“ลั่วอิงคะ แม่ไม่เป็นไรจริงๆ เดี๋ยวแม่จะลงไปกินข้าวแล้ว หนูลงไปก่อนนะคะ แม่โจวโจวขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะตามลงไปค่ะ” ถังโจวโจวไม่เคยเงียบใส่ลั่วอิงเลยสักครั้ง เธอคิดว่าเธอไม่อาจทำให้ลั่วอิงเป็นกังวลไปมากกว่านี้ได้
อีกอย่าง เธอก็รู้ดีว่าลั่วเซ่าเชินเป็นคนส่งลั่วอิงขึ้นมาสอบถามแทน แต่ถึงกระนั้นเธอก็แอบคิดอยู่เงียบๆ ว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำให้ลั่วอิงเสียใจเลย
เมื่อลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ดวงใจที่เต้นระรัวก็กลับสู่สภาวะปกติในที่สุด เธอไม่เคยเห็นถังโจวโจวเป็นแบบนี้มาก่อน เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวหายดีแล้ว ลั่วอิงก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่า คำพูดที่ถังโจวโจวพูดออกมานี้คืออะไร ดังนั้น เธอจึงขอตัวออกจากห้องนี้ไป
“ถ้าอย่างนั้นแม่โจวโจวต้องรีบลงมานะคะ หนูกับคุณพ่อจะรอคุณแม่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น” ลั่วอิงเดินไปพลางพูดไปพลาง เธอกำชับเสียดิบดี ราวกับกลัวว่าเธอกับถังโจวโจวจะจากกันไปตลอดกาลอย่างไรอย่างนั้น
“ได้จ้ะ แม่จะรีบไป” ถังโจวโจวลุกขึ้นมาแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ มองดูใบหน้าที่ซีดขาวของตัวเองในกระจก กดเปิดน้ำล้างหน้าจนใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำ แต่ตาที่แดงอยู่ไม่สามารถทำให้หายไปได้
ถังโจวโจวชำระร่างกายของเธอจนเรียบร้อย หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้า อารมณ์ของเธอไม่ได้ย่ำแย่เหมือนตอนก่อนหน้านี้แล้ว ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เหลือเกิน ทำไมมัวแต่นอนแน่นิ่งอยู่นานขนาดนั้น นี่ไม่เหมือนตัวเธอเองเลยสักนิด
สุดขอบล่าฟ้าเขียวมีพืชพรรณมากมายนับไม่ถ้วน ทำไมเธอถึงต้องรักต้นไม้แค่เพียงต้นเดียวด้วย![1] ในเมื่อถังโจวโจวตัดสินใจได้แล้ว เธอก็เดินลงไปชั้นล่างได้อย่างสบายใจ
ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว มีเพียงแค่ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำอยู่เท่านั้น เขาดูออกว่าก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะร้องไห้มาอย่างหนัก แต่เมื่อทั้งหมดกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เขาก็วางใจ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถังโจวโจวถึงได้ร้องไห้หนักมากขนาดนั้น
คงไม่ใช่เพราะคิดถึงลูกหรอกนะ? ลั่วเซ่าเชินเข้าใจถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของเธอ ถึงแม้ว่าจะสามารถพูดให้เธอเข้าใจได้แล้ว แต่ในใจเธอก็คงยังหลงเหลือความคิดถึงอยู่ ที่ไม่รู้ว่าจะโผล่ขึ้นมาอีกเมื่อไร เกลี้ยกล่อมก็แล้ว ที่สุดคงมีเพียงตัวเธอเองคนเดียวเท่านั้นที่ต้องก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปให้ได้
ลั่วเซ่าเชินเองก็รู้สึกเศร้าเสียใจมากเหมือนกันที่ต้องสูญเสียลูกไป พวกเขาได้ดื่มด่ำกับข่าวดีเรื่องนี้ได้ไม่นานนัก ไม่ทันไรเขาก็จากไปเสียแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินก็เข้าใจ หากเขามัวแต่จมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต ถังโจวโจวก็จะยิ่งไม่สามารถเดินออกมาได้
“ป้าหลิวคะ ตักข้าวเถอะค่ะ” ครอบครัวสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน ลั่วเซ่าเชินคีบอาหารที่ถังโจวโจวชอบใส่ในชามของเธอ ถังโจวโจวตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่ลั่วเซ่าเชินไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงรู้สึกว่าถังโจวโจวน่ากลัวมากกว่า
“โจวโจว ถ้ามีเรื่องอะไรก็คุยกับผมได้นะ คุณอย่าเก็บเอาไว้ในใจ” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
เขากลัวว่าถังโจวโจวกำลังปั้นยิ้มหลอกทุกคนอยู่ โดยที่ความจริงแล้วเธอยังเจ็บปวดอยู่มาก เธอสามารถยิ้มให้เขาได้แบบนี้ ยิ่งทำให้ลั่วเซ่าเชินรู้สึกหวาดระแวง
ถังโจวโจวเห็นดวงตาเล็กๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงของลั่วอิงมองมา ทันใดนั้นเธอก็ฉีกยิ้มอย่างมีความสุข “เซ่าเชินคะ มีเรื่องอะไรที่ไหนกัน คุณคิดมากไปแล้ว ตอนนี้ฉันโอเคแล้วค่ะ คุณอย่าทำให้ลั่วอิงต้องเป็นห่วงไปด้วยเลย”
ลั่วเซ่าเชินหันไปมองลั่วอิงที่กำลังคิ้วขมวดอยู่ ก็รู้ว่าเมื่อสักครู่เขาทำผิดไป จริงสินะ ลั่วอิงยังเด็กอยู่ เรื่องของผู้ใหญ่ก็ไม่ควรให้เธอต้องมากังวลใจตามไปด้วย
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว คุณรีบทานข้าวเถอะ ทานเยอะๆ นะครับลูก” ลั่วเซ่าเชินคีบกับข้าวให้ลั่วอิงเพิ่มอีก
เมื่อลั่วอิงเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกับถังโจวโจวไม่ได้มีอะไรผิดปกติไป เธอจึงวางใจมากขึ้น “คุณพ่อคุณแม่ขา คุณพ่อคุณแม่ก็ทานเยอะๆ ด้วยนะคะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแบบนี้ดีจังเลยค่ะ อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะคะ”
ถังโจวโจวรู้สึกว่าวันนี้ลั่วอิงเอาแต่พูดถึงเรื่องอนาคตตลอด แต่ก็คิดเพียงว่าเด็กๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ ความสุขที่อยู่ตรงหน้าจะต้องคว้าเอาไว้ในมือให้ได้ แต่ลั่วเซ่าเชินจะยินยอมหรือ เขาจะยินยอมเดินไปด้วยกันกับเธอในอนาคตข้างหน้านี้ไหมนะ?
แล้วกันสิ คิดเพ้อเจ้ออีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเดิมทีก็ไม่มีอนาคตอยู่แล้วหรอกหรือ ก่อนหน้านี้เธอคิดเข้าข้างตัวเองมากไปจริงๆ บางทีเขาอาจจะแค่แสดงความเมตตาเท่านั้น เพราะเขาอาจจะเสียใจมาจากหันฮุ่ยซิน ก็เลยมาอยู่กับเธอที่นี่เพื่อรักษาหัวใจตัวเองเท่านั้น สิ่งที่เขาทำทั้งหมดในตอนนี้ ฉันไม่มีทางเชื่ออีกต่อไปแล้ว!
ถังโจวโจวกินข้าวอยู่เงียบๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่ลั่วอิงพูด ต่างกับลั่วเซ่าเชินที่พูดไปยิ้มไป “ลูกพูดถูกครับ เราครอบครัวเดียวกัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป”
ถังโจวโจวเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และเมื่อลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวยิ้มได้แล้ว เธอก็คิดว่าแม่โจวโจวกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เธอจึงกินข้าวต่ออย่างว่าง่าย เมื่อก่อนถังโจวโจวต้องคอยกระตุ้นให้เธอกินข้าวให้หมด แต่ตอนนี้เธอสามารถกินเองได้แล้ว ข้าวชามเดียวหมดไปได้สบายๆ
หลังมื้อเย็น ลั่วอิงก็ออกไปหาเพื่อนของตัวเองเพื่อเล่นด้วยกัน เหลือไว้เพียงลั่วเซ่าเชินกับถังโจวโจวที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน แต่กลับไม่พูดอะไร
ลั่วเซ่าเชินอยากจะถาม แต่ก็กลัวว่าจะไปกระทบถึงเรื่องที่อยู่ในใจของถังโจวโจวเข้า ถังโจวโจวเองก็อยากจะถามถึงเรื่องที่ติดอยู่ในใจกับลั่วเซ่าเชินเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้ เธอควรจะทำอย่างไรดี?
ในเวลานี้พวกเขาสองคนต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม
“เซ่าเชิน…”
“โจวโจว…”
ทั้งสองคนมองหน้ากันและกันแล้วยิ้ม ถังโจวโจวกับลั่วเซ่าเชินเห็นว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอยากจะพูดจึงเงียบลงก่อน สุดท้ายกลับพูดชนกันอีก จากนั้นก็ไม่มีใครพูดต่อ
“โจวโจว คุณพูดก่อนเลย” ลั่วเซ่าเชินคิดว่าถังโจวโจวคงต้องการจะถามอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจเธอวันนี้ก็เป็นได้
ถังโจวโจวลังเลอยู่นาน ก่อนจะถามว่า “เซ่าเชิน ครั้งที่แล้วที่คุณไปต่างประเทศ คุณไปคนเดียวจริงๆ หรือคะ”
ลั่วเซ่าเชินอึดอัดใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถังโจวโจวถึงได้ถามคำถามนี้ออกมาอีก เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวจ้องมาที่เขาอย่างจริงจัง ลั่วเซ่าเชินก็เกิดความกังวลใจ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพูดความจริงออกมาได้ แต่ทำไมจู่ๆ เธอถึงถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่ามันผ่านไปตั้งนานแล้วเหรอ?
“โจวโจว มีใครมาพูดอะไรกับคุณใช่ไหม ผมเคยบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ ผมไม่ได้ไปคนเดียวนะ”
ถังโจวโจวนึกไม่ถึงว่าลั่วเซ่าเชินจะยอมรับออกมาตามตรง เธอตกใจจนหน้าถอดสี ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวสนใจเรื่องนี้มาก มันยิ่งทำให้เขาไม่กล้าพูดความจริงออกมา
เขารีบพูดทีเล่นทีจริง “โจวโจว คุณลืมไปแล้วหรือไง หวังหวาก็ไปด้วยกันกับผม ผมถึงพูดว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ไปต่างประเทศ”
เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวดูจะสบายใจขึ้นเล็กน้อย ลั่วเซ่าเชินก็ลอบปาดเหงื่อ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้กลัวนัก หากเป็นนิสัยปกติของเขา มีหรือที่เขาจะต้องมานั่งอธิบายให้เธอฟัง? ดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมของถังโจวโจวเข้าแล้วจริงๆ
ถังโจวโจวเองก็ไม่รู้ว่าลั่วเซ่าเชินพูดจริงหรือพูดหลอก แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ดูไม่เหมือนคนที่พูดโกหกเลย
จากนั้นถังโจวโจวก็คิดว่าลั่วเซ่าเชินเป็นคนระดับไหนแล้ว เขาดูแลกิจการมาตั้งหลายปี จัดการกับผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน ถ้าหากเขาอยากจะปิดบังอะไรสักหน่อย เธอก็ไม่มีทางที่จะสืบหาได้ ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังล่ะก็ เขาไม่ต่างอะไรกับสุนัขจิ้งจอกเลย
“เซ่าเชิน คุณพูดจริงใช่ไหมคะ ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม” ถังโจวโจวยังคงสงสัยอยู่ ก่อนหน้านี้เธอเคยไม่ลงรอยกับลั่วเซ่าเชิน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขายอมเธอ ถังโจวโจวก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้หรอก ตอนนี้ถังโจวโจวจึงยังไม่ค่อยโล่งใจนัก
ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอยังไม่เชื่อ เขาจึงรีบสาบานว่า “โจวโจว ผมพูดจริงแน่นอน ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณก็เรียกหวังหวามาถามได้ ดูสิว่าเขาจะตอบว่ายังไง” ลั่วเซ่าเชินกล้าพนันได้เลยว่าถังโจวโจวไม่มีทางเรียกหวังหวามาถาม แล้วอีกอย่าง หวังหวาก็ไม่มีทางพูดจาส่งเดชแน่นอน
ถังโจวโจวเห็นว่าเขายืนยันหนักแน่นขนาดนี้ จึงทำให้เธอเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในความคิดของตัวเองขึ้นมา คิดอยู่ว่าเธอเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า อาจเป็นแค่การยั่วยุของหันฮุ่ยซินเท่านั้น เพื่อให้เธอหลีกทางออกไปเอง
แต่เมื่อถังโจวโจวกลับมานึกถึงรูปที่หันฮุ่ยซินส่งมาให้เธอ หลักฐานมันชัดเจนและมัดตัวแน่นขนาดนี้ ไม่มีทางที่ในรูปจะเป็นหันฮุ่ยซินกับคนอื่นไปได้
ถังโจวโจวตัดสินใจทดสอบลั่วเซ่าเชินดู “เซ่าเชิน ฉันจะยอมเชื่อคุณก็ได้ แต่มีคนส่งรูปถ่ายมาให้ฉัน มันเป็นรูปที่คุณกับผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน แล้วมันก็อยู่ในช่วงที่คุณไปต่างประเทศพอดี เซ่าเชินคะ คุณรู้ไหมว่าตอนที่ฉันได้เห็นรูปใบนั้นแล้วฉันเจ็บปวดมากแค่ไหน”
ถังโจวโจวปวดใจมากจริงๆ พูดไปพูดมาน้ำตาก็พานไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ลั่วเซ่าเชินตกใจมาก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถังโจวโจวเห็นกับตาว่าเขาตกใจมากขนาดนี้ ความผิดหวังที่พยายามกดเอาไว้ในใจก็ปะทุขึ้น
เห็นเขาเป็นแบบนี้ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องจริงสินะ? ถังโจวโจวร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิม ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็นั่งไม่ติด เขาไม่รู้ว่าเขาควรปลอบเธออย่างไรดี
เขาพูดอยู่ข้างๆ ว่า “โจวโจว คุณอย่าร้องเลยนะ ใครเป็นคนส่งรูปภาพให้คุณ หันฮุ่ยซินใช่ไหม” เมื่อลั่วเซ่าเชินถามคำถามนี้จบ เขาก็อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกิน นี่ไม่เท่ากับว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ถังโจวโจวเงยหน้าขึ้นและตะโกนออกมาว่า “ลั่วเซ่าเชิน! คุณรู้ได้ยังไงว่าหันฮุ่ยซินเป็นคนส่งรูปมาให้ฉัน ฉันยังไม่ได้พูดถึงชื่อของเธอเลย? ลั่วเซ่าเชิน ก่อนหน้านี้ที่คุณสาบานมา มันไม่มีประโยชน์แล้ว ตอนนี้เรื่องทั้งหมดมันถูกเปิดเผยหมดแล้ว!”
ป้าหลิวได้ยินเสียงดังมาจากในห้องรับแขกมี เธอจึงเดินออกมาดู แล้วก็เห็นว่าถังโจวโจวกับลั่วเซ่าเชินกำลังทะเลาะกัน จึงรีบตรงเข้าไปตักเตือน “คุณชาย คุณผู้หญิงคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมถึงได้เสียงดังอย่างนี้ พวกคุณมีเรื่องขัดแย้งกันหรือคะ?”
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่ามีคนนอกเข้ามา เธอจึงสงบสติอารมณ์ลง “ป้าหลิวคะ ป้ากลับไปก่อนเถอะ นี่เป็นเรื่องของฉันกับเขา ป้าไม่ต้องเข้ามายุ่งดีกว่าค่ะ”
ลั่วเซ่าเชินก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ จึงทำได้เพียงพูดกับป้าหลิวว่า “ป้าหลิว ผมกับโจวโจวไม่ได้เป็นอะไร เมื่อสักครู่เราสองคนแค่ความเห็นไม่ตรงกัน ก็เลยเสียงดังนิดหน่อย”
เมื่อป้าหลิวได้ยินว่าพวกเขาไม่เป็นไร เพียงแค่ความคิดเห็นต่างกัน เธอก็พูดกับลั่วเซ่าเชินอย่างเป็นห่วงว่า “คุณชายคะ คุณก็ยอมคุณผู้หญิงเธอหน่อยนะคะ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันแบบนี้ เดี๋ยวคุณหนูมาเห็นเข้า มันจะไม่ดี”
“ครับ ป้าหลิว เราเข้าใจแล้ว ป้าไปทำงานของป้าเถอะ” ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินไม่มีแก่ใจจะฟังป้าหลิวเทศนา ตอนนี้เขาต้องการเพียงจัดการกับระเบิดเวลาลูกนี้ของถังโจวโจวก่อน
ป้าหลิวเห็นท่าทีของพวกเขาไม่เหมือนก่อนหน้านี้ แม้ว่าในใจจะยังคงเป็นห่วง แต่เรื่องของเจ้านาย เธอก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เธอจึงทำได้แค่เพียงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องครัว
เมื่อเห็นว่าป้าหลิวไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินรีบกุมมือของถังโจวโจวขึ้นมา “โจวโจว พวกเราขึ้นไปคุยกันข้างบนเถอะ ผมจะอธิบายให้คุณฟัง ดีไหม?”
เธอเห็นลั่วเซ่าเชินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำระคนอาการกระสับกระส่าย ถังโจวโจวเคยเห็นท่าทางแบบนี้ของเขาที่ไหนกัน เมื่อครู่เธอยังไม่ทันได้ปลดปล่อยความโกรธออกมา ก็ถูกป้าหลิวขัดจังหวะไว้เสียก่อน ความเศร้าที่อยู่ในใจมันเหือดหายไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ใจเธอก็ยังคงอึดอัดอยู่
“ได้ ฉันจะขึ้นไปฟังดูว่าคุณจะอธิบายว่าอะไร” ถังโจวโจวยิ้มอย่างเยือกเย็น เธออยากรู้ว่าลั่วเซ่าเชินจะหลอกอะไรเธออีก หลักฐานก็ชัดเจนขนาดนี้แล้ว เขายังจะพูดอะไรได้!
[1] สุดขอบล่าฟ้าเขียวมีพืชพรรณมากมายนับไม่ถ้วน ทำไมเธอถึงต้องรักต้นไม้แค่เพียงต้นเดียวด้วย หมายถึง บนโลกใบนี้ยังมีคนอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องปักใจรักคนนี้เพียงคนเดียว