ตอนที่ 372 คำพูดฝ่ายเดียว
เมื่อวิ่งไปที่หน้าประตูรั้วบานใหญ่ เธอก็บอกให้ลุงยามเปิดประตูให้ ลั่วอิงพุ่งตัวออกไป ก่อนจะตะโกนเรียกออกไปด้วยเสียงดัง “คุณพ่อ! ” ความจริงแล้วเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลั่วเซ่าเซินยืนอยู่ตรงไหนกันแน่ เพียงแต่ว่าตื่นเต้นดีใจมากเกินไป ทำให้เธอดูต่างไปจากปกติสักหน่อย
ลั่วเซ่าเซินปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เธอ แม้จะดูท่าทางทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำลายรูปลักษณ์ภายนอกอันสง่างามของเขาแต่อย่างใด
“ลูกรัก หนูคิดถึงพ่อหรือเปล่า?” ลั่วเซ่าเซินอุ้มลั่วอิงหมุนเป็นวงกลมอยู่หลายรอบ สนุกเสียจนลั่วอิงหัวเราะร่า
“ต้องคิดถึงคุณพ่อแน่สิคะ! หนูคิดถึงคุณพ่อทุกวันนั่นแหละค่ะ” ลั่วอิงโอบลำคอของลั่วเซ่าเซินเอาไว้ ก่อนกระซิบให้คุณพ่อฟัง
“คิดถึงพ่อก็ดีแล้ว พ่อเองก็คิดถึงลูกเหมือนกัน เดี๋ยวไปกินมื้อเช้ากับพ่อไหม?”
“ดีสิคะ คุณแม่โจวโจวเองก็ยังไม่ได้กินมื้อเช้าเหมือนกัน พาคุณแม่ไปด้วยสิคะ!”
ลั่วเซ่าเซินมองถังโจวโจวด้วยความรอคอย วาดหวังให้เธอตอบตกลง
แต่น่าเสียดายที่หู่พั่วไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของเขา “ลั่วอิง หนูไปกับคุณพ่อเถอะจ้ะ! เดี๋ยวเสี่ยวอวี่ก็จะตื่นนอนแล้ว เขาต้องการฉันน่ะจ้ะ”
ลั่วเซ่าเซินนึกย้อนกลับไป อีกเดี๋ยวจะมีสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยต่อหน้าถังโจวโจว มีเพียงเขาและลั่วอิงที่คุยกันได้แค่สองคนเท่านั้น เพราะอย่างนั้นไม่พาถังโจวโจวไปด้วยก็ดีแล้ว อย่างนี้เขาก็จะถามเอาความจากลั่วอิงได้ ทำความเข้าใจกับสถานะของศัตรูให้ดียิ่งขึ้น
“อย่างนั้นก็ได้ ลั่วอิง ไหนๆ คุณแม่โจวโจวก็ไม่ว่างแล้ว งั้นเราไปกันสองคนเนอะ พ่อไม่ได้คุยกับลูกมาตั้งนานแล้ว” ลั่วเซ่าเซินส่งสายตาให้ลั่วอิงรับรู้ ลั่วอิงเองก็เข้าใจแล้ว คุณพ่ออยากคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวนี่เอง
“คุณแม่โจวโจว ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันก่อนนะคะ” ลั่วอิงกับหู่พั่วโบกมือให้กัน มือข้างหนึ่งของลั่วเซ่าเซินก็คว้ากระเป๋าเดินทางไว้ มืออีกข้างหนึ่งจูงมือลั่วอิง ทั้งสองคนเดินเลาะไปตามเส้นทางลงจากเขา
หู่พั่วเห็นว่าพวกเขาเดินกันไปได้ไกลแล้วถึงได้เข้ามาข้างใน เมื่อเพิ่งจะเข้ามาถึงห้องรับแขกก็พบว่าเฉินหลานอีกำลังมองเธอลงมาจากชั้นบน เธอเห็นว่าหู่พั่วเดินเข้ามาจากข้างนอก อีกทั้งยังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกไปข้างนอกแล้ว จึงถามขึ้น “หู่พั่ว ไปไหนมาตั้งแต่เช้าเหรอ?”
