ฟังหยวนไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาอยากให้ถังโจวโจวได้พักผ่อนอย่างสบายใจ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เขาตัดสินใจไม่พูดว่าเมื่อวานนี้ลั่วเซ่าเชินไปอยู่ที่ไหนมา ฟังหยวนดูออกว่าเธอเริ่มรู้สึกอึดอัดใจแล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง “โจวโจว พอดีผมมีธุระ ขอตัวกลับก่อนนะครับ”
แววตาของถังโจวโจวดูเปลี่ยนไปในทันที ฟังหยวนโศกเศร้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน ‘โจวโจว ถ้าคุณไม่ชอบผม คุณก็ไม่จำเป็นต้องทนอึดอัดแบบนี้ คุณคงอยากให้ผมไปแล้วใช่ไหม?’
ถังโจวโจวไม่ได้ตั้งใจ แต่ก่อนหน้านี้หลินเหยาก็มาคุยกับเธอ แล้วเธอก็มาคุยต่อกับฟังหยวนอีก เธอแค่รู้สึกว่าร่างกายของเธออ่อนเพลียมาก เธออยากจะล้มตัวนอนแล้วหลับไปเลย แต่ฟังหยวนยังอยู่ตรงนี้ เธอก็ไม่สะดวกที่จะทำอย่างนั้น
ถังโจวโจวพยายามรักษาน้ำใจ เธอไม่สามารถเป็นฝ่ายไล่แขกได้ ดังนั้น เมื่อเธอได้ยินฟังหยวนพูดว่าเขาจะกลับแล้ว เธอก็ดีใจอยู่ลึกๆ แต่ในมุมมองของฟังหยวน มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
ฟังหยวนยิ้มแย้มอย่างมีความสุขต่อหน้าถังโจวโจว แม้ว่าภายในใจของเขาจะยังขมขื่นอยู่ “โจวโจว ผมจะไปจริงๆ แล้วนะ อย่าคิดถึงผมล่ะ”
“รีบไปเถอะค่ะ ฉันไม่คิดถึงคุณหรอก” ถังโจวโจวคิดว่าฟังหยวนกำลังล้อเล่น เพราะเมื่อก่อนเขาก็พูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ
เมื่อเห็นว่าฟังหยวนออกไปจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว ถังโจวโจวก็พ่นลมหายใจออกมายาวยืด ในที่สุดก็ได้นอนพักเสียที เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นท่าทางโล่งอกโล่งใจของถังโจวโจว เขาก็ถามติดตลกว่า “ทำไม คุณไม่อยากให้ฟังหยวนอยู่?”
“เปล่าค่ะ เขาแค่มาไม่ถูกเวลา ฉันอยากพักผ่อนค่ะ เซ่าเชิน คุณมาช่วยฉันปรับเตียงหน่อยได้ไหมคะ”
เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวตอบคำตอบได้ไม่ตรงใจเขา ลั่วเซ่าเชินก็ค่อนข้างขุ่นเคืองใจ แต่นี่เป็นเพียงอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขา เขาไม่อยากให้ถังโจวโจวรู้ “ได้สิ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ลั่วเซ่าเชินวางโน้ตบุ๊กไว้บนโซฟาและลุกขึ้นไปช่วยถังโจวโจวปรับเตียง จากนั้นเขาก็ห่มผ้าห่มให้ถังโจวโจว เมื่อลั่วเซ่าเชินมองดูเธอนอนหลับตา เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงรู้สึกง่วงไปด้วย เขาจึงล้มตัวลงนอนข้างถังโจวโจว
พวกเขานอนหลับสบายอยู่ภายในห้องพักผู้ป่วย ไม่มีใครเข้ามารบกวนการนอนของพวกเขา แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง… เมื่อตอนที่หันฮุ่ยซินมาถึง เธอพบว่าภายในห้องนั้นเงียบสงัด เธอค่อยๆ แง้มประตูเปิดและเดินเข้าไป เมื่อเธอมองไปยังเตียงผู้ป่วย เธอก็เห็นลั่วเซ่าเชินกำลังนอนกอดถังโจวโจวอยู่
หันฮุ่ยซินจ้องมองพวกเขาอยู่นาน จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องไป ในมุมที่เธอมองไม่เห็น ลั่วเซ่าเชินลืมตาขึ้นมาดูพอดี แต่พอเห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็ปิดตาลงนอนต่อในทันที
