ถังโจวโจวคิดเพียงว่าคนพวกนี้ช่างน่าตลกเสียจริง เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเธอเลย แต่พวกเธอกลับกระตือรือร้นมากยิ่งกว่าตัวเธอเองเสียอีก
ที่ทำกันเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ก็เพราะตำแหน่งลูกสะใภ้ของตระกูลลั่วเท่านั้นใช่ไหม! เธอแปลกกว่าคนอื่นตรงไหนเหรอ ถังโจวโจวค่อยๆ ย่อยข้อมูลที่เมิ่งชิงซีให้มา ตอนนี้เธอเชื่อแล้วว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อและคุณแม่ถัง เพียงเพราะถังโจวโจวรู้ดีว่าถ้าเมิ่งชิงซีกล้าเอาเรื่องนี้มาเปิดเผย แสดงว่าเธอต้องมีหลักฐานชัดเจนพอ
ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกัน คนต้นเรื่องอย่างถังโจวโจวกลับนิ่งและไม่พูดอะไรเลย ลั่วเซ่าเชินกลัวว่าเธอจะถูกโจมตีหนักขึ้น เขาจึงปลอบเธอว่า “โจวโจว ถึงคุณจะไม่ใช่ลูกของตระกูลถังก็ไม่เป็นไร คุณพ่อกับคุณแม่ดีกับคุณขนาดนี้ จะเป็นลูกแท้ๆ หรือไม่ก็ไม่เห็นสำคัญนี่”
ตอนนี้จิตใจของถังโจวโจวกำลังว้าวุ่น หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ถังโจวโจวก็เงยหน้าขึ้นมองเมิ่งชิงซีและฉีกยิ้มให้เธอ “คุณเมิ่งคะ ขอบคุณที่บอกข่าวนี้กับฉันนะคะ แต่วันหลังฉันคงไม่ต้องรบกวนคุณอีก”
ถังโจวโจวไม่อยากให้เมิ่งชิงซีดูถูกเธอมากไปกว่านี้ เธอจะเอาเรื่องนี้กลับไปถามคุณพ่อและคุณแม่ถังอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ที่เพียงได้เห็นแววตาอันแสนภาคภูมิใจของเมิ่งชิงซี ถังโจวโจวก็อยากจะตบหน้าอีกฝ่ายเข้าสักฉาด มันมีอะไรให้น่าภูมิใจนักเหรอ ต่อให้ถังโจวโจวถูกพ่อกับแม่รับมาเลี้ยงจริงๆ แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่หันไปเอาเธอหรอก!
เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นถังโจวโจวไม่มีท่าทีเสียใจเลยสักนิด เธอก็คิดว่