“เมื่อกี้คุณลั่วมาที่นี่ค่ะ หนูเลยออกไปส่งลั่วอิง สองพ่อลูกเขาจะไปกินมื้อเช้าด้วยกันน่ะค่ะ” หู่พั่วบอกเรื่องที่ลั่วเซ่าเซินมาที่นี่ให้เฉินหลานอีฟัง
“หา? ลั่วเซ่าเซินสามีของลูกน่ะเหรอ!?” เพราะด้วยความเป็นจริงที่หู่พั่วไม่ได้หย่ากับลั่วเซ่าเซิน ดังนั้นเฉินหลานอีจึงยังถือว่าเขาเป็นสามีของหู่พั่ว เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
“ตอนนี้ความสัมพันธ์ของหนูกับเขาก็เหลือแค่ลั่วอิงคนเดียว ไม่มีอย่างอื่นแล้วคะ ต่อไปแม่เรียกแค่ชื่อของเขาก็พอ ไม่ต้องเรียกเขาว่าสามีของหนูหรอกค่ะ”
เฉินหลานอีฟังออกถึงความไม่พอใจของหู่พั่ว ลูกคนนี้ดูจะโมโหร้ายตั้งแต่เช้าเลย ใครไปทำอะไรให้เธอโกรธหรือเปล่า?
“โอเค แม่รู้แล้วจ้ะ แม่จะไม่พูดแบบนี้อีก ลั่วเซ่าเซินพาลั่วอิงออกไป เขาได้บอกหรือเปล่าว่าจะกลับเมื่อเมื่อไหร่?”
เฉินหลานอีไม่ได้อาลัยอาวรณ์ในตัวลั่วเซ่าเซิน ในสายตาของเธอลั่วเซ่าเซินเป็นแค่สามีของลูกสาวเธอก็เท่านั้น ถ้าลูกสาวของเธอไม่เต็มใจ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นลูกเขยของเธอ แน่นอนว่าเฉินหลานอีให้ความสำคัญกับลั่วอิง หลานสาวแท้ๆ ของเธอมากกว่า
“ไม่ได้บอกค่ะ แต่หนูว่าเขาคงไม่พาตัวลั่วอิงกลับไปโดยไม่บอกไม่กล่าวหรอก อย่างน้อยก็น่าจะบอกหนูสักหน่อย” หู่พั่วมั่นใจอย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าเธอไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน
“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็วางใจจ้ะ” ได้ฟังว่าเฉินหลานอีวางใจเรื่องของลั่วอิง ขอเพียงให้ลั่วเซ่าเซินไม่พาลั่วอิงหนีไป เฉินหลานอีก็จะไม่เป็นกังวลกับเรื่องอื่นๆ อีก
ถ้าเฉินหลานอีได้สัมผัสกับตัวตนของลั่วเซ่าเซินสักครั้งสองครั้ง เธอก็จะรู้ว่า ลั่วเซ่าเซินเป็นคนที่เธอไม่สามารถไล่ออกไปได้ นอกจากว่าหู่พั่วจะไปกับเขาด้วย ไม่อย่างนั้นลั่วเซ่าเซินก็จะไม่ไปจากที่นี่
“แม่คะ หนูไปดูเสี่ยวอวี่ก่อนนะคะว่าตื่นหรือยัง”
“ได้จ้ะ ลูกไปเถอะ”
หู่พั่วขึ้นไปยังชั้นสอง เข้าไปในห้องของตัวเอง เห็นว่าเสี่ยวอวี่ตื่นแล้ว เขานอนคว่ำตัวเล่นอยู่คนเดียว ไม่ได้ร้องไห้งอแงเพราะว่าเธอไม่อยู่ หู่พั่วจึงรีบเข้าไปที่ข้างเตียง “ตื่นแล้วเหรอลูก แม่จะพาหนูลงไปกินข้าวนะ
ตอนที่ 373 ป้อนเสี่ยวอวี่กินข้าว
“มา…มา มามา…”