หันฮุ่ยซินนึกถึงภาพที่เธอเพิ่งได้เห็นเมื่อครู่นี้ เธอเริ่มยอมรับกับตัวเองอย่างช้าๆ ลั่วเซ่าเชินไม่ใช่อาเชินคนเดิมของเธออีกต่อไปแล้ว ภรรยาของเขาคือถังโจวโจว พวกเขาสองคนต่างหากที่เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถนอนบนเตียงหลังเดียวกันได้
เธอเป็นได้แค่ความทรงจำในวัยเยาว์ของลั่วเซ่าเชิน ทุกวันนี้เธอไม่ได้เป็นอะไรสำหรับเขาแล้ว แต่หันฮุ่ยซินก็นึกถึงท่าทีที่แปลกไปของลั่วเซ่าเชินที่มีต่อเธอ เธอรู้สึกว่าเธอคิดตื้นเกินไป บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าถังโจวโจวแท้งลูก ลั่วเซ่าเชินจึงเป็นห่วงเป็นใยเธอแบบนี้
มันก็เหมือนกับตอนนั้นที่เธอเข้าโรงพยาบาล ลั่วเซ่าเชินเองก็ใส่ใจเธอมากไม่ใช่หรือ? ทันใดนั้นความเชื่อมั่นของหันฮุ่ยซินก็กลับมาอีกครั้ง ใช่! เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้ อาเชินแค่เห็นใจถังโจวโจว จริงด้วย ต้องเป็นแบบนั้นแน่!
หันฮุ่ยซินยังคงอารมณ์ดีเหมือนกับตอนที่เธอมา และเมื่อเธอออกมาจากโรงพยาบาล ก็ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีมากกว่าตอนที่เธอมาถึงเสียอีก
เมื่อถังโจวโจวตื่นขึ้นมา เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ เธอ แต่เขากำลังนั่งทำงานอยู่บนโซฟา และที่ด้านข้างของโซฟาก็มีโต๊ะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยกองเอกสาร
“ผู้ช่วยหวังมาหรือคะ” ถังโจวโจวมองดูแฟ้มเอกสารเหล่านั้นและเอ่ยถาม
“อืม ผมให้เขาเอาเอกสารที่ผมต้องเซ็นมาให้” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวตื่นแล้ว เขาก็วางโน้ตบุ๊กลงที่ข้างตัว ก่อนจะปรับเตียงให้สูงขึ้น เพื่อให้ถังโจวโจวได้เอนพิงอย่างสบายๆ
ถังโจวโจวเห็นว่าเพราะลั่วเซ่าเชินมัวแต่ง่วนอยู่กับเธอ เขาก็เลยทำงานได้ล่าช้า เธอจึงเกลี้ยกล่อมเขา “เซ่าเชิน คุณกลับไปทำงานที่บริษัทดีกว่าไหมคะ ฉันอยู่คนเดียวได้ แบบนี้มันจะลำบากคุณ”
แต่ลั่วเซ่าเชินไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร ผมโอเค คนลำบากน่ะไม่ใช่ผมหรอก หวังหวาเองก็เต็มใจทำ เงินเดือนของผมจะได้ไม่สูญเปล่าไง” ลั่วเซ่าเชินคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหา ให้พูดอีกทีก็คือ มีหรือที่หวังหวาจะกล้ามีปากมีเสียง
ลั่วเซ่าเชินคิดว่าเขาจะทำงานแบบนี้ไปจนกว่าถังโจวโจวจะหายดี หวังหวาดูออกว่าท่านผอ. เป็นห่วงเป็นใยในสุขภาพของถังโจวโจวหลังแท้งลูกครั้งนี้มาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดโอดครวญใดๆ กลับกันเขาก็แค่ต้องตั้งใจทำงานให้มากขึ้น
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ เธอก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เรื่องที่ลั่วเซ่าเชินได้ตัดสินใจลงไปแล้ว แทบจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ถังโจวโจวก็เข้าใจดี ในเมื่อเขาไม่ลำบาก เธอกังวลไปก็เปล่าประโยชน์ บางทีเขาอาจจะชอบแบบนี้ก็ได้!
