วันต่อมา ลั่วเซ่าเชินให้ถังโจวโจวเตรียมตัวตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่พวกเขาทั้งสามคนจะรีบไปที่บ้านตระกูลถัง คุณพ่อและคุณแม่ถังรออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสามคนเดินเข้ามา ท่านทั้งสองก็ยิ้มอย่างมีความสุข “เซ่าเชิน โจวโจว มากันแล้วเหรอลูก ข้างนอกหนาวมากใช่ไหม”
คนสูงวัยสองคนแย้มยิ้มราวกับดอกไม้กำลังจะเบ่งบาน ความรักที่ทั้งคู่มีให้พวกเขาล้วนออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ไม่เท่าไรครับ คุณพ่อคุณแม่ ลั่วอิง รีบเข้าไปทักทายคุณตาคุณยายสิลูก” ลั่วเซ่าเชินดึงลั่วอิงออกมาจากด้านหลัง
ลั่วอิงรีบคำนับพวกเขาทันที “คุณตาคุณยายขา ลั่วอิงมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ!”
คุณพ่อและคุณแม่ถังอ้าปากค้าง “โอ้โฮ วันนี้ลั่วอิงน่ารักจริงๆ เลยลูก เดี๋ยวคุณตากับคุณยายจะให้อั่งเป่าซองใหญ่ๆ เลยนะ เข้ามาสิ เข้ามาเลย!”
ลั่วเซ่าเชินถือกระเป๋าเข้าไปวางไว้ในห้องนั่งเล่น คุณแม่ถังดึงถังโจวโจวไว้ ก่อนจะกระซิบถามว่า “โจวโจว ตกลงลูกกับเซ่าเชินเป็นยังไงบ้าง”
พวกเขาสองคนคืนดีกันแบบเงียบๆ แต่คุณแม่ถังก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี หลังจากวันนั้น ถังโจวโจวก็มาขนข้าวขนของกลับไป และสีหน้าของเธอก็ไม่ได้ดูอมทุกข์เหมือนแต่ก่อนด้วย คุณแม่ถังจึงเข้าใจว่าเธอน่าจะคิดได้แล้ว
ถังโจวโจวพยักหน้าส่งๆ และพูดอย่างกำกวม “ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ”
คุณแม่ถังตีเข้าที่ต้นแขนของเธอ ถังโจวโจวลูบแขนตัวเองพลางร้อง “โอ๊ย แม่ทำอะไรคะเนี่ย” จู่ๆ มาตีเธอทำไม?
เมื่อลั่วเซ่าเชินและคุณพ่อถังได้ยินถังโจวโจวร้องเสียงหลง พวกเขาก็หันกลับไปมอง “เกิดอะไรขึ้นครับ”
คุณแม่ถังรีบพูดกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรจ้ะ โจวโจวแค่สะดุดชนแม่น่ะ”
ลั่วเซ่าเชินมองไปที่ถังโจวโจว “เดินมองทางบ้างสิคุณ คุณแม่ครับ เธอก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่รู้จักระมัดระวังอะไรสักอย่าง บางทีก็ไม่รู้ว่าใจลอยไปถึงไหน”
ถังโจวโจวได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดจาค่อนแคะถึงตัวเองเสียขนาดนี้ ถังโจวโจวก็อดถลึงตาใส่เขาไม่ได้ ลั่วเซ่าเชินแสร้งทำเป็นไม่เห็น ส่วนคุณแม่ถัง เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วเซ่าเชินที่แม้จะเหมือนเหน็บแนมลูกสาว แต่ที่จริงแล้วกลับแฝงไปด้วยความห่วงใย ในที่สุดเธอก็วางใจกับความสัมพันธ์ที่ดีของหนุ่มสาวคู่นี้ได้เสียที
เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังเพ่งมองมาทางนี้ คุณแม่ถังจึงพูดกับถังโจวโจวว่า “โจวโจว มาช่วยงานแม่ในครัวหน่อย”
ลั่วเซ่าเชินรีบหยัดตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ให้ผมช่วยดีกว่าครับคุณแม่” เขาพูดพลางจะถกแขนเสื้อขึ้น ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เหมือนว่าตั้งใจจะเข้าไปช่วยจริงๆ
คุณแม่ถังให้คุณพ่อถังช่วยหยุดเขาไว้โดยด่วน “ไม่ต้องหรอก เซ่าเชิน จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ให้โจวโจวไปช่วยแม่ก็พอแล้ว”
คุณแม่ถังลากถังโจวโจวเข้ามาในครัว จากนั้นคุณแม่ถังก็หยิบชามผักขึ้นมาและมอบหน้าที่เด็ดผักล้างผักให้กับถังโจวโจว ถังโจวโจวหยิบเก้าอี้ตัวเล็กออกมานั่งในครัว คุณแม่ถังล้างทำความสะอาดวัตถุดิบที่จะใช้ในตอนกลางวัน พลางคุยกับถังโจวโจวอย่างเพลิดเพลิน
แสงแดดสีทองนวลอุ่นสาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง กระทบลงบนเรือนผมของถังโจวโจวราวกับชุบด้วยทอง ทันใดนั้น คุณแม่ถังก็มองเธออย่างเหม่อลอย เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ลูกสาวของเธอจะโตจนป่านนี้แล้ว ซ้ำยังแต่งงานแล้วด้วย
แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับตระกูลของลั่วเซ่าเชิน และเธอก็ไม่คาดหวังว่าลูกของเธอจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น แต่มันสามารถมองเห็นได้จากสีหน้าของถังโจวโจวที่บอกเป็นนัยว่า เวลาที่เธออยู่กับคุณชายเล็กแห่งตระกูลลั่วคนนี้ เธอมีความสุข
แค่ลูกสาวมีความสุขก็เพียงพอแล้ว คิดมาถึงตรงนี้คุณแม่ถังก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เธอรีบเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อเพื่อปกปิดมันไว้
แต่เรื่องนั้น…วันนี้เธอจะต้องรู้ให้ได้!
“โจวโจว ลูกคนนี้นี่ ทำไมตอนที่แม่ถามถึงไม่พูดออกมาตามตรง ‘ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ’ นี่หมายความว่ายังไง”
“แม่จะถามทำไมเยอะแยะ แม่แค่รู้ว่าหนูกับเขาคืนดีกันชั่วคราวก็พอแล้ว” ถังโจวโจวไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไร แต่คุณแม่ถังกลับดูสนใจเป็นอย่างมาก แม้แต่สิ่งต่างๆ ที่กำลังทำอยู่ในมือก็ยังหยุดลง
“ชั่วคราวคืออะไร ลูกยังลืมเรื่องนั้นไม่ลงใช่ไหม” คุณแม่ถังเองก็รู้ว่าถังโจวโจวไม่มีทางลืมเรื่องนั้นได้แน่ แต่เมื่อคุณแม่ถังเห็นท่าทางของลั่วเซ่าเชินในตอนนี้ เธอก็ไม่คิดว่าลั่วเซ่าเชินจะทำเรื่องอะไรแบบนั้นได้ โจวโจวเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า?
เมื่อคุณแม่ถังพูดมันออกมา ถังโจวโจวก็โต้กลับในทันที “แม่คะ หนูเคยบอกแม่ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าหนูเห็นมากับตา ได้ยินมากับหู มันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องเท็จไปได้เลย ถ้าแม่ยังถามหนูอีกคำ หนูจะเดินออกจากครัวแล้วนะ!”
ถังโจวโจวไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ ทุกวันนี้เธอสู้อุตส่าห์ทำเป็นลืมเรื่องนั้นไปแล้ว ราวกับว่าเธอตั้งใจทิ้งเรื่องนั้นเอาไว้ข้างหลัง
เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวไม่พอใจ เธอก็ไม่เอ่ยถามอะไรอีก ทั้งสองคนง่วนอยู่กับงานในครัว ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินกำลังเล่นหมากรุกอยู่กับคุณพ่อถังในห้องนั่งเล่น โดยมีลั่วอิงนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่กระดานโดยไม่ปริปากพูดเลยสักคำ ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจวิธีเล่นหรือไม่
คุณพ่อถังกลัวว่าเธอจะเบื่อ “ลั่วอิง หนูไปดูว่าพวกคุณยายทำอะไรอร่อยๆ ในครัวดีกว่าไหมลูก คุณตากับคุณพ่อกำลังจะโขกหมากรุกกันอยู่ หนูไม่เบื่อหรือ”
คิดไม่ถึงเลยว่าลั่วอิงก็ยังไม่ยอมไปอยู่ดี “ไม่เป็นไรค่ะ คุณตา หนูอยู่ตรงนี้ดีแล้วค่ะ”
ความจริงแล้วลั่วอิงไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคุณพ่อถังกับลั่วเซ่าเชินกำลังทำอะไรกันอยู่ แต่แม้ว่าสายตาของเธอจะจับจ้องอยู่ที่กระดานหมากรุก แต่หูของเธอกลับกำลังฟังเสียงจากโทรทัศน์ นี่เป็นการแยกโสตประสาทอย่างชำนาญเลยทีเดียว
เมื่อคุณพ่อถังเห็นเธอทำหน้าตาเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าดูจริงจังมาก นี่ถ้าหากว่าเขาไม่รู้ เขาก็คงคิดว่าเธอกำลังคิดจะทำการใหญ่อยู่! ในเมื่อเธอไม่อยากไป คุณพ่อถังก็ไม่บังคับ เขาหันกลับไปสนใจเกมการต่อสู้ระหว่างเขาและลั่วเซ่าเชินต่อ
หลังจากเกมหมากรุกจบลง คุณพ่อถังและลั่วเซ่าเชินเสมอกัน ลั่วเซ่าเชินพูดว่า “ขอบคุณที่ออมมือให้นะครับ คุณพ่อ”
คุณพ่อถังรู้ดีว่าเขากำลังถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะ “เซ่าเชิน ทักษะการโขกหมากรุกของคุณนั้นดีมาก พ่อเทียบไม่ติดเลย” คุณพ่อถังแค่เล่นเอาสนุก ทางหมากของลั่วเซ่าเชินนั้นเน้นไปที่การโจมตีเป็นหลัก ส่วนคุณพ่อถังก็เพียงตั้งรับเป็นส่วนใหญ่
“พ่อคะ เซ่าเชิน เตรียมตัวทานข้าวได้แล้วค่ะ” ถังโจวโจวชะโงกหน้าออกมาจากห้องครัว คุณพ่อถังและลั่วเซ่าเชินช่วยกันเก็บกระดาน
“เวลานี่มันเดินเร็วจริงๆ เล่นไปแค่ไม่กี่ตาก็ถึงเวลากินข้าวซะแล้ว”
“ถ้าคุณพ่ออยากเล่นอีก เดี๋ยวพอทานข้าวเสร็จ เราค่อยกลับมาต่อกันก็ได้ครับ” ลั่วเซ่าเชินตัดสินใจแล้วว่าวันนี้เขาจะอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อถังจนจบ และการเดินหมากกับคุณพ่อถังนั้นก็นับเป็นความเพลิดเพลินอีกอย่างหนึ่ง คุณพ่อถังไม่เคยคิดเสียใจเลยหลังจากเดินหมากพลาด
ลั่วเซ่าเชินช่วยถังโจวโจวยกกับข้าวขึ้นโต๊ะ และช่วยเธอวางอุปกรณ์ทานข้าว เมื่อคุณแม่ถังยกกับข้าวจานสุดท้ายออกมาตั้งโต๊ะ ทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน
หากจะเปรียบเทียบกับคฤหาสน์ตระกูลลั่ว ที่นี่คึกคักมีความสุข ส่วนที่นั่นเยือกเย็นเป็นถ้ำน้ำแข็ง คุณพ่อถังหยิบเหล้าออกมาก่อนจะรินให้ลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชิน วันนี้คุณดื่มเป็นเพื่อนพ่อหน่อยนะ ถ้าเมาก็นอนมันซะที่นี่แหละ”
ลั่วเซ่าเชินหมายจะปฏิเสธ แต่พอได้ยินคุณพ่อถังพูดประโยคถัดมา เขาก็รับมาแล้วดื่มมันลงไป
คุณแม่ถังคีบกับข้าวให้ลั่วอิง “ลั่วอิง ทานเยอะๆ นะลูก”
“ค่ะ คุณยาย กับข้าววันนี้อร่อยมาก คุณยายเก่งที่สุดเลยค่ะ!” ลั่วอิงยกนิ้วโป้งให้คุณแม่ถัง คุณแม่ถังหัวเราะจนกรามค้าง “เด็กคนนี้นี่ ปากหวานจริงเชียว”
พวกเขาพูดคุยกันในขณะที่รับประทานอาหาร ทุกคนต่างก็ระบายในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจและสิ่งที่อยากจะพูดมาตลอด ถังโจวโจวไม่ได้รู้สึกกดดันเลยเมื่ออยู่ที่นี่ ซึ่งลั่วเซ่าเชินก็สัมผัสได้ถึงความสบายอกสบายใจที่เธอมี แล้วเขาก็แอบคิดอะไรอยู่เงียบๆ
หลังจากรับประทานอาหารกันอย่างอิ่มเอมแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็กลับมาเล่นหมากรุกกับคุณพ่อถังอีกครั้ง เมื่อครู่ที่เขาดื่มเหล้าไป ลั่วเซ่าเชินไม่ได้มีอาการมึนเมาเลยแม้แต่น้อย ส่วนคุณพ่อถังก็ดื่มเหล้าวันละแก้วเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรผิดปกติเช่นกัน
คุณแม่ถังกำลังพูดคุยอยู่กับถังโจวโจวและลั่วอิง ทั้งสามคนนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา เป็นเพราะเมื่อวานนี้ครอบครัวของถังโจวโจวไม่ได้อยู่โต้รุ่ง ดังนั้นวันนี้พวกเธอจึงเลือกดูงานชุนหว่าน[1] ที่เมื่อวานไม่ได้ดูกันเลย
ถังโจวโจวไล่อ่านและตอบข้อความสวัสดีปีใหม่ของเพื่อนๆ แต่ละคน โดยท่ามกลางข้อความเหล่านั้น มีสองข้อความที่ดึงดูดสายตาของถังโจวโจวได้เป็นอย่างดี หลินเหยาส่งมาว่า [โจวโจว ปีนี้ฉันขอให้เธอมีลูกชาย (หรือลูกสาว) บุญธรรมให้ฉันนะ ช่วยทำให้ฉันได้เป็นแม่บุญธรรมที แล้วก็สวัสดีปีใหม่!]
ในขณะที่ข้อความของฟังหยวนนั้นสั้น กระชับ ได้ใจความ [สวัสดีปีใหม่ครับ โจวโจว ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณตลอดไป]
ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ถังโจวโจวไปพักที่บ้านของฟังหยวน ต่อมาเธอก็คุยกับฟังหยวนเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม เธอมองว่าเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเธอจะรู้ว่าฟังหยวนแอบคิดอะไรกับเธอ แต่ฟังหยวนก็ไม่ได้แสดงมันออกมา เธอจึงสามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ โดยถือเอาคำพูดของเขาก่อนหน้าเป็นแค่เรื่องตลก
ครอบครัวของถังโจวโจวอยู่กินมื้อค่ำที่บ้านตระกูลถังก่อนจะกลับบ้าน และก่อนที่ลั่วอิงจะกลับ คุณแม่ถังก็ยื่นอั่งเป่าซองใหญ่ให้เธอ ทำเอาลั่วอิงดีอกดีใจเสียยกใหญ่
เมิ่งชิงซีพักอยู่ที่เมือง Z สองสามวัน ก่อนจะกลับมาพร้อมกับฉินอวิ๋น และสิ่งแรกที่เธอทำก็คือไปสวัสดีปีใหม่คุณพ่อและคุณแม่ลั่วที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว
คุณแม่ลั่วมองดูของขวัญล้ำค่าที่เมิ่งชิงซีถือมาให้ เธอรีบบอกให้แม่นมจ้าวไปหาที่หาทางวางให้ดี เธอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเมิ่งชิงซีในช่วงนี้ และเมื่อได้ยินว่าเธอกลับไปที่เมือง Z คุณแม่ลั่วก็ถามถึงผู้เฒ่าเมิ่ง “ช่วงนี้คุณปู่ของหนูแข็งแรงดีใช่ไหมจ๊ะ”
“คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณปู่แข็งแรงดี ท่านเองก็คิดถึงคุณลุงกับคุณป้ามากเหมือนกันค่ะ” เมิ่งชิงซีจับมือของคุณแม่ลั่ว เพื่อแสดงความคิดถึงแทนผู้เฒ่าเมิ่ง
คุณแม่ลั่วซาบซึ้งไปชั่วขณะ “ครั้งหน้าป้าจะต้องไปเยี่ยมท่านบ้างแล้วล่ะ” ตั้งแต่ที่ตระกูลลั่วย้ายมาอยู่ที่เมือง S พวกเขาก็ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลเมิ่ง แต่พวกเขาก็ยังอยู่ใกล้กับเมิ่งไหวเซินและฉินอวิ๋น
เมิ่งชิงซีใช้เวลาอยู่กับคุณแม่ลั่วตลอดทั้งวันก่อนจะลากลับบ้าน เมื่อเธอเข้ามาในบ้านแล้วเห็นว่าภายในบ้านเงียบเชียบ เธอจึงถามแม่บ้านว่า “แม่บ้านหวัง คุณแม่ล่ะ?”
“คุณหนูกลับมาแล้วหรือคะ คุณผู้หญิงอยู่ข้างบนค่ะ เธอบอกว่าอยากจะพักผ่อน”
เมิ่งชิงซีพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงขึ้นไปที่ห้องนอนของฉินอวิ๋น เธอเปิดประตูเข้าไปโดยที่ไม่ได้เคาะ ฉินอวิ๋นหันหลังให้เธออยู่ เธอไม่รู้ว่าแม่ของเธอกำลังทำอะไร แต่ท่าทางดูลุกลี้ลุกลนมาก
เมิ่งชิงซีเอ่ยถามอย่างสงสัย “แม่ทำอะไรอยู่คะ แม่บ้านหวังบอกว่าแม่กำลังพักผ่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วแม่นั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
ฉินอวิ๋นซ่อนของที่อยู่ในมือลงไปในลิ้นชักของโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมื่อครู่เมิ่งชิงซีไม่ทันเห็นว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ จึงเอ่ยถึงเรื่องอื่น “ชิงซี ทำไมไม่เคาะประตูก่อนเข้ามา ลูกทำให้แม่ตกใจนะ”
เมื่อฉินอวิ๋นเห็นว่าของของเธอถูกซ่อนไว้อย่างดีแล้ว เธอก็ลุกเดินไปที่เตียง เมิ่งชิงซีเห็นว่าไม่มีอะไรวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งเลย แต่เธอก็ยังอดที่จะมองไปทางนั้นไม่ได้ แต่แล้วเธอก็ไม่พบอะไรที่ผิดสังเกต เธอจึงได้แต่ดึงสายตากลับมา
“หนูเป็นลูกแม่นะคะ จะเคาะประตูทำไม ก็หนูได้ยินแม่บ้านหวังบอกว่าแม่กำลังหลับอยู่ หนูก็เลยไม่ได้เคาะประตู ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าแม่ตื่นอยู่ แล้วแม่กำลังทำอะไรอยู่คะ ท่าทางลับๆ ล่อๆ” เห็นได้ชัดว่าเมิ่งชิงซียังคงคาใจในเรื่องนี้
“ชิงซี เรานี่ชักจะพูดจาไร้สาระเข้าไปทุกทีแล้ว แม่อยู่ในห้องของแม่นะ แม่จะทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปทำไม ลูกดูผิดไปแล้ว จู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาอย่างนี้ แม่ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาสิ” เมื่อเห็นฉินอวิ๋นยืนยันหนักแน่น เมิ่งชิงซีก็พยักหน้าอย่างฟังหูไว้หู
เมื่อฉินอวิ๋นเอาตัวรอดจากเมิ่งชิงซีได้แล้ว เธอก็เบาใจลงไปครึ่งหนึ่ง “ชิงซี ลูกยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าเข้ามาหาแม่มีธุระอะไร”
“อ๋อ ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูแค่จะบอกแม่ว่าวันนี้หนูแวะไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วมา คุณป้าลั่วชอบของขวัญปีใหม่ของหนูมาก แต่ที่น่าหงุดหงิดใจก็คือถังโจวโจวกลับมาหาเซ่าเชินแล้ว ผู้หญิงคนนี้นี่มันสลัดไม่หลุดจริงๆ!”
พูดมาถึงประโยคสุดท้าย เมิ่งชิงซีก็ค่อนข้างหงุดหงิดใจ แต่ฉินอวิ๋นกลับไม่เก็บอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ของเธอมาใส่ใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรของถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินก็ล้วนมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเมิ่งชิงซีทุกครั้งไป
“ชิงซี ที่ปู่ของลูกพูดมันก็ถูกนะ แม่ว่าลูกน่าจะมองคนอื่นบ้างได้แล้วนะ ทำไมต้องยึดติดอยู่แค่ลั่วเซ่าเชินคนเดียวด้วย แม่รู้จักคนเยอะแยะ ลูกชายของพวกเธอก็ดูดีกันทั้งนั้น ลูกจะลองเก็บเอาไปคิดดูสักหน่อยก็ได้นะ”
[1] งานชุนหว่าน หมายถึง งานเฉลิมฉลองปีใหม่ของประเทศจีน ซึ่งโทรทัศน์แต่ละช่องก็จัดงานของตัวเอง และจะถ่ายทอดสดหรือเปิดบันทึกการแสดงสดในวันสิ้นปีย้อนหลังให้ชมอีกครั้ง