“รู้แล้วจ้ะๆ ลูกหิวแล้วล่ะสิ อีกเดียวก็จะได้กินข้าวแล้วนะจ๊ะ” หู่พั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกชาย ก่อนกระวีกระวาดอุ้มเขาลงจากชั้นบน เฉินหลานอีนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว พอเห็นว่าพวกเธอมาถึงก็รีบให้พ่อบ้านเพิ่มอาหารอีกสองที่
“นั่งลงเร็วเข้า โอ้โห เสี่ยวอวี่ตื่นแล้วเหรอ! เห็นคุณยายแล้วดีใจหรือเปล่า?” เฉินหลานอีใจหนึ่งก็จดจ้องไม่ให้เสี่ยวอวี่ยื่นมือลงไปในจาน อีกใจก็จดจ้องว่าเมื่อไรพ่อบ้านจะนำอาหารมาเสิร์ฟ สองจิตสองใจ ลุกลี้ลุกลน
ไม่นานนัก พ่อบ้านก็เข้ามาพร้อมคนรับใช้ที่ตามมาอีกสองคน ทุกคนต่างถือจานใบสีเงิน บนจานใบหนึ่งมีแซนด์วิชกับนมสดของเฉินหลานอี จานอีกใบหนึ่งมีโจ๊กชามหนึ่งวางอยู่
นี่เป็นโจ๊กที่เตรียมเอาไว้ให้เสี่ยวอวี่โดยเฉพาะ โจ๊กที่ถูกตุ๋นจนเหนียวข้น เมื่อใส่เข้าในปากก็ละลายทันที เป็นสิ่งที่เสี่ยวอวี่ชอบกินเป็นที่สุด เพิ่มน้ำตาลเล็กน้อย มีรสหวานอ่อนๆ เป็นที่ชื่นชอบของเสี่ยวอวี่
ได้เห็นอาหารที่คุ้นตาแถมยังอร่อยเป็นหนักหนา เสี่ยวอวี่ก็ไม่ยอมอยู่ในอ้อมแขนของเฉินหลานอีอีกต่อไป เขาดิ้นรนจะกระโจนเข้ามาหาหู่พั่ว “แอ้…”
“มาให้แม่อุ้มนะ!” หู่พั่วใช้มือคนโจ๊กให้เข้ากัน ก็เห็นว่าเสี่ยวอวี่อดทนรอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว จึงไม่กล้าหยอกล้อกับเขาอีก ประเดี๋ยวแกล้งจนลูกร้องไห้แล้วจะจัดการกันไม่ไหว
เฉินหลานอีส่งตัวเขาเข้าไปในอ้อมแขนของหู่พั่ว หู่พั่วป้อนให้ข้าวเจ้าหนูตัวแสบก่อน รอจนเขาอิ่มแล้ว ถึงเป็นเวลากินข้าวของเธอ
ช่วงหน้าหนาวจะต้องป้อนข้าวเสี่ยวอวี่ให้เร็วขึ้นหน่อย ไม่อย่างนั้นหากวางไว้ข้างนอกนานจะเย็นชืดอย่างรวดเร็ว ถ้าหู่พั่วป้อนข้าวให้เขาก่อนแล้วค่อยกินของตัวเอง อาหารก็เย็นชืดไปหมด กินแบบนี้ไปนานๆ เข้าจะไม่ดีกับท้องไส้ของเธอ
“หู่พั่ว ป้อนเสี่ยวอวี่เสร็จแล้วก็รีบกินข้าวเข้าสิ”
“ค่ะแม่ หนูรู้แล้ว แม่กินก่อนเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวค่อยช่วยหนูอุ้มเสี่ยวอวี่” หู่พั่วป้อนเสี่ยวอวี่เสร็จแล้ว เฉินหลานอีเองก็จัดการมื้อเช้าของเธอเรียบร้อยพอดี
ให้เฉินหลานอีรับช่วงต่อจากหู่พั่ว ส่วนตัวเธอก็ตั้งอกตั้งใจกินมื้อเช้าของตัวเอง บ่อยครั้งที่สองแม่ลูกดูแลเสี่ยวอวี่ด้วยวิธีนี้ เคยคิดว่าจะให้แม่นมเป็นคนอุ้ม แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเสี่ยวอวี่อยู่ในมือของคนอื่นทีไรก็ร้องไห้งอแงไม่หยุด
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงลั่วเซ่าเซินถึงพาลั่วอิงเดินลงมาถึงตีนเขา เขารีบเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งพวกเขาไปยังร้านอาหารที่ใกล้ที่สุด
เดินมานานขนาดนี้ ไม่ใช่ลั่วเซ่าเซินคนเดียวที่หิวโซ ลั่วอิงเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก เธอไม่คิดว่าการมากินข้าวกับพ่อจะต้องใช้ระยะเวลาเดินถึงครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางลั่วอิงยังถามลั่วเซ่าเซินอยู่ว่าทำไมถึงไม่ขับรถมา ทำเอาลั่วเซ่าเซินเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบเธออย่างไรดี
รถแท็กซี่จอดลงที่หน้าร้านอาหารเช้า ลั่วเซ่าเซินถือกระเป๋าเดินทางพาลั่วอิงเข้าไปนั่งในร้าน ก็พบว่าส่วนใหญ่เป็นอาหารจำพวกแป้ง ตัวเลือกที่เป็นซุปหรือกับข้าวร้อนๆ แทบไม่มีเลย
ลั่วเซ่าเซินดูเมนูอยู่สักครู่ สุดท้ายก็สั่งเกี๊ยวมาสองชาม หลังจากนั้นถึงได้สั่งข้าวผัดมาอีกหนึ่งจาน ตอนนี้เขาหิวจนท้องฟีบไปหมดแล้ว ถ้ายังปล่อยให้หิวต่อไป เห็นทีว่าจะกินวัวได้ทั้งตัว
“เถ้าแก่ เร็วหน่อยนะครับ” อาจเป็นเพราะว่าอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร นอกจากร้านอาหารข้างทางสำหรับคนขับรถก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย
ลั่วเซ่าเซินรอให้ลั่วอิงกินเกี๊ยวรองท้องก่อน ถึงได้เริ่มเอ่ยถาม “ลูกรัก สองวันนี้อยู่กับคุณแม่โจวโจวเป็นยังไงบ้าง? ในปราสาทยังมีใครอยู่อีกหรือเปล่า ลุงโอวหยางหงที่เจอกันเมื่อคราวก่อนก็อยู่ที่นั่นด้วยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ดูเหมือนว่าคนที่อาศัยอยู่ในปราสาทจะเป็นครอบครัวของลุงโอวหยาง เพราะว่าเขาเรียกคุณตาคุณยายว่าพ่อกับแม่ แล้วคุณแม่โจวโจวก็เรียกคุณยายว่าแม่ด้วย”
ลั่วเซ่าเซินไม่ค่อยเข้าใจความคิดของลั่วอิงสักเท่าไร คิดอยู่สักครู่ เขาถึงเรียบเรียงคำถามออกมาได้ “ลูกหมายความว่าคนที่อยู่ในปราสาทเป็นคนในครอบครัวของลุงโอวหยาง แล้วแม่ของลุงโอวหยางใช่คนเดียวกับแม่ของคุณแม่โจวโจวหรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ คุณยายเป็นคนดีมากๆ ดีกับหนูมากๆ เลยค่ะ” ลั่วอิงรู้สึกว่าเฉินหลานอีดีกับเธอยิ่งกว่าคุณย่าของเธอเสียอีก นี่ทำให้ลั่วอิงมีความสุขมากทีเดียว