เมิ่งชิงซีไม่ได้ไปเยี่ยมถังโจวโจวอีกเลย กลับกันเธอเดินทางมาที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าวันนี้จู่ๆ เมิ่งชิงซีก็โผล่มาหลังจากที่หายหน้าไปหลายวันแล้ว เธอก็รู้สึกดีอกดีใจ “ชิงซี มาได้ยังไงลูก”
เมิ่งชิงซีถือของมาสองกล่อง เธอยิ้มพลางพูดกับคุณแม่ลั่วว่า “คุณแม่เพิ่งจะได้ไวน์มาสองขวดค่ะ หนูก็เลยเอามาให้คุณลุงชิม”
คุณแม่ลั่วยิ้มพลางรับของ แล้วเธอก็ให้แม่นมจ้าวเอาไปเก็บ เธอจับมือของเมิ่งชิงซีขึ้นมาแล้วพูดว่า “รบกวนคุณแม่หนูแย่เลย แล้วไหนจะยังรบกวนให้หนูเอามาให้อีก” คุณแม่ลั่วรู้สึกละอายใจต่อเมิ่งชิงซีไปชั่วขณะ เธอมองดูเมิ่งชิงซีด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากขึ้น
เมิ่งชิงซีไม่ได้สนใจคำพูดหวานหูของคุณแม่ลั่ว หลังจากครั้งก่อนที่คุณแม่ลั่วเปลี่ยนไป เธอก็ไม่อยากเชื่อคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของคุณแม่ลั่วเลย และที่เธอมาในวันนี้ เธอก็มีแค่จุดประสงค์เดียวเท่านั้น เพื่อเรียกเอาความรักที่คุณแม่ลั่วมีต่อเธอคืนมา!
คุณป้าอยากได้หลานชายมากเลยนี่! เพราะถังโจวโจวท้อง เธอจึงได้รับความห่วงใยจากคุณแม่ลั่ว แต่ความห่วงใยนี้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ถังโจวโจวจะต้องคลอดลูกชายออกมา แต่ตอนนี้ถังโจวโจวแท้งลูกไปแล้ว ดูสิว่าเธอจะยังได้รับความโปรดปรานจากคุณแม่ลั่วอยู่อีกไหม
เมิ่งชิงซีพูดราวกับว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ “คุณป้าคะ หลังๆ มานี้เซ่าเชินกับโจวโจวได้กลับมาเยี่ยมบ้างไหมคะ”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะกลับมาเมื่อสองสามวันที่แล้วนะจ๊ะ โจวโจวยังบอกอยู่เลยว่าเด็กในท้องแข็งแรงดี” คุณแม่ลั่วดูตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อพูดถึงเด็กที่อยู่ในท้องของถังโจวโจว รออีกเพียงไม่นาน เธอก็จะได้อุ้มหลานแล้ว
เมิ่งชิงซีเองก็ยิ้มรับ “จริงเหรอคะ! เยี่ยมไปเลยค่ะ ดูเหมือนว่าเร็วๆ นี้คุณป้าก็จะได้อุ้มหลานแล้วนะคะ หนูขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลย”
“ชิงซี นี่มันยังไม่แน่นอนเลยลูก ไม่รู้ว่าเด็กในท้องของโจวโจวเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ถึงยังไงมันก็ยังมีความหวัง” คุณแม่ลั่วพูดอย่างพยายามไม่ใส่ใจในเรื่องนั้น
แต่เมิ่งชิงซีกลับรู้สึกว่าคุณแม่ลั่วช่างหน้าไม่อาย ยังไม่ทันได้รู้เลยว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง แค่นี้ก็เปลี่ยนจากเกลียดเป็นชอบได้แล้ว ซ้ำยังไม่กลัวว่าตัวเองจะเสียผู้ใหญ่ด้วย
บนใบหน้าของเมิ่งชิงซีก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “คุณป้าคะ ได้ผู้หญิงก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่คะ ตราบใดที่โจวโจวยังมีความพยายาม สักวันหนึ่งคุณป้าก็จะได้อุ้มหลานชายอย่างแน่นอน”
“ชิงซี หนูพูดได้ตรงใจป้าจริงๆ” คุณแม่ลั่วกุมมือของเมิ่งชิงซี เธอตื่นเต้นราวกับว่าได้เจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์
แต่จู่ๆ เมิ่งชิงซีก็ก้มหน้าลงและพูดอย่างหดหู่ว่า “น่าเสียดายที่หนูไม่มีบุญวาสนา ไม่สามารถช่วยให้คุณป้าคลายความทุกข์ได้ แต่นี่มันก็เป็นชะตาของหนูเอง ขอแค่ให้คุณป้าได้ทุกอย่างสมดังใจ หนูก็ไม่ต้องการอะไรแล้วค่ะ”
เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าตัวเองยังไม่ทันได้เอ่ยปลอบ เมิ่งชิงซีก็จัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว เธอรู้สึกผิดขึ้นมาไปชั่วขณะ คุณแม่ลั่วเกือบจะพลั้งปากขอให้เมิ่งชิงซีมาเป็นลูกสะใภ้ของเธออีกครั้ง แต่เมื่อเธอนึกถึงเด็กที่อยู่ในท้องของถังโจวโจว อารมณ์ชั่ววูบนั้นก็หยุดชะงักไป
“โธ่ ชิงซี หนูเป็นเด็กดีนะลูก ป้าไม่มีบุญเองต่างหาก ที่ไม่ได้ลูกสะใภ้ดีๆ อย่างหนู” คุณแม่ลั่วกล่าวคำที่สวยหรู แม้ว่าเมิ่งชิงซีจะโกรธ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า เธอก็ยังคงแสร้งทำเป็นว่าเธอคล้อยตามไปกับคำพูดนั้น เธอรู้สึกเหนื่อยไปชั่วขณะ
เมิ่งชิงซีอยู่คุยกับคุณแม่ลั่วอยู่นาน ในขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นบอกลา เธอก็เห็นว่าคนขับรถไปรับลั่วอิงกลับมาแล้ว เธอจึงยืดตัวตั้งตรงอีกครั้ง “ลั่วอิง กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ”
เมื่อลั่วอิงเห็นเมิ่งชิงซีนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เธอก็ไม่สนใจ เธอเอ่ยทักคุณแม่ลั่วและตรงขึ้นไปชั้นบนทันที คุณแม่ลั่วรู้สึกเก้อแทนอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของเมิ่งชิงซี เธอก็รู้ว่าเมิ่งชิงซีคงไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ จากนั้นเธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ
“คุณป้าคะ ตอนนี้ลั่วอิงอยู่ที่นี่หรือคะ”
“ใช่จ้ะ อาเชินบอกว่าเขากับโจวโจวมีธุระ เขาก็เลยฝากลั่วอิงไว้ที่นี่ก่อนสักสองสามวัน แล้วเดี๋ยวพวกเขาจะมารับเธอกลับไป”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าเซ่าเชินกับโจวโจวมัวแต่ยุ่งอะไรอยู่ ทำไมแม้แต่ลั่วอิงก็ยังดูแลไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโจวโจวหรอกนะคะ”
เมิ่งชิงซีเห็นว่าสีหน้าของคุณแม่ลั่วเปลี่ยนไปในทันที เธอรีบพูดต่อว่าตัวเอง “ตายจริง คุณป้าดูสิคะ หนูพูดอะไรออกไปก็ไม่รู้ โจวโจวยังสบายดีอยู่แน่นอนค่ะ คุณป้าคะ นี่ก็เย็นมากแล้ว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ”
คุณแม่ลั่วที่เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินเมิ่งชิงซีบอกว่าจะกลับ เธอก็รีบลุกขึ้นไปส่ง “ชิงซี อยู่กินข้าวด้วยกันแล้วค่อยกลับดีกว่าไหมลูก”
“ไม่ดีกว่าค่ะคุณป้า หนูบอกกับคุณแม่เอาไว้ว่าจะกลับไปทานข้าวที่บ้าน ตอนนี้คุณแม่ก็น่าจะรอหนูอยู่ หนูมัวแต่คุยกับคุณป้าเพลิน จนลืมเวลาไปเลยน่ะค่ะ” เมิ่งชิงซีบอกลาคุณแม่ลั่วและขับรถออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลลั่ว
ทางด้านของคุณแม่ลั่ว หลังจากที่เมิ่งชิงซีกลับไปแล้ว เมื่อเธอยิ่งคิด เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เธอโทรหาลั่วเซ่าเชิน เขาไม่ได้บอกในทันทีว่าถังโจวประสบอุบัติเหตุหรือไม่ เป็นเธอเองที่ถามเขาไปก่อนว่าเขาอยู่ที่ไหน ลั่วเซ่าเชินบอกว่าเขาอยู่ที่บริษัท เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าเธอไม่ได้ข้อมูลอะไรจากปากของเขาเลย เธอก็ได้แต่วางสายไป
เมื่อคุณแม่ลั่วมาคิดๆ ดูแล้ว เธอก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เธอจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เธอจะไปที่บ้านของลั่วเซ่าเชิน พอดีกันกับที่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็บอกได้ว่าเธอมาส่งลั่วอิงกลับบ้าน ถึงตอนนั้นอาเชินก็ดูไม่ออกหรอก ถ้าคุณแม่ลั่วยังไม่เห็นกับตา เธอก็ไม่สามารถวางใจได้
คุณแม่ลั่วพูดจริงทำจริง วันรุ่งขึ้นเธอพาลั่วอิงไปที่บ้านของลั่วเซ่าเชินทันที เมื่อคนขับรถเคลื่อนรถเข้าไปใกล้ๆ ลั่วอิงก็เห็นว่ามีรถจอดอยู่หน้าบ้าน และป้าหลิวเองก็ถือของหอบขึ้นรถไป
“นั่นป้าหลิวนี่คะ ป้าหลิวกำลังจะไปไหนนะ”
คุณแม่ลั่วถูกดึงดูดความสนใจด้วยคำพูดของลั่วอิง เธอถามในทันทีว่า “ลั่วอิง หนูรู้จักเหรอลูก”
“รู้จักสิคะ แม่บ้านที่คุณพ่อจ้างมา ป้าหลิวค่ะ” ลั่วอิงตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
คุณแม่ลั่วเองก็รู้สึกแปลกๆ หากเป็นอย่างนั้นจริง เวลานี้แม่บ้านหลิวควรจะทำงานอยู่ในครัวสิ แต่ตอนนี้เธอจะนั่งรถออกไปไหน คุณแม่ลั่วพูดกับคนขับรถ “ตามรถคันข้างหน้าไป”
คนขับรถตามไปอย่างช้าๆ คุณแม่ลั่วก็คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของรถคันหน้า เธอพบว่าท้ายที่สุดแล้ว รถก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นคนขับลงจากรถ เธอก็พบว่าเขาคือผู้ช่วยหวังนี่เอง อาเชินประสบอุบัติเหตุเหรอ?