ผู้เฒ่าเมิ่งไม่ไว้หน้าฉินอวิ๋นแม้แต่น้อย สำหรับลูกสะใภ้คนนี้ เขาไม่เคยยอมรับเธอเลย แต่หลังจากที่เมิ่งชิงซีเกิด ก็ทำให้เขายอมถอยให้ก้าวหนึ่ง แต่ในใจของเขาก็ไม่เคยมองว่าฉินอวิ๋นเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเมิ่ง
ฉินอวิ๋นเองก็รู้ดีว่าผู้เฒ่าเมิ่งมีทัศนคติอย่างไรต่อเธอ ตลอดหลายปีที่เธอยังอยู่ที่นี่ เธอเคยบ่นอยู่ในใจตลอดว่าทำไมผู้เฒ่าเมิ่งถึงไม่ตายไปสักที มีชีวิตขัดขวางความสุขเธออยู่ได้
แต่หลังจากที่เธอย้ายไปอยู่ที่เมือง S ความคิดเหล่านั้นของฉินอวิ๋นก็ค่อยๆ หายไป เพียงกลับมารองรับอารมณ์โกรธแค่ปีละครั้ง ทนนิดทนหน่อยเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว
“ฉันแข็งแรงดี เธอไปได้ยินมาจากไหน ถ้าฉันรู้ว่าใครกุเรื่องแช่งฉัน ฉันไม่ปล่อยไว้แน่!” ผู้เฒ่าเมิ่งฉีกหน้าเธอเดี๋ยวนั้น ซึ่งนั่นทำให้ฉินอวิ๋นรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก
แต่โชคดีที่เธอยังมีลูกสาวที่ดี “คุณปู่ขา คุณแม่ไม่ได้ตั้งใจพูดอย่างนั้นสักหน่อย คุณแม่ก็แค่เป็นห่วงสุขภาพของคุณปู่น่ะค่ะ คุณปู่ยกโทษให้แม่เถอะนะคะ!”
เมื่อมีเมิ่งชิงซีคอยไกล่เกลี่ยอยู่ข้างๆ ผู้เฒ่าเมิ่งก็ไม่ว่าอะไรอีก และเมื่อฉินอวิ๋นเห็นผู้เฒ่าเมิ่งไม่พูดอะไร เธอก็แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ มากันแล้วหรือคะ” สาวงามในชุดกี่เพ้าเดินลงมาจากชั้นบน เธอสวมชุดกี่เพ้าผ้าปักสีน้ำเงินและสวมกำไลหยกที่ข้อมือ ท่วงท่าการเดินของเธอดูพลิ้วไหวงดงาม
“ป้ารอง หนูกำลังคิดอยู่เลยค่ะว่าป้าหายไปไหน ที่แท้ก็อยู่ข้างบนนี่เอง” เมิ่งชิงซีเอ่ยทักเธอก่อน
หลีหย่าเหวินพยักหน้าเล็กน้อย “ว่าไงจ๊ะ ชิงซี”
ทุกคนนั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น เมิ่งไหวเซินยิ่งพูดก็ยิ่งผิด ดังนั้นเขาจึงนั่งนิ่งเป็นตอไม้อยู่ตรงนั้น และเขาจะเปิดปากพูดก็ต่อเมื่อเมิ่งซงอวินเอ่ยถามเขาเท่านั้น
ผู้เฒ่าเมิ่งถามเมิ่งชิงซีถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ จากนั้นก็หันไปคุยเรื่องความสัมพันธ์ของเธอ “ชิงซี ช่วงนี้มีเพื่อนคู่ใจหรือยังลูก”
เมิ่งชิงซีเข้าใจได้ในทันทีเมื่อได้ยินคำถามจากผู้เฒ่าเมิ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอ เธอก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกจากทุกคน “คุณปู่ขา หนูไม่ได้รีบสักหน่อย”
ผู้เฒ่าเมิ่งถลึงตามองลูกชายอย่างโกรธเกรี้ยว “ไหวเซิน ลูกแกโตจนป่านนี้แล้ว แกที่เป็นพ่อไม่รู้หรือยังไงว่าเรื่องแบบนี้มันสำคัญมากแค่ไหน?”
