ถังโจวโจวพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกหลายวัน กระทั่งเธอคอยย้ำกับลั่วเซ่าเชินอยู่หลายครั้งว่าเธออยากกลับบ้านแล้ว ลั่วเซ่าเชินไม่อยากขัดใจเธอ หลังจากที่เขาไปถามคุณหมอมา คุณหมอก็อนุญาตให้เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ เพียงแต่ต้องระมัดระวังให้มาก ลั่วเซ่าเชินจึงเห็นด้วยกับคำขอของถังโจวโจว
เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้ออกตามหาเธออีก เธอก็กลับสู่การใช้ชีวิตในสภาวะปกติ ดูเหมือนว่าพี่เซ่าเชินจะไม่ได้สงสัยฉัน เมิ่งชิงซีค่อนข้างพอใจในเรื่องนี้ ตราบใดที่ลั่วเซ่าเชินยังไม่มีหลักฐาน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้
ส่วนหันฮุ่ยซิน เธอไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลอีกเลย ตอนนี้เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปที่สตูดิโอสอนเต้น นับตั้งแต่เธอเปิดกิจการ สตูดิโอของเธอก็ค่อยๆ เข้าที่เข้าทางดีขึ้นตามลำดับ
และเป็นเพราะว่าคุณแม่ลั่วยังโกรธที่ลั่วเซ่าเชินเอาแต่เข้าข้างถังโจวโจว เธอจึงไม่ไปที่โรงพยาบาลอีกเลย ยิ่งเรื่องไปเยี่ยมถังโจวโจว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่ลั่วและถังโจวโจวที่กำลังจะไปได้ดี กลับต้องมาแตกหักกันอีกครั้ง
ไม่กี่วันต่อมา ฟังหยวนก็มาเยี่ยมถังโจวโจว บังเอิญมากที่แต่ละครั้งที่เขามา หลินเหยาก็จะอยู่ตรงนั้นด้วย และเมื่อเขาขอตัวกลับ เขาก็จะอาสาไปส่งหลินเหยาที่สำนักพิมพ์ทุกครั้ง พอนานวันเข้า หลินเหยาและฟังหยวนก็คุ้นเคยกันมากขึ้น
หลังจากที่ถังโจวโจวนอนพักอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็ยอมให้เธอออกไปเดินเล่น ถังโจวโจวรู้สึกว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้น เธอใช้ชีวิตเหมือนหมูก็ไม่ปาน วันๆ เอาแต่ถูกป้อนซุปป้อนแกงใส่ท้องของเธอ อีกทั้งคุณแม่ถังก็หิ้วของบำรุงต่างๆ มาให้เธอกินในทุกครั้งที่มาเยี่ยมเธอ
ถังโจวโจวนัดหลินเหยาออกมาเดินเล่น หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ตัวเธอแทบจะขึ้นราอยู่แล้ว แม้ว่าเธอจะอยากออกมาแค่ไหน แต่คุณแม่ถังกับลั่วเซ่าเชินก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ถังโจวโจวก็เถียงพวกเขาไม่ได้ เธอจึงทำได้แค่เพียงนอนอยู่บนเตียง หรือไม่ก็ไปหาอะไรอ่านที่ห้องหนังสือสักพัก แต่เธอก็อ่านไม่ได้นาน
เพราะว่าลั่วเซ่าเชินสั่งให้ป้าหลิวมาดูแลเธออย่างใกล้ชิด ถ้าถังโจวโจวไม่เชื่อฟัง เธอจะโดนลั่วเซ่าเชินโจมตี เขาไม่ได้ใช้วิธีพูดอะไรที่รุนแรง เขาแค่ส่งลั่วอิงมาเท่านั้น เพียงลั่วอิงส่งสายตาใสซื่อบริสุทธิ์ไปให้ถังโจวโจว เธอก็หยุดตอบโต้ทุกอย่างแล้ว
หลินเหยาตอบตกลง พวกเธอสองคนเลือกวันนี้ที่สภาพอากาศช่างเป็นใจ แม้ว่าจะมีเมฆมาก แต่ก็โชคดีที่ฝนไม่ตก สภาพอากาศโดยรวมค่อนข้างชื้นและหนาวเย็น ถังโจวโจวสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นมาก เธอสวมเสื้อกันหนาวบุปุยฝ้ายสีน้ำเงิน ด้านล่างจับคู่กับรองเท้าลุยหิมะ และพันผ้าพันคอสีเบจไว้
