ่งชิงซีได้ เธอจึงได้แต่อดทนให้มันเป็นต่อไปเช่นนี้ บทสนทนาระหว่างเธอและเมิ่งชิงซีนับวันยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ บางครั้งพวกเธอสองคนถึงขั้นไม่พูดกันเลยทั้งวัน พวกเธอได้แต่พึ่งพาคนกลางให้คอยสื่อสารให้
ก๊อกๆๆ “ชิงซี นี่แม่เองนะ แม่เข้าไปได้ไหม” ภายในห้องนั้นเงียบเชียบ ฉินอวิ๋นรออยู่พักหนึ่งก่อนจะเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบ เธอจึงเปิดประตูและเดินเข้าไป ปรากฏว่าเธอได้พบกับแรงต่อต้านอย่างหนักจากเมิ่งชิงซี
“หนูไม่ได้พูดสักคำว่าให้แม่เข้ามาได้ แล้วแม่เข้ามาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากหนูได้ยังไง”
“ก็แม่เคาะประตูแล้ว แต่ลูกไม่ตอบ ชิงซี ลูกโกรธแม่มานานแล้วนะ นี่ลูกอยากให้คุณพ่อรู้หรือไงว่าแม่กับลูกทะเลาะกันน่ะ” ฉินอวิ๋นปวดหัวกับนิสัยของเมิ่งชิงซีมาก สิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดมันเพื่อใครกันล่ะ ทำไมถึงไม่เข้าใจเธอบ้างเลย
“รู้แล้วยังไงล่ะคะ หนูไม่กลัวหรอก คนที่ต้องกลัวคือแม่ต่างหาก” เมิ่งชิงซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอกำลังวาดลิปสติกสีแดงสดลงบนริมฝีปาก เธอปาดมันอย่างช้าๆ และใจจดใจจ่อกับมันเป็นอย่างมาก
ฉินอวิ๋นค่อยๆ เดินเข้าไปที่ด้านหลังของเมิ่งชิงซี เธอมองดูใบหน้าของลูกสาวที่ส่องสะท้อนอยู่ในกระจก เธอเห็นแต่ความเย็นชา ความเกลียดชัง ฉินอวิ๋นไม่เข้าใจว่ามันมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น หรือว่าผู้ชายอย่างลั่วเซ่าเชินสำคัญกว่าแม่บังเกิดเกล้าอย่างเธอ?
เมิ่งชิงซีไม่กลัวที่ฉินอวิ๋นเอ่ยอ้างถึงเมิ่งไหวเซินเลยสักนิด เธอไม่มีอะไรต้องปกปิด เธอบริสุทธิ์ใจ กลับกันแล้ว ฉินอวิ๋นนั่นแหละที่ควรจะกังวล ไม่รู้ว่าแม่ของเธอมีเรื่องปกปิดคุณพ่อไว้อีกกี่เรื่อง
เมิ่งชิงซีรู้ดีว่า หากคุณพ่อของเธอค้นพบสิ่งที่คุณแม่ทำ คุณแม่ก็จะต้องออกไปจากบ้านหลังนี้
“ชิงซี ครั้งก่อนที่แม่ตบลูก มันเป็นความผิดของแม่เอง ลูกจะยกโทษให้แม่ไม่ได้เลยเหรอ ถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้เข้าและไล่แม่ออกจากบ้าน ลูกก็จะโอเคหรือไง” ฉินอวิ๋นค่อยๆ อธิบายให้เมิ่งชิงซีฟังอย่างใจเย็น
“แล้วมีอะไรที่หนูต้องไม่โอเคหรือคะ?” เมิ่งชิงซีคิดว่าแม่ของเธอบ้าไปแล้ว? เธอเป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลเมิ่ง เธอจะต้องสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ? อย่าคิดแต่ว่าเธอเป็นเด็กสิ เธอจะไม่ยอมถูกหลอกอีกต่อไปแล้ว หากแม่ไม่ได้ปิดบังเรื่องนั้นกับเธอ ป่านนี้เธออาจจะได้แต่งงานเข้าตระกูลลั่วและได้เป็นคุณผู้หญิงลั่วไปแล้ว
“ชิงซี ลูกจะทำแบบนี้กับแม่จริงๆ เหรอ แม่เลี้ยงลูกมาจนโต คอยหาข้าวหาน้ำให้กิน ให้มีบ้านได้อยู่ ให้ชีวิตดีๆ กับลูกมาตลอด แล้วนี่คือวิธีที่ลูกจะตอบแทนแม่อย่างนั้นหรือ” ฉินอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก ลูกของเธอกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้อย่างไร เธอหวังว่าเมิ่งชิงซีคนก่อนจะกลับมาหาเธอ
“ฮึ! คุณพ่อต่างหากที่เป็นคนให้ชีวิตดีๆ กับหนู เกี่ยวอะไรกับแม่ด้วย? แม่อย่าพูดอะไรแบบนี้อีกเลยค่ะ แม่ตบหน้าหนู หนูจะจำไว้ให้ขึ้นใจ!” เมิ่งชิงซีกุมกรอบหน้าของตัวเอง ฉินอวิ๋นมองเห็นสายตาที่จงเกลียดจงชังของเธอ ก็ถึงกับผงะถอยไปสองสามก้าว