ถังโจวโจวมองดูจานอาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ถ้าสำหรับสองคนก็อาจจะดูเยอะเกินไปสักหน่อย ฟังหยวนกะจะขุนเธอให้เป็นหมูหรือไงกัน
“เปล่าหรอก ผมสั่งมาจากโรงแรมน่ะ” แม้ว่าฟังหยวนอยากจะโชว์ฝีมือให้ถังโจวโจวเห็น แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่มีทักษะในด้านนี้เลย แต่เขารู้ว่าถังโจวโจวทำอาหารอร่อย เขาไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะมีโอกาสได้กินอาหารฝีมือของเธอบ้างหรือเปล่า
ถังโจวโจวไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไร คนเราสามารถคาดหวังได้หรือว่าผู้ชายคนหนึ่งจะลงมือเข้าครัว? ใช่ มันก็อาจจะมี แต่คนอย่างคุณชายที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ เธอเดาว่าน่าจะหมดหวัง
ฟังหยวนไม่รู้ว่าถังโจวโจวดูถูกเขาในใจ แต่ให้พูดตามตรง ถังโจวโจวเองก็อยากให้ฟังหยวนได้ลองกินอาหารที่เธอทำดูบ้าง เขาน่าจะไม่เคยได้กินของอร่อยๆ สักเท่าไร แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการทำอาหาร ฟังหยวนก็ได้แต่ยอมศิโรราบให้กับถังโจวโจว
“เอาละ อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลย รีบทานข้าวกันเถอะครับ ผมไม่รู้ว่าอาหารที่สั่งมาจะถูกปากคุณหรือเปล่านะ” ฟังหยวนไม่แน่ใจว่าถังโจวโจวชอบกินอะไร แม้ว่าเขาจะเคยกินข้าวกับถังโจวโจวอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยกินอาหารจีนอย่างเป็นทางการเลย ดังนั้นฟังหยวนจึงรู้สึกกังวลอยู่นิดหน่อย
ถังโจวโจวนั่งลงที่โต๊ะและคีบเนื้อวัวผัดต้นกระเทียมมากิน เธอพยักหน้า “ใช้ได้ค่ะ”
ฟังหยวนได้รับการประเมินแค่ ‘ใช้ได้’ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยถูกปากถังโจวโจว “ครั้งหน้าผมจะเปลี่ยนร้านก็แล้วกัน”
ฟังหยวนคิดง่ายๆ ถ้าร้านนี้ไม่โอเค ครั้งหน้าก็เปลี่ยนร้าน มันต้องมีสักร้านหนึ่งแหละที่ถูกปากเธอ แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ฟังหยวนก็ดูออกว่าเธอหดหู่มาก ดูเหมือนว่าเธอจะทะเลาะกับลั่วเซ่าเชินมาใหญ่โต ฟังหยวนรีบโบ้ยความผิดไปให้ลั่วเซ่าเชินทันที
ไม่โทษเขาแล้วจะโทษใคร คนอย่างถังโจวโจวจะทะเลาะกับลั่วเซ่าเชินโดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไร อาเชินต้องทำอะไรให้เธอเสียใจมากแน่ๆ ทันใดนั้นฟังหยวนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ คงไม่ใช่เพราะวันนั้นหรอกนะ?
ถังโจวโจวเห็นว่าเมื่อเธอมาอาศัยอยู่ที่บ้านของคนอื่น เธอก็ไม่ควรที่จะรบกวนให้ฟังหยวนสั่งอาหารมาให้เธอทุกวัน มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเลยจริงๆ เธอจึงคิดว่า “ทำไมไม่ให้ฉันทำให้ทานล่ะคะ ถ้าคุณไม่รังเกียจน่ะนะ?”
ฟังหยวนรีบรับคำทันที “ผมจะรังเกียจได้ยังไง ผมดีใจมากต่างหาก!” ฟังหยวนไม่สามารถปิดบังรอยยิ้มของตัวเองไว้ได้เลย เขารอประโยคนี้มานาน ดูเหมือนว่าช่วงนี้โชคจะเข้าข้างเขาบ้างแล้ว
ถังโจวโจวคิดไม่ถึงเลยว่าฟังหยวนจะดีใจมากขนาดนี้ นี่อาหารของเธออร่อยกว่าร้านอาหารในโรงแรมหรูหรืออย่างไร ถังโจวโจวคิดเพียงครู่แล้วก็เผลอหลุดถามคำถามนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฟังหยวนแสดงสีหน้าที่สื่อว่า ‘แน่นอนอยู่แล้ว’ ออกมาอย่างชัดเจน “โจวโจว ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณทำอาหารอร่อย แต่ผมไม่เคยมีโอกาสได้ลองทานเลย คราวนี้คุณเป็นคนมาเสิร์ฟอาหารให้ผมถึงหน้าประตูเองนะ”
ถังโจวโจวนึกไม่ถึงเลยวันหนึ่งเธอจะได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ เธอแค่ชอบการทำอาหาร ฝีมือของเธอนั้นธรรมดามาก แต่ถ้าเธอสามารถทำมาหากินได้ ถังโจวโจวเองก็ยินดีที่จะศึกษาหาความรู้ทางด้านนี้เพิ่มเติม “ถ้าคุณชอบก็ยิ่งดีเลยค่ะ”
วันนี้ถังโจวโจวก็ไม่ได้ไปที่บริษัท เธอกำลังคิดว่าเธอจะยังไปทำงานได้อยู่ไหม ลั่วเซ่าเชินคงไม่ดักรอเจอเธอที่บริษัทหรอกนะ? เธอควรจะทำอย่างไรดี
เธอไม่สามารถอุดอู้อยู่แต่ในห้องเล็กๆ แบบนี้ได้ทั้งวัน ถังโจวโจวรู้สึกปวดหัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอมองดูท่าทางที่มีความสุขของฟังหยวน ในฐานะคนที่รักอาหาร เมื่อได้เห็นคนชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ถังโจวโจวก็รู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก
หลังจากกินข้าวเสร็จ ถังโจวโจวก็กลับไปเก็บกวาดห้อง เธอหยิบเสื้อผ้าของเธอออกมา แต่เนื่องจากความเร่งรีบ ถังโจวโจวจึงไม่ได้หยิบอุปกรณ์อาบน้ำออกมาด้วย ฟังหยวนจึงพาเธอออกไปซื้อของที่เธอจำเป็นต้องใช้ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ กับบริเวณนั้น
ด้วยเหตุนี้ ถังโจวโจวจึงอาศัยอยู่กับฟังหยวน ส่วนลั่วเซ่าเชินตามหาถังโจวโจวอย่างไรก็ไม่เจอ เมื่อลั่วอิงกลับมาแต่ไม่พบถังโจวโจว เธอจึงจับลั่วเซ่าเชินมาถามถึงแม่โจวโจว ลั่วเซ่าเชินก็ได้ปลอบเธอว่า “ช่วงนี้แม่โจวโจวไม่อยู่ครับ แม่โจวโจวติดธุระ เดี๋ยวคุณแม่ก็กลับมานะ”
“คุณพ่อขา ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อก็ไปรับแม่โจวโจวกลับมาสิคะ คุณแม่ไปทำธุระที่ไหนหรือคะ” ลั่วอิงไม่เข้าใจโลกของพวกผู้ใหญ่เลย ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่สามารถพูดได้ว่าที่ถังโจวโจวหนีออกจากบ้านไปเป็นเพราะเขา
“แม่โจวโจวอยากอยู่คนเดียวสักพักครับ หนูกับพ่ออย่าเพิ่งไปกวนคุณแม่เลยนะ เดี๋ยวคุณแม่จะอารมณ์เสียเอาได้” เมื่อลั่วอิงได้ยินเช่นนั้น เธอก็พูดอย่างผิดหวังว่า “ก็ได้ค่ะ แต่ว่าคุณพ่อช่วยพาแม่โจวโจวกลับมาเร็วๆ นะคะ”
ลั่วเซ่าเชินไม่อาจรับปากเธอได้ ตอนนี้เขายังหาเธอไม่เจอเลย แล้วเขาจะพาถังโจวโจวกลับมาเร็วๆ ได้อย่างไร ลั่วเซ่าเชินนึกไม่ถึงว่าถังโจวโจวจะหนีไปโดยไม่บอกใคร นี่เป็นเพราะเธอโกรธเขาใช่หรือเปล่า มีอะไรทำไมไม่คุยกันดีๆ ล่ะ ทำไมเธอถึงต้องหนีออกจากบ้านอย่างนี้ด้วย!
เมื่อลั่วเซ่าเชินสามารถปลอบลั่วอิงได้แล้ว เขาก็ผ่อนคลายลง อีกสักพักก็จะถึงปีใหม่[1]แล้ว เขาไม่รู้ว่าปีนี้มันจะผ่านไปอย่างราบรื่นหรือไม่?
หลายวันต่อมา ลั่วเซ่าเชินก็ยังตามหาถังโจวโจวไม่เจอ ในขณะที่ทางบริษัทของถังโจวโจว ผู้จัดการของเธอบอกว่า เธอได้ขอลาหยุดไปหลายวันและยังไม่ได้กำหนดวันที่จะกลับมา ทันใดนั้น ลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกว่าผู้จัดการคนนี้ปล่อยปละละเลยถังโจวโจวมากเกินไป
ถังโจวโจวอาศัยบารมีของเขา เธอจึงคิดจะหายไปนานเท่าไรก็ได้ ตอนนี้เขาก็เลยยังหาเธอไม่เจอ ลั่วเซ่าเชินเริ่มมีความคิดย้อนแย้ง เมื่อตอนที่พวกเขายังรักกันดีอยู่ เขาไม่อยากให้ถังโจวโจวไปทำงานเลยสักวัน เพราะอยากให้เธออยู่ใกล้ๆ เขาตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเธอไม่มาทำงานแบบนี้ช่างไม่ดีเสียเลย
เมื่อผู้จัดการเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกำลังโกรธ เขาก็พูดด้วยเสียงสั่นเทาว่า “นั่นเป็นความต้องการของท่านผอ. ไม่ใช่หรือครับ? ท่านบอกว่าอย่าทำให้ถังโจวโจวเหนื่อย ผมก็ทำตามคำสั่งของท่านทุกอย่างเลยนะครับ!”
ลั่วเซ่าเชินสะดุดกึก จากนั้นเขาก็วางสายไปด้วยความโมโห หวังหวาเห็นว่าในช่วงสองสามวันมานี้ ท่านผอ. อารมณ์ไม่ดี นอกจากนี้ท่านยังให้เขาคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเซียวโม่ด้วย เขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงหรือเปล่า?
หวังหวาและลูซี่จับสังเกตได้อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ท่านผอ. ไม่สบอารมณ์มักจะเกี่ยวข้องกับคุณผู้หญิง และทุกครั้งคนที่ต้องรับกรรมก็คือพวกลูกน้องอย่างพวกเขา คนภายในบริษัทรู้สึกว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว มันแย่เอามากๆ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การกดดันทุกวัน!
สาเหตุที่ทำให้ลั่วเซ่าเชินหาถังโจวโจวไม่เจอ นั่นก็เป็นเพราะฟังหยวน ลั่วเซ่าเชินส่งคนไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดและข้อมูลการเข้าพักอาศัยของโรงแรมในเมืองนี้ แต่เขาก็ไม่พบถังโจวโจวเลย ราวกับว่าเธอหายตัวไปเฉยๆ ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นอีก
ช่วงนี้ลั่วอิงถูกส่งไปอยู่กับคุณแม่ลั่ว เนื่องจากลั่วเซ่าเชินกลับบ้านดึกมาก ถ้าให้ลั่วอิงอยู่บ้านคนเดียว เขาก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ดังนั้น เขาจึงต้องส่งเธอไปอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วชั่วคราว เพื่อให้คุณแม่ลั่วช่วยดูแลเธอ
คุณแม่ลั่วดีใจที่ลั่วอิงมาหา “ลั่วอิง หนูมาเยี่ยมคุณย่าแล้วหรือคะ”
เธอโอบกอดลั่วอิงเอาไว้ คุณแม่ลั่วกำลังอารมณ์ดี เธอรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าลั่วอิงเป็นเด็กผู้ชายก็คงจะดีกว่านี้ ก่อนหน้านี้คุณแม่ลั่วก็ไม่ได้รู้สึกว่าความคิดนี้ในใจมันรุนแรงอะไร แต่หลังจากที่ถังโจวโจวตั้งท้อง คุณแม่ลั่วก็ยิ่งคิดถึงเรื่องหลานชายหนักขึ้นเรื่อยๆ
ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แต่ตระกูลลั่วของพวกเขาก็ยังไม่มีทายาทที่เป็นทางการเลยสักคน แล้วทรัพย์สินของตระกูลนี้ล่ะจะทิ้งไว้ให้ใคร?
ในมุมมองของคุณแม่ลั่ว แม้ว่าลั่วอิงจะเป็นหลานของเธอ แต่ลั่วอิงก็ไม่สามารถเทียบกับเด็กผู้ชายได้ นอกจากนี้ เมื่อถึงเวลาเด็กผู้หญิงก็ต้องแต่งงานและออกเรือนไปอยู่กับคนอื่น ลั่วกรุ๊ปก็คงไม่อาจยกให้กับลั่วอิงที่แต่งงานไปเข้าตระกูลอื่นได้
บางครั้งมันก็น่าขำเสียจริง คุณแม่ลั่วคิดว่าเธอเป็นคนชนชั้นสูงและได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี แต่ความคิดความอ่านของเธอยังคงเหมือนคนหัวโบราณ ที่มีอคติเรื่องชายหญิงอยู่เสมอ
เมื่อตอนที่ลั่วเซ่าอวี๋ยังอยู่ คุณแม่ลั่วไม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดของเธอไปที่ลั่วเซ่าเชิน เธอมีลูกชายสองคน ตราบใดที่ลูกชายคนโตของเธอสามารถมีหลานชายให้เธอได้ แค่นี้คุณแม่ลั่วก็พอใจแล้ว เธอไม่ได้ขออะไรมากมาย
แต่ลั่วเซ่าอวี๋กลับด่วนจากเธอไปเสียก่อน ทีนี้คุณแม่ลั่วก็เลยทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีไปที่ลั่วเซ่าเชินแทน ซึ่งนั่นทำให้ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินไม่อยากกลับบ้านตระกูลลั่วเลย เพราะเมื่อเขากลับมาถึงบ้านทีไร คุณแม่และคุณพ่อลั่วก็มักจะพูดถึงแต่เรื่องลูกของเขา
เมื่อก่อนเอาแต่พูดถึงเรื่องแต่งงาน ตอนนี้พอเขามีภรรยา แน่นอนว่าก็ต้องพูดถึงเรื่องหลาน ลั่วเซ่าเชินจึงมักยกเอาลั่วอิงขึ้นมาเป็นเกราะกำบังทุกครั้ง โดยการบอกว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่ผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิง ถ้าเขาไม่มีลูกชาย เขาก็จะยกกิจการของตระกูลลั่วให้ลั่วอิงดูแล
ในตอนนั้นคุณแม่ลั่วรู้สึกว่ามันยังเร็วเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดถึงมากนัก แต่ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินแต่งงานกับถังโจวโจมานานแล้ว และหลานชายของเธอก็ยังไม่มาปรากฏตัวสักที ในที่สุดคุณแม่ลั่วก็เริ่มร้อนรนใจขึ้นมา ช่วงนี้เธอจึงพูดถึงเรื่องหลานชายอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ถังโจวโจวแท้งลูก
ช่วงนี้ลั่วอิงเองก็รู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ้าน พอแม่โจวโจวไม่อยู่ เธอกับคุณพ่อก็ดูเหมือนกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม ลั่วอิงคิดถึงถังโจวโจวมาก “คุณย่าขา แม่โจวโจวไม่อยู่บ้าน ช่วงนี้คุณพ่อน่ากลัวมากเลยค่ะ หนูไม่กล้าคุยกับคุณพ่อเลย”
ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ดุลั่วอิง แต่แค่ลั่วอิงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึมอยู่รอบตัวของลั่วเซ่าเชิน เธอก็หลบเขาโดยอัตโนมัติ เดิมทีบ้านก็เงียบมากอยู่แล้ว เมื่อไม่มีถังโจวโจว เธอก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่บ้านอีก แต่เป็นแค่ห้องห้องหนึ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้นเอง
ทันทีที่คุณแม่ลั่วได้ยินว่าถังโจวโจวไม่อยู่บ้าน เธอก็เริ่มให้ความสนใจ “ลั่วอิง ทำไมถังโจวโจวถึงไม่อยู่บ้านล่ะ เธอหายไปไหน”
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ หนูได้ยินมาจากป้าหลิว ป้าหลิวบอกว่าคุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกัน แม่โจวโจวก็เลยหนีไป แล้วตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา คุณพ่อก็ไม่ให้ถามอะไรด้วยค่ะ” ลั่วอิงยิ่งเศร้าใจเมื่อคิดถึงจุดนี้ เพราะวันนั้นคุณพ่อโกหกเธอ เขาบอกว่าแม่โจวโจวติดธุระก็เลยออกไปข้างนอก
ลั่วอิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าถ้าเธอไม่ได้ฟังมาจากป้าหลิว เธอก็คงไม่รู้ว่าถังโจวโจวหนีไปเพราะทะเลาะกับลั่วเซ่าเชิน จากนั้นลั่วอิงก็ไปถามลั่วเซ่าเชิน แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ยอมตอบเธอ เขาขอให้เธอออกจากห้องไป ลั่วอิงก็เลยร้องไห้งอแงขอกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว
เมื่อคุณแม่ลั่วได้ยินเช่นนั้น เธอก็คิดว่านี่มันคือโอกาสทองชัดๆ เมื่อก่อนเธอไม่สามารถไล่ถังโจวโจวออกไปได้เพราะอาเชิน นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะหนีออกไปเอง นี่เป็นโอกาสที่ดีเอามากๆ เลยทีเดียว
คุณแม่ลั่วไม่ได้แสดงท่าทีที่ผิดปกติต่อหน้าลั่วอิง เธอกลัวว่าลั่วอิงจะเอาไปบอกลั่วเซ่าเชิน เธอไม่อยากให้หลานสาวเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการของเธอ
“โธ่ คนดีของย่า คุณพ่อใจร้ายกับหนู หนูก็อยู่มากับคุณปู่คุณย่าหลายๆ วันเลยนะคะ ย่าจะดีใจมากๆ เลย” คุณแม่ลั่วรู้สึกว่าลั่วอิงเหมือนเป็นตัวนำโชคของเธอจริงๆ ที่นำข่าวดีๆ แบบนี้มาบอกเธอ
คุณแม่ลั่วปล่อยให้ลั่วอิงออกไปกินของว่าง ส่วนเธอก็รีบยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงเมิ่งชิงซีและบอกข่าวดีกับเธอ เมิ่งชิงซีไม่ได้คาดหวังมาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสดีๆ ลอยมาหาเธอถึงที่ เธอรีบกล่าวขอบคุณคุณแม่ลั่ว คุณแม่ลั่วเองก็หัวเราะชอบใจ เธอฝากความหวังของตัวเองไว้ที่เมิ่งชิงซีได้อีกครั้งแล้ว
[1] เทศกาลปีใหม่ หมายถึง เทศกาลตรุษจีน เป็นการเฉลิมฉลองการขึ้นปีใหม่ของคนจีนตามปฏิทินจันทรคติ