เธอสวมหมวกไหมพรมสีดำไว้บนศีรษะ มองดูก็รู้แล้วว่ามันอบอุ่นมาก หลินเหยาไม่ได้สวมเสื้อผ้าหนาอย่างเธอ เธอสวมเพียงเสื้อหนังสีดำ คู่กับกางเกงหนังขายาว และรองเท้าหนังปักหมุดหนึ่งคู่ ประกอบกับตอนนี้เธอตัดผมสั้น เมื่อมองดูรวมๆ แล้ว เธอจึงดูเท่มาก
ถังโจวโจวรู้สึกอิจฉามาก เมื่อเห็นชุดของหลินเหยา “เท่มากเลย เหยาเหยา นี่ถ้าเธอเดินด้วยกันกับฉัน คนอื่นเขาจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันไหมเนี่ย”
ถังโจวโจวมองดูตัวเองอีกครั้ง มันอบอุ่นก็จริง แต่ก็เทอะทะมาก ลั่วเซ่าเชินขอร้องให้เธอแต่งตัวแบบนี้ เหตุผลก็คือเธอเพิ่งจะหายดี ต้องสวมเสื้อที่มันอบอุ่น มิฉะนั้นถ้าเธอป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร
เมื่อถังโจวโจวคิดตาม เธอก็คิดว่าเขาพูดถูก แต่มันจะไม่เสียหายเลยถ้าหากว่าไม่มีการเปรียบเทียบกับใครแบบนี้ เมื่อเทียบกับหลินเหยาแล้ว เธอก็ดูเป็นคนธรรมดาที่ถูกทิ้งอยู่ข้างถนน ไม่มีอะไรให้สะดุดตาเลยสักนิด
แม้ว่าถังโจวโจวจะอิจฉา แต่เธอก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่เช่นนั้นเธอก็คงจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไม่ทนรอมาจนถึงตอนนี้หรอก
หลินเหยาเองก็รู้ดีว่าช่วงนี้ถังโจวโจวอยู่ติดบ้านจนเบื่อมากแล้ว แต่ละครั้งที่มาเยี่ยม เธอก็จะออกปากบ่นทุกเรื่อง นี่ถ้าไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรก็คงจะคิดว่าเธอถูกขังอยู่ในคุก บางครั้งที่หลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวบ่นมากเกินไป ก็อดไม่ได้ที่จะเอ็ดเธอเหมือนกัน
แต่โดยทั่วไปแล้วถังโจวโจวจะสงบอยู่พักหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นเธอก็จะเริ่มพูดอีกครั้ง หลินเหยารู้สึกว่าหลังจากที่เธอประสบอุบัติเหตุ ทักษะการบ่นของถังโจวโจวนั้นเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่หลินเหยาก็ยังรักเธอมากเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวพยายามไม่คิดฟุ้งซ่าน ทุกคนก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว
ตราบใดที่เธอสามารถเดินออกมาจากความทุกข์ได้ หลินเหยาก็จะยอมทำทุกอย่าง แต่ถึงแม้ว่าหลินเหยาจะเต็มใจอยู่ข้างเธอและบางครั้งลั่วเซ่าเชินเองก็ใจอ่อน แต่คุณแม่ถังกลับไม่หลงเล่ห์กลง่ายๆ ของถังโจวโจวเลย
จริงอยู่ที่คุณแม่ถังเป็นคนอ่อนโยน แต่เมื่อมาถึงถังโจวโจว เธอไม่เคยผ่านด่านของคุณแม่ถังไปได้เลย เป็นเพราะคุณแม่ถังคอยจับตามองเธออยู่ตลอด ดังนั้น ถังโจวโจวจึงไม่กล้าสร้างปัญหาอะไร เพราะถ้าเธอยังไม่หายดี วันข้างหน้าเธอจะต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้
“เป็นแฟนกันก็ดีน่ะสิ ช่างสามีเธอ แฟนอย่างฉัน เธอจะไปหาที่ไหนได้?” หลินเหยาแสดงสายตาเจ้าชู้ออกมาให้เห็น เธอใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของถังโจวโจว “น้องหนู ยิ้มให้ป๋าหน่อยสิจ๊ะ”
ถังโจวโจวปัดมือของเธอ “ทะเล้นจริงเธอนี่!”
“เอาละๆ ไม่แกล้งแล้ว เธออยากซื้อของไม่ใช่เหรอ วันนี้ฉันมีเวลาว่างทั้งวัน ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง ดีไหมล่ะ” หลินเหยาโอบไหล่ของถังโจวโจวสบาย เนื่องจากหลินเหยาสูงกว่าถังโจวโจวเล็กน้อย และรองเท้าที่เธอสวมมาในวันนี้ก็สูงพอสมควร
ในขณะที่วันนี้ถังโจวโจวสวมรองเท้าลุยหิมะส้นเตี้ย เมื่อเธอยืนอยู่ข้างหลินเหยาและมองจากด้านหลัง ก็จะดูเหมือนคู่รักอยู่นิดๆ
พวกเธอเดินซบไหล่กันเข้าไปในห้างสรรพสินค้า แม้ถังโจวโจวจะพูดว่าเธอจะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายดูสักวัน แต่เอาเข้าจริงเธอก็ยังขบคิดอยู่ในใจ เงินเดือนและเงินออมของเธอไม่ได้มากพอจะให้เธอใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้หรอก และเมื่อเธอกลับบ้านไปแล้วหลังจากชอปปิงอย่างเต็มที่เสร็จ เธอก็คงจะปวดใจกับข้าวของที่ซื้อมากมายเกินความจำเป็นของเธอเป็นแน่
หลินเหยาลากถังโจวโจวเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง ทันทีที่เข้าไป พวกเธอก็ได้พบคนรู้จัก ถังโจวโจวไม่คิดอยากจะทักทายเลย เธอจึงพยายามดึงหลินเหยาออกไปข้างนอก แต่ใครจะคิดล่ะว่าเมิ่งชิงซีเป็นฝ่ายมาทักทายพวกเธอก่อน
ข้างกายของเมิ่งชิงซีมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งยืนอยู่ เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกเหมือนว่าอายุของพวกเธอไม่ได้แตกต่างกันมาก ถังโจวโจวไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกับเมิ่งชิงซี
“โจวโจว พวกเธอก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ บังเอิญจังเลยนะ” เรื่องของถังโจวโจวผ่านมาได้สักพักแล้ว เมิ่งชิงซีเองก็เกือบจะลืม วันนี้จู่ๆ เธอก็ได้พบกับถังโจวโจว เธอจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ อย่างไรก็ตาม เธอสามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถเอ่ยทักทายถังโจวโจวได้อย่างแนบเนียน
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอเป็นฝ่ายทักทายมา ครั้นจะไม่ตอบกลับก็ไม่ได้ “คุณเมิ่ง บังเอิญจังเลยค่ะ แต่ฉันกับเหยาเหยากำลังจะกลับแล้วค่ะ”
หลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวยังมีกะจิตกะใจทักทายเมิ่งชิงซี ในมุมมองของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นฝีมือของเมิ่งชิงซี แต่เธอก็ยังไม่อยากปล่อยเมิ่งชีงซีไปง่ายๆ แบบนี้
ถังโจวโจวเล่าเรื่องวันนั้นให้หลินเหยาฟังแล้ว เธอบอกว่าเธอรู้สึกลื่นที่ใต้ฝ่าเท้า จากนั้นเธอก็ล้มลงไปเอง เธอน่าจะเหยียบอะไรเข้าสักอย่าง และเมิ่งชิงซีก็คว้าเธอไว้ไม่ทัน จึงทำให้เธอล้มลงไปด้านล่าง เธอไม่อาจผลักความรับผิดชอบไปให้เมิ่งชิงซีได้
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เรื่องนี้มันยังไม่ชัดเจน แต่ถังโจวโจวก็เตรียมป้องกันตัวเองจากเมิ่งชิงซีไว้อยู่เหมือนกัน
“โจวโจว ทำไมกลับเร็วนักล่ะ กว่าจะได้เจอกัน เราไปดื่มกาแฟกันดีไหม อ้อ ฉันลืมแนะนำ นี่แม่ของฉันเอง” ฉินอวิ๋นกำลังประเมินถังโจวโจว แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินชื่อของถังโจวโจวจากปากของเมิ่งชิงซีนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ฉินอวิ๋นก็ยังไม่เคยเจอตัวจริงเลยสักครั้ง
ฉินอวิ๋นรู้สึกว่าถังโจวโจวคล้ายกับใครบางคน แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าตกลงแล้วถังโจวโจวนั้นเหมือนใคร “โจวโจว ป้าได้ยินชิงซีพูดถึงหนูหลายครั้งแล้ว วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที ดื่มกาแฟกับป้าสักแก้วนะ ป้าเลี้ยงเองจ้ะ”
ฉินอวิ๋นดูเหมือนคนที่บอบบางอ่อนแอ เธอมักจะทำให้ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าเธอเป็นฝ่ายที่รังแกได้ง่าย แต่ความจริงแล้วจิตใจของเธอแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร
ถังโจวโจวไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร และในขณะที่ถังโจวโจวกำลังลังเล ฉินอวิ๋นก็พูดว่า “โจวโจว หนูไม่อยากไปใช่ไหม ป้ารู้จ้ะ หนูอาจจะเกลียดชิงซีไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อน”
เมิ่งชิงซีไม่รู้ว่าแม่ของเธอคิดจะทำอะไร แต่โดยปกติแล้ว ไม่ว่าฉินอวิ๋นทำอะไรลงไปก็ตาม เธอจะคอยสนับสนุนทุกอย่าง เพราะสิ่งที่ฉินอวิ๋นทำนั้นล้วนมีประโยชน์ต่อเธอหรือไม่ก็ตัวเองทั้งสิ้น
เมิ่งชิงซีก็ช่วยกล่อมอีกคนหนึ่ง “โจวโจว ตอนนั้นฉันยังตั้งสติไม่ได้จริงๆ เธอยังคงคิดว่าฉันตั้งใจสินะ ตอนนี้เธอถึงได้เย็นชากับฉันแบบนี้”
เมิ่งชิงซีและฉินอวิ๋นพูดรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พนักงานภายในร้านต่างก็หันมามองกันหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ถังโจวโจวและหลินเหยาตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
เมื่อหลินเหยาเห็นว่าสองแม่ลูกพูดจาเลอะเทอะ เธอก็รู้สึกโกรธ “เมิ่งชิงซี คุณยังกล้าพูดอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ โจวโจวจะแท้งลูกได้ยังไง”
แต่เมิ่งชิงซีไม่อ่อนข้อให้ ก่อนจะพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “หลินเหยา ตอนนั้นคุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยซ้ำ โจวโจวยังไม่ได้ว่าอะไรฉันเลยสักคำ แล้วเธอกล้าดียังไงมาว่าฉัน!”
เมื่อหลินเหยาเห็นท่าทางหยิ่งยโสของเมิ่งชิงซี ก็พานทำให้เธอเกลียดคนที่คอยชี้แนะอยู่ข้างๆ ด้วย พวกเธอทำทีราวกับว่าพวกเธอไม่ได้มีความผิดใดๆ คนพวกนี้เก่งแต่ลอยหน้าลอยตา แต่จริงๆ แล้วไม่เคยคิดจะทำเรื่องดีๆ อะไรเลย
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยาตั้งท่าจะโต้เถียงกับเมิ่งชิงซีอีกครั้ง เธอก็รีบฉุดแขนเพื่อนเอาไว้ ก่อนที่เธอจะกระซิบที่ข้างหูของหลินเหยาว่า “ช่างเขาเถอะ เหยาเหยา ไม่จำเป็นต้องไปพูดด้วยแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
ถังโจวโจวไม่รู้ว่าสองแม่ลูกคู่นี้ตั้งใจจะทำอะไร แต่เธอไม่อยากจะสนทนาด้วยแล้ว “คุณป้าเมิ่งคะ คุณเมิ่ง วันนี้พอแค่นี้นะคะ พวกเรานั้นแตกต่างกัน ฉันกับเหยาเหยาขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อฉินอวิ๋นเห็นว่าถังโจวโจวยังคงปฏิเสธเธอ เธอก็รู้สึกโกรธเคือง ยายถังโจวโจวนี่เป็นอย่างที่ชิงซีว่าเอาไว้จริงๆ หล่อนไม่ไว้หน้าใครเลย ว่าแต่เธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่นะ?
ฉินอวิ๋นรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ เมิ่งชิงซีเห็นว่าฉินอวิ๋นยังคงยืนเหม่ออยู่ภายในร้าน ในขณะที่ถังโจวโจวและหลินเหยาออกไปตั้งนานแล้ว เธอสะกิดเรียกฉินอวิ๋นเบาๆ “แม่คะ แม่กำลังคิดอะไรอยู่ พวกเธอไปกันหมดแล้ว”
“พนักงาน ห่อตัวนี้ให้ฉันด้วย” ฉินอวิ๋นชี้ไปที่เสื้อโค้ทขนแกะและยื่นบัตรเครดิตตามไปให้
ฉินอวิ๋นมองดูใบหน้าที่ไม่เข้าใจของเมิ่งชิงซีและอธิบายว่า “แม่รู้สึกว่าถังโจวโจวคล้ายกับคนที่แม่รู้จักมาก แต่แม่นึกไม่ออกเลยว่าเป็นใคร”
“คล้ายกับคนที่แม่รู้จักมาก จริงเหรอคะ? ใช่เพื่อนสนิทของแม่หรือเปล่า” ทันใดนั้น คำพูดของเมิ่งชิงซีก็ทำให้ฉินอวิ๋นคิดได้ว่าถังโจวโจวหน้าเหมือนใคร…เสิ่นหลานอี!
ทันทีที่ฉินอวิ๋นนึกออก เธอก็สงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างถังโจวโจวและเสิ่นหลานอีขึ้นมาทันที “ชิงซี ลูกพอจะรู้ประวัติครอบครัวของถังโจวโจวบ้างไหม”
เนื่องจากฉินอวิ๋นยังกังวลใจในเรื่องนี้ เธอจึงไม่มีอารมณ์ที่เดินชอปปิงกับเมิ่งชิงซีต่อแล้ว
เมิ่งชิงซีคิดเล็กน้อย “หนูเคยได้ยินคุณป้าลั่วพูดถึงอยู่ครั้งสองครั้ง เหมือนกับว่าพ่อแม่ของถังโจวโจวเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนธรรมดาๆ คนเป็นพ่อเหมือนว่าจะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนคนเป็นแม่นี่ไม่แน่ใจ แต่หนูรู้ว่าครอบครัวของเธอไม่ได้โดดเด่นอะไร เป็นแค่คนธรรมดาก็เท่านั้น”
นี่คือสิ่งที่น่าโมโหที่สุดสำหรับเมิ่งชิงซี ครอบครัวของถังโจวโจวธรรมดามาก แต่กลับดึงดูดความสนใจของลั่วเซ่าเชินได้ ในขณะที่ตระกูลเมิ่งของเธอภูมิฐานถึงเพียงนี้ แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ชายตามองเธอเลยสักนิด บางครั้งเมิ่งชิงซีก็มีแม้กระทั่งความคิดที่อยากจะสลับตัวกับถังโจวโจวผุดขึ้นมา