เมื่อเมิ่งไหวเซินเห็นว่าหัวข้อการสนทนาย้ายมาอยู่ที่เขา เขาก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน “พ่อครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่สนใจชิงซี แต่เธอยังลืมเซ่าเชินไม่ได้ มันเป็นเรื่องของเด็กๆ ผมจะเข้าไปยุ่งได้ยังไง”
ทันทีที่ผู้เฒ่าเมิ่งได้ยินชื่อของลั่วเซ่าเชิน เขาก็เข้าใจในทันที และเมื่อเขามองไปที่แววตาเจ็บช้ำของเมิ่งชิงซี เขาก็รู้ว่าเธอทุกข์ใจ หรือจะให้เขาถือปืนไปบังคับให้เขาแต่งงานกับเธอดี?
ผู้เฒ่าเมิ่งรู้ดีว่าเขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเมิ่งชิงซี เขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย การที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อประโยชน์ของหลานสาวเอง ในเมื่อตระกูลลั่วไม่ต้องการเธอ แล้วทำไมตระกูลเราถึงต้องไปง้อพวกเขาด้วย ต้องให้คนเขานินทาว่าหน้าไม่อายก่อนหรือถึงจะหยุดได้?
“ชิงซี ลืมเรื่องการหมั้นหมายของหนูกับเซ่าเชินไปเถอะ เพราะถึงยังไงตอนนี้เขาก็มีเมียไปแล้ว หนูให้พ่อของหนูแนะนำคนดีๆ ให้หนูใหม่สิ แล้วหนูก็ค่อยๆ เลือกไป เดี๋ยวก็เจอคนที่เหมาะสมเอง” ผู้เฒ่าเมิ่งพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาด้วยความยากลำบาก
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบฉินอวิ๋น แต่กับหลานสาวคนนี้เธอไม่ได้ผิดอะไร ดังนั้น ผู้เฒ่าเมิ่งจึงไม่อาจเอาความโกรธเกลียดมาลงที่เมิ่งชิงซีได้
“คุณพ่อคะ พอแล้วค่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชิงซีเลย แล้วพวกเด็กๆ ก็โตกันหมดแล้ว คุณพ่ออย่ากังวลไปเลยนะคะ หนูเชื่อว่าพวกเด็กๆ จะจัดการกันเองได้” หลีหย่าเหวินพูดพลางยิ้ม
ฉินอวิ๋นเองก็ช่วยเสริม “ใช่ค่ะ คุณพ่อ ชิงซีแกไม่ยอม พวกเราก็เลยไม่รู้จะทำยังไง บางทีอาจจะต้องให้เวลาเธออีกสักพัก เดี๋ยวเธอก็จะคิดได้เองค่ะ” ฉินอวิ๋นยิ้มอย่างอ่อนโยน ชั่วขณะหนึ่งเธอบังเอิญหันไปสบตากับหลีหย่าเหวิน ทันใดนั้นพวกเธอก็เมินหน้าหนีกันไปคนละทาง
“ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นก็เลิกพูดเถอะ” เมื่อผู้เฒ่าเมิ่งเห็นว่าเมิ่งชิงซีเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ ส่วนเขาก็ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องของคนอื่นมากนัก เขาจึงหันไปพูดกับหลีหย่าเหวินว่า “ยายรอง แล้วไหวหมินจะกลับมาตอนไหน”
เมิ่งจวินจิ่นเอ่ยตอบให้แทนว่า “เมื่อครู่นี้คุณพ่อโทรมาแล้วครับ คุณปู่ คุณพ่อบอกว่าอีกสักพักก็กลับแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะครับ”
ทันทีที่เขาพูดจบ เมิ่งจวินจิ่นก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ในเขตคฤหาสน์ ผ่านไปสักพัก เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกคนอย่างช้าๆ จากนั้นชายคนหนึ่งในชุดทหารก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบตึง หลีหย่าเหวินเดินเข้าไปต้อนรับเขาทันที “กลับมาแล้วหรือคะ ไหวหมิน”
เขาส่งหมวกให้หลีหย่าเหวิน สีหน้าเย็นชาของเมิ่งไหวหมินเมื่อครู่นี้ละลายหายไปในทันที “คุณเป็นยังไงบ้าง หายดีแล้วหรือยัง”
ความจริงแล้วเมื่อวานนี้หลีหย่าเหวินมีไข้ต่ำ แต่ตอนนั้นเมิ่งไหวหมินมีภารกิจเร่งด่วน เขาจึงต้องทิ้งให้หลีหย่าเหวินอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง ดังนั้นเมื่อเขากลับมาถึง เขาจึงรีบเอ่ยถามเธอด้วยความห่วงใย
เมื่อหลีหย่าเหวินเห็นว่าสายตาของทุกคนจับจ้องมาทางนี้ ใบหูของเธอก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดง “ฉันหายดีแล้วค่ะ คุณรีบเข้าไปทักคุณพ่อเถอะ ท่านรอคุณอยู่นานแล้ว อ้อ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้พาชิงซีมาด้วยนะคะ”
ฉินอวิ๋นมองดูความสัมพันธ์ระหว่างหลีหย่าเหวินและเมิ่งไหวหมินที่ยังคงดีอยู่เหมือนเดิม พลันหันกลับมามองคนที่อยู่ข้างกายเธออย่างเมิ่งไหวเซิน เธอก็คิดว่าทำไมคนที่เธอเจอในตอนนั้นถึงไม่ใช่เมิ่งไหวหมิน หากเธอมีเมิ่งไหวหมินที่เป็นห่วงเป็นใยเธอแบบนี้ เธอก็คงไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์มานานขนาดนี้
ความคิดนี้แค่แวบผ่านเข้ามาให้สมอง ฉินอวิ๋นเพียงรู้สึกขัดใจก็เท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ววันนี้ชีวิตของเธอก็ขึ้นอยู่กับเมิ่งไหวเซิน
“กลับมาแล้วครับ”
หลังจากทักทายประมุขของบ้าน เขาก็หันมามองที่ครอบครัวของเมิ่งไหวเซิน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ชิงซี มากันแล้วหรือครับ” แม้ว่าคำพูดจะฟังดูเย็นชา แต่เมิ่งไหวเซินก็รู้จักนิสัยของน้องชายคนนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันเสียมารยาทอะไร เขาชินเสียแล้ว
“ไหวหมิน ช่วงปีใหม่ในกองทัพยังยุ่งอยู่อีกหรือ” เมื่อก่อนเมิ่งไหวเซินไม่ได้สนใจเดินตามรอยที่ผู้เฒ่าเมิ่งต้องการ เพราะเขามุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจ หลังจากนั้นความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเขาก็ห่างเหินกันมาโดยตลอด
แต่เมิ่งไหวหมินนั้นแตกต่างออกไป เขาเลือกที่จะเข้ากองทัพตามคำแนะนำของเมิ่งซงอวินและเขาก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในใจของเมิ่งซงอวินจึงคิดว่าเขาดีกว่าเมิ่งไหวเซินมาก
นอกจากนี้เขายังมีหลานชายที่ดีอย่างเมิ่งจวินจิ่นอีกคน ดังนั้นสำหรับผู้เฒ่าเมิ่งแล้ว แม้กระทั่งหลีหย่าเหวินก็ยังสำคัญกว่าฉินอวิ๋นมาก
เมื่อมีจัดลำดับความสำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าเสิ่นหลานอีก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุทำให้ผู้เฒ่าเมิ่งไม่ชอบฉินอวิ๋น เดิมทีผู้เฒ่าเมิ่งเป็นคนเลือกเสิ่นหลานอีให้มาเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเมิ่งด้วยตัวเอง เขาใช้ความพยายามอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะมิตรภาพระหว่างเขาและพ่อของเสิ่นหลานอีแล้ว การแต่งงานในครั้งนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้
หลังจากเสิ่นหลานอีและเมิ่งไหวเซินได้พบกันอยู่หลายครั้ง เธอก็เริ่มสนใจในตัวเขา แต่ทางเมิ่งไหวเซินกลับมีอคติต่อเสิ่นหลานอี
นานวันเข้าเสิ่นหลานอีก็รับเขาเข้าไปอยู่ในหัวใจ ถึงแม้ว่าเมิ่งไหวเซินจะรู้สึกหวั่นไหวไปกับความงามของเสิ่นหลานอีอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องเผชิญกับสภาวะที่ครอบครัวบังคับให้เขาแต่งงานกับเสิ่นหลานอี ความหวั่นไหวเหล่านั้นก็ลดน้อยลงไปโดยปริยาย
“ครับ สองวันนี้ในหน่วยมีภารกิจเร่งด่วน ผมก็เลยยุ่งจนถึงตอนนี้”
หลังจากที่เสิ่นหลานอีเกิดอุบัติเหตุ ความสัมพันธ์ระหว่างเมิ่งไหวหมินและพี่ใหญ่อย่างเมิ่งไหวเซินก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเหมือนแต่ก่อน หรือพูดให้ถูกก็คือ พวกเขาห่างเหินกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หลายปีก่อน เพราะความลำเอียงของผู้เฒ่าเมิ่ง ทำให้เมิ่งไหวเซินอดรนทนไม่ไหวที่ถูกเปรียบเทียบกับเมิ่งไหวหมินอยู่บ่อยครั้ง พูดอย่างคับแค้นใจออกมาเสียยกใหญ่ และหลังจากที่เสิ่นหลานอีเกิดอุบัติเหตุ เมิ่งไหวเซินก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับทางบ้านอีก เขาเพียงกลับมาบ้านแค่ปีละหน เพื่อมาฉลองวันขึ้นปีใหม่เท่านั้น ส่วนช่วงเวลาที่เหลือเขาก็ไม่ได้กลับมาเลย
เมื่อผู้เฒ่าเมิ่งเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้ว เขาก็หันไปพยักหน้าให้หลีหย่าเหวิน หลีหย่าเหวินเดินไปที่ครัวพลางพูดว่า “พี่อู๋จ๊ะ ยกอาหารกลางวันออกมาได้เลย”
ผู้เฒ่าเมิ่งนั่งที่หัวโต๊ะ ครอบครัวของเมิ่งไหวหมินและเมิ่งไหวเซินนั่งขนาบอยู่ทั้งสองข้าง มื้ออาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างน่าอึดอัด นอกเหนือจากหลีหย่าเหวินและเมิ่งชิงซีที่คอยชวนคุยเป็นครั้งเป็นคราวแล้ว คนที่เหลือก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารที่อยู่ในชามของตัวเอง
ทางด้านของคฤหาสน์ตระกูลลั่วก็ไม่ต่างกัน คุณแม่ลั่วไม่คุยกับถังโจวโจวอยู่แล้ว ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็เป็นคนไม่ค่อยพูด ถังโจวโจวเองก็เอาแต่สนใจอาหารที่อยู่ในปาก ราวกับว่าถ้าเธอทำแบบนี้ เธอจะสามารถลดการมีตัวตนอยู่ของตัวเองลงได้
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้ว ในช่วงบ่ายทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปอยู่คนละมุม ถังโจวโจวช่วยแม่นมจ้าวเตรียมวัตถุดิบสำหรับมื้อค่ำอยู่ในครัว ในขณะที่คุณพ่อลั่วเรียกตัวลั่วเซ่าเชินให้ไปหาที่ห้องหนังสือ ส่วนลั่วอิงหลังจากที่ออกไปเล่นที่สวนดอกไม้ได้พักหนึ่ง เธอก็วิ่งกลับเข้ามาในครัวเพื่อดูว่าถังโจวโจวกำลังทำอะไรอยู่
อาหารที่เตรียมไว้สำหรับมื้อค่ำละลานตากว่ามื้อกลางวันอยู่มาก แม่นมจ้าวแสดงฝีมือการทำอาหารทั้งหมดที่มีออกมา ช่วงเวลาตลอดบ่ายคุณแม่ลั่วเองก็ไม่ได้พูดอะไรที่กระทบกระทั่งถังโจวโจว ด้วยเธอรู้สึกไม่กระตือรือร้นสักเท่าไรนัก
หลังจากมื้อค่ำผ่านไป ลั่วเซ่าเชินก็หยัดตัวขึ้น เขาเตรียมพาถังโจวโจวและลั่วอิงกลับบ้าน คุณแม่ลั่วถามขึ้นมาทันทีว่า “วันนี้ไม่ค้างที่นี่กันสักคืนเหรอ อาเชิน อยู่ต่ออีกสักสองสามวันแล้วค่อยกลับสิ?”
คุณแม่ลั่วคิดไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะอยู่บ้านแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แม้แต่จะนอนค้างสักคืนเขาก็ไม่ทำ เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ลั่วเอ่ยปากขอให้อยู่ เธอก็ลอบเขย่าแขนของลั่วเซ่าเชินเบาๆ แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ยอมใจอ่อน “วันนี้ผมอยู่ต่อไม่ได้ครับแม่ ผมมีธุระ เราต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว”
เมื่อได้ยินลั่วเซ่าเชินปฏิเสธ คุณแม่ลั่วก็ได้แต่กอดลั่วอิงเอาไว้ “ลั่วอิง หนูอยากอยู่ที่นี่กับคุณปู่คุณย่าไหมคะ”
คุณพ่อลั่วเห็นว่าคุณแม่ลั่วต้องการจะรั้งให้ครอบครัวของลั่วเซ่าเชินพักอยู่ที่นี่ เขาก็พูดกับลั่วเซ่าเชินขึ้นมาว่า “พวกแกจะรีบกลับกันไปทำไม แม่แกเขาอยากให้แกอยู่ แกจะตามใจแม่แกไม่ได้เลยเหรอ” คุณพ่อลั่วรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินชักจะเกินไปแล้ว ถังโจวโจวเองก็พอกัน เขาคิดว่าถังโจวโจวควรจะพูดโน้มน้าวลั่วเซ่าเชินสักหน่อย ไม่อย่างนั้นแต่งภรรยาอย่างเธอเข้ามาจะมีประโยชน์อะไร
“ไม่ได้จริงๆ ครับพ่อ โจวโจว ลั่วอิง กลับกันเถอะ!” ลั่วเซ่าเชินก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ถังโจวโจวมองดูคุณพ่อและคุณแม่ลั่วด้วยความกังวลใจ แต่เธอก็ต้องทำตามที่ลั่วเซ่าเชินบอก เธอจับมือลั่วอิงและพากันเดินตามหลังเขาออกไปด้านนอก
เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าแม้แต่ลั่วอิงก็ยังไม่ยอมอยู่ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกหนาวจับใจ ทำไมครอบครัวถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? คุณพ่อลั่วเข้ามาจับมือให้กำลังใจคุณแม่ลั่ว “คุณจะเสียใจไปทำไม ลูกมันโตแล้ว คุณไปบังคับอะไรไม่ได้หรอก ยังไงคุณก็ยังมีผมไม่ใช่เหรอ”
“ฉันเสียใจที่ไหนกัน ฉันไม่ได้เสียใจสักหน่อย” คุณแม่ลั่วไม่ยอมรับ คุณพ่อลั่วก็ไม่ได้พูดขัดอะไร เขาเพียงแต่ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
ลั่วเซ่าเชินขับรถมาถึงบ้าน พวกเขาปล่อยให้ลั่วอิงเข้าไปในบ้านก่อน ถังโจวโจวหันหน้ามาถามเขาว่า “ทำไมวันนี้คุณถึงไม่ยอมค้างที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ล่ะคะ”
“คุณไม่ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วจะอยู่ด้วยกันไปทำไม เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันอีก” ลั่วเซ่าเชินไม่เข้าใจว่าถังโจวโจวกำลังคิดอะไรอยู่ เธอกับแม่ของเขาเข้ากันไม่ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วเธอจะฝืนตัวเองอยู่ที่นั่นทำไม
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินทำเพื่อเธอขนาดนี้ เธอก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “อากาศหนาวขนาดนี้ เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ!”