“ลั่วอิง แม่โจวโจวรับประกันกับหนูไม่ได้ แต่แม่โจวโจวสัญญานะ แม้ว่าวันหนึ่งแม่จะเลิกกับคุณพ่อไป แต่แม่ก็ยังคงเป็นแม่โจวโจวของหนูนะ” ถังโจวโจวเอ่ยคำมั่นสัญญาอย่างเอาจริงเอาจัง
“แม่โจวโจวขา ตอนที่คุณแม่ไม่อยู่ คุณพ่อคิดถึงคุณแม่มากเลยนะคะ” ลั่วอิงแก้ต่างให้ลั่วเซ่าเชิน และหวังให้ถังโจวโจวเห็นแก่ความคิดถึงที่ลั่วเซ่าเชินมีให้เธอ เธอจะได้ไม่จากไปไหนอีก
ถังโจวโจวลูบศีรษะของลั่วอิง ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องก่อนหน้านี้ “ลั่วอิงจ๊ะ แม้ว่าคุณพ่ออาจจะเข้มงวดกับหนูไปบ้าง แต่หนูก็ต้องเชื่อนะว่าคุณพ่อเขารักหนู หนูเป็นลูกสาวของเขา ไม่มีพ่อคนไหนไม่รักลูกสาวของตัวเองหรอกนะคะ เหมือนคุณตากับแม่โจวโจวไง หนูเข้าใจใช่ไหม” ถังโจวโจวยกเอาตัวเองและคุณพ่อถังมาเป็นตัวอย่าง ลั่วอิงพยักหน้า เธอรู้ว่าคุณตารักแม่โจวโจวมาก
เมื่อเห็นว่าลั่วอิงเข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อแล้ว ถังโจวโจวก็วางใจ “แม่โจวโจวขา แต่ทำไมสิ่งที่คุณพ่อทำกับหนูถึงไม่เหมือนกับที่คุณตาทำคุณแม่ล่ะคะ”
“เพราะว่าพวกเขาสองคนนิสัยต่างกันค่ะ ตรงจุดนี้หนูต้องเข้าใจคุณพ่อของหนูด้วยนะคะ แล้วตราบใดที่หนูรู้ว่าคุณพ่อรักหนูจริงๆ ต่อให้ถูกเขาดุมากแค่ไหน หนูก็จะไม่รู้สึกน้อยใจเลยค่ะ”
“คุณพ่อไม่ดุค่ะ แม่โจวโจว คุณพ่อดีกับหนูมาก” ลั่วอิงตอบโต้ในทันที
ถังโจวโจวยิ้มขำ เมื่อเห็นเธอรีบออกหน้าช่วยคุณพ่อของเธอ “ค่ะ แม่รู้ว่าคุณพ่อดีกับหนูมาก แม่ก็แค่ยกตัวอย่างเองค่ะ”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็สามารถทำให้ลั่วอิงเข้าใจได้แล้ว ถังโจวโจวก็แอบคิดอยู่เงียบๆ ดูเหมือนว่าเธอคงจะต้องคุยเรื่องนี้กับลั่วเซ่าเชิน มิฉะนั้นแล้ว หากลั่วอิงสับสนขึ้นมาอีก หรือเกิดอะไรขึ้นกับเธอก็คงจะไม่ดี
หลังจากปลอบลั่วอิงแล้ว ถังโจวโจวก็กล่อมให้ลั่วอิงหลับ จากนั้นเธอก็ไปเคาะประตูห้องหนังสือ
“เชิญครับ”
“เซ่าเชิน ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ” ถังโจวโจววางกาแฟไว้บนโต๊ะของลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินเงยหน้ามองเธอ และเมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของเธอดูจริงจัง เขาก็รู้ว่าเธอมีธุระสำคัญจะพูด ดังนั้นเขาจึงละมือจากงานของเขา และมองไปที่ถังโจวโจว
ถังโจวโจวนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของลั่วเซ่าเชินและเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เธอจัดระเบียบคำพูดในใจก่อนจะเปิดปากพูดว่า “ช่วงนี้คุณทำตัวแปลกๆ กับลั่วอิง คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“แปลกตรงไหน” เมื่อลั่วเซ่าเชินลองนึกดู เขาก็ไม่เห็นรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป ก็เหมือนเดิมนี่… ถังโจวโจวคิดมากไปหรือเปล่า
เมื่อมองดูท่าทางของลั่วเซ่าเชินที่เต็มไปด้วยความสงสัย ถังโจวโจวก็รู้เลยทันทีว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเลย เขาถึงยังไม่เห็นว่าเป็นปัญหา
“วันนี้คุณพูดแบบนั้นกับลั่วอิงได้ยังไง แม้แต่ฉันยังทนฟังไม่ได้เลย วันนั้นก็ด้วย แค่คุณบอกเธอว่าคุณไม่ต้องการเธอแล้ว เธอก็ตกใจจนหน้าซีดไปหมด ถ้าคุณจะล้อเล่น คุณก็ต้องมีขีดจำกัดบ้างสิคะ”
ลั่วเซ่าเชินยอมรับว่าวันนั้นเขาพูดแรงไปหน่อย แต่มันก็เป็นเพราะถังโจวโจวนี่! ถ้าเธอยอมกลับมากับเขาดีๆ เขาจะต้องโหดร้ายกับลั่วอิงเหรอ และยิ่งไปกว่านั้น เขาก็อธิบายเหตุผลให้ลั่วอิงฟังไปแล้ว ลูกสาวของเขาก็เข้าใจแล้วนี่?
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้ง เธอก็อยากจะทุบเขาแรงๆ สักทีเพื่อให้เขาได้สติ “คุณรู้ไหมคะว่าลั่วอิงพูดอะไรกับฉัน”
“พูดว่าอะไร”
“เธอถามฉันว่าเธอใช่ลูกของคุณแน่หรือเปล่า แล้วก็ยังมีเรื่องแม่แท้ๆ ของเธออีก” ถังโจวโจวเห็นว่า เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินในสิ่งที่เธอพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เธอบ่นในใจว่า ‘ในที่สุดคุณก็รู้จักคำว่าร้อนรนใจเสียที นี่ถ้าฉันไม่รู้ ฉันก็คงคิดว่าคุณไม่สนใจแล้วจริงๆ!’
“แล้วคุณตอบเธอว่ายังไง” ลั่วเซ่าเชินนึกไม่ถึงเลยว่าลั่วอิงจะคิดอะไรแบบนี้ มือของเขากำหมัดแน่น และสายตาก็จ้องมองไปที่ถังโจวโจว
เขาคิดว่ามีใครพูดอะไรต่อหน้าลั่วอิงหรือเปล่า เธอถึงได้คิดแบบนั้น ลั่วเซ่าเชินไม่อนุญาตให้ใครหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้ง่ายๆ หรอกนะ
“คุณอย่ามองฉันแบบนั้นนะ นี่เป็นปัญหาของคุณเอง ใครใช้ให้คุณพูดจารุนแรงแบบนั้นออกมาล่ะ ลั่วอิงยังเด็ก เธอยังไม่พร้อมเข้าใจอะไรยากๆ หรอก เธอย่อมคิดไปในทางอื่นอยู่แล้ว”
หลังจากถังโจวโจวพูดออกมา ลั่วเซ่าเชินก็เข้าใจแล้วว่าเขาพูดแรงเกินไปจริงๆ แต่สิ่งที่เขาคิดอยู่คือ อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เพราะ ‘เรื่องนั้น’ แต่เป็นเพราะเขาละเลยเธอไป ไม่ค่อยห่วงใยเธอเหมือนแต่ก่อน ในเมื่อ ‘เรื่องนั้น’ ไม่ใช่ต้นเหตุ เรื่องอื่นก็ไม่เป็นปัญหา
ถังโจวโจวไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ลั่วเซ่าเชินถึงได้ผ่อนคลายลง เธอรู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันไม่ได้ตึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว “คุณคิดอะไรอยู่คะ” เมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่พูด ถังโจวโจวก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
เขามีอะไรปิดบังเธออยู่หรือเปล่า จะใช่เรื่องแม่แท้ๆ ของลั่วอิงไหม ถังโจวโจวไม่เคยถามถึงเรื่องของลั่วอิงมาก่อนเลย แล้วเธอก็ไม่เคยหยิบเรื่องแม่ของลั่วอิงขึ้นมาคุยกับลั่วเซ่าเชินด้วย แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินดูผิดปกติไป ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกสนใจเรื่องแม่ของลั่วอิงขึ้นมา
‘เธอเป็นผู้หญิงแบบไหน ตอนนี้อยู่ที่ไหน’ ทำไมถึงไม่กลับมาหาลั่วอิง? ส่วนลั่วเซ่าเชิน แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดถึงเธอต่อหน้าใคร แต่ครั้งนี้ที่พูดถึงผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา สีหน้าและแววตาของเขาดูเปลี่ยนไปทันที ‘เขายังลืมเธอไม่ได้เหรอ?’
ถังโจวโจวมีคำถามมากมายในใจ แล้วเธอก็อยากให้ลั่วเซ่าเชินตอบคำถามเธอด้วย แต่สิ่งที่เธอมั่นใจในตอนนี้ก็คือ แม่ของลั่วอิงไม่ใช่หันฮุ่ยซินแน่นอน!
ประการแรก การแสดงออกของหันฮุ่ยซินตอนที่ได้เจอลั่วอิงในแต่ละครั้ง มันไม่ได้แตกต่างกัน ประการที่สอง ถ้าเกิดเป็นหันฮุ่ยซินจริงๆ เธอเชื่อว่าลั่วเซ่าเชินก็คงจะคืนดีกับเธอไปแล้ว เพราะว่าเห็นแก่หน้าลูก แล้วก็คงจะไม่มีเรื่องของถังโจวโจวเกิดขึ้น
แต่ถ้าไม่ใช่หันฮุ่ยซินแล้วจะเป็นใครล่ะ? หันฮุ่ยซินคือรักแรกของลั่วเซ่าเชิน จนถึงปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่าก็มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ลั่วเซ่าเชินเคยคบเป็นแฟน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วแม่ของลั่วอิงเป็นใคร? ถังโจวโจวยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย เธออยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ได้คิดอะไร ส่วนเรื่องที่คุณพูดมา ผมเข้าใจแล้ว วันหลังผมจะระวังกว่านี้”
ลั่วเซ่าเชินคิดว่าในเมื่อลั่วอิงไม่ได้เอ่ยถึงใครเป็นพิเศษ เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นอย่างที่ถังโจวโจวบอก ลั่วอิงแค่คิดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเด็กก็เท่านั้น ลั่วเซ่าเชินเองก็คิดว่าเขาอาจจะทำผิดไปจริงๆ ซึ่งความผิดนั้นนำไปสู่ความเข้าใจผิดของลั่วอิง
“คุณไม่มีอะไรจะพูดกับฉันอีกหรือคะ” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาไม่ได้พูดถึงแม่บังเกิดเกล้าของลั่วอิงเลย เธอก็เกิดความรู้สึกหึงหวงในใจ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะมีตำแหน่งสำคัญในหัวใจของเขา หรือว่าจะเป็นเพราะลั่วอิง?
เป็นเพราะความไม่รู้ ถังโจวโจวยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่ และเนื่องจากว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้ให้คำตอบกับเธอ ดังนั้น ความคิดของเธอจึงเตลิดเปิดเปิงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมต้องพูดอะไรอีกเหรอ” ลั่วเซ่าเชินไม่เข้าใจ สิ่งที่เขาควรจะพูด เขาก็พูดออกไปหมดแล้วนี่ จะให้เขาพูดอะไรอีก
เมื่อเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวก็เดินออกจากห้องหนังสือไปด้วยความหงุดหงิด ลั่วเซ่าเชินไม่เข้าใจเมื่อเห็นเธออารมณ์เสีย นี่เธอโกรธอะไรอีกแล้ว?
หลังจากออกมาจากห้องหนังสือ ถังโจวโจวก็กลับไปที่ห้องนอนและล้มตัวลงบนเตียง พลางคิดว่าเมื่อครู่นี้ลั่วเซ่าเชินไม่ได้รู้ใจเธอเลยสักนิด เธอทุบหมอนแล้วก็ยังไม่หายโกรธ เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรศัพท์หาหลินเหยา
“เหยาเหยา เธอหายเมาหรือยัง”
“โจวโจว เมื่อวานเธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม ขอโทษนะ ฉันเกือบทำร้ายเธอไปแล้ว!” หลินเหยารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เมื่อวานนี้เธอทำให้ถังโจวโจวต้องลำบากไปด้วย ถ้าเธอไม่ขอให้ถังโจวโจวออกมา เรื่องเมื่อวานนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ เหยาเหยา ฉันสบายดีจ้ะ เราเป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่าเราต้องทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนของเรา!” ถังโจวโจวที่เดิมทีรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่เมื่อได้คุยกับหลินเหยา เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก
“ขอบคุณนะ โจวโจว” หลินเหยายังคงรู้สึกละอายใจอยู่เล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชินมาได้ทันเวลา ถังโจวโจวกับเธอก็อาจจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายกว่านี้ไปแล้ว!
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เหยาเหยา เราสองคนเป็นอะไรกัน! ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหรอ ฉันอยากจะชวนเธอออกไปเดินเล่นสักหน่อย อยู่บ้านมันน่าเบื่อ” ถังโจวโจวพูดอย่างเบื่อหน่าย
เมื่อหลินเหยาได้ยินเสียงที่ไม่ค่อยสดชื่นตามปกติของถังโจวโจว เธอก็คิดว่าคงไม่ใช่เพราะถังโจวโจวทะเลาะกับลั่วเซ่าเชินอีกแล้วหรอกนะ? หลินเหยารู้สึกได้ว่าช่วงนี้มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินน่าจะยังดูไม่ออกว่าความรู้สึกของถังโจวโจวที่มีต่อเขา มันค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นทุกวัน
แน่นอนว่าคนนอกอย่างหลินเหยาก็ยังรู้สึกได้ว่าถังโจวโจวเปลี่ยนไป จากตอนแรกที่เธอห่างกับเขาได้สบายๆ จนตอนนี้เธอทำใจแยกจากเขาไม่ได้เสียแล้ว ความรู้สึกของถังโจวโจวที่มีต่อลั่วเซ่าเชินมันผันผวนเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าลั่วเซ่าเชินคิดอย่างไร
“จ้ะ ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” เมื่อวานนี้หลังจากหวังหวามาส่งหลินเหยาที่บ้าน เธอก็หลับไปจนถึงเที่ยง เมื่อเธอตื่นขึ้นมาและได้กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งบนตัวของเธอเอง เธอก็แทบจะอาเจียน เธอจึงรีบลุกไปอาบน้ำ หลังจากที่เธอเพิ่งเป่าผมเสร็จ เธอก็ได้รับสายจากถังโจวโจว พอดีกันกับที่เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย
เมื่อถังโจวโจวไปถึงที่นัดหมาย ก็เจอหลินเหยาสั่งบะหมี่เนื้อมากินก่อนแล้ว เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวมาถึงแล้ว หลินเหยาก็ทักทายด้วยน้ำเสียงอู้อี้เนื่องจากอาหารเต็มปาก “มาแล้วเหรอ เธอนั่งสิ!”
“แม้แต่ชื่อฉัน เธอก็ลืมไปแล้ว” ถังโจวโจวเห็นเธอก้มหน้าก้มตากินบะหมี่อย่างตั้งใจ “ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ” มิน่าล่ะ หลินเหยาถึงนัดเธอมาที่นี่ ที่แท้ก็จะได้ฉวยโอกาสแก้หิวก่อนนี่เอง
“โจวโจว ฉันก็กำลังยัดใส่ปากอยู่นี่ไง ฉันนอนจนถึงเที่ยง พออาบน้ำเสร็จ เธอก็โทรมาพอดี ยังไม่ทันได้หาอะไรกินเลย” หลินเหยายัดเส้นบะหมี่คำใหญ่เข้าไปในปากอีกครั้ง เมื่อเห็นเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย ถังโจวโจวก็รู้สึกหิวขึ้นมา
“เหยาเหยา จู่ๆ ฉันก็หิวขึ้นมาแล้ว” ถังโจวโจวน้ำลายสอเมื่อได้กลิ่นของบะหมี่เนื้อ
“หิวเหรอ เธอยังไม่ได้กินข้าวหรือไง” เมื่อมองดูท่าทางของถังโจวโจวที่เหมือนจะน้ำลายหก หลินเหยาก็นึกว่าเธอยังไม่ได้กินอะไรมา
“เปล่าหรอก ฉันกินมาแล้ว แต่พอฉันเห็นเธอกินได้อร่อยมากขนาดนี้ ฉันก็พานหิวไปด้วย” ถังโจวโจวกัดริมฝีปาก และเมื่อเธอได้กลิ่นหอมของอาหาร เธอก็ยิ่งหิวมากขึ้นไปอีก
“เธอนี่นักกินจริงๆ ถ้าหิวก็สั่งมาเพิ่มอีกชามสิ เถ้าแก่คะ เอาบะหมี่เนื้อเพิ่มอีกหนึ่งชาม”
“โอเค เดี๋ยวไปเสิร์ฟ!” เถ้าแก่รับคำหลินเหยา
ถังโจวโจวนั่งตรงข้ามกับหลินเหยา เป็นเพราะกลิ่นหอมของอาหาร เรื่องที่เธอไม่สบายใจก่อนหน้านี้จึงดูเหมือนหายไปในพริบตา
“โจวโจว เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับลั่วเซ่าเชินอีกหรือเปล่า” หลังจากที่กินบะหมี่ไปได้สักพัก กระเพาะของหลินเหยาก็รู้สึกอิ่มไปกว่าครึ่ง ดังนั้นเธอจึงพอหยุดพูดคุยกับถังโจวโจวได้แล้ว
“เปล่าหรอก ฉันแค่อยากรู้ว่าแม่แท้ๆ ของลั่วอิงคือใคร แต่เขาไม่ได้บอกฉัน” คำพูดของถังโจวโจวฟังดูคล้ายกับอาการแง่งอนของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเหยาได้เห็นถังโจวโจวเป็นแบบนี้ นี่คือท่าทางของหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักเหรอ?
“โจวโจว แล้วเธอจะโกรธเขาทำไมที่ไม่ได้บอกเธอ เธอก็รู้ประวัติของลั่วอิงดีอยู่แล้วนี่” หลินเหยาไม่เข้าใจ แม่แท้ๆ ของลั่วอิงไม่ได้มาปรากฏตัวเสียหน่อย ถังโจวโจวจะโกรธผู้ชายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปทำไม
เมื่อถังโจวโจวได้ยินหลินเหยาพูดอย่างนั้น เธอก็พูดอะไรไม่ออก และเมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว นั่นสินะ! เธอจะโกรธเขาทำไม เหมือนกับว่าเพราะความหึงหวงที่มีต่อแม่แท้ๆ ของลั่วอิง ถังโจวโจวจึงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินปฏิบัติกับแม่แท้ๆ ของลั่วอิงแตกต่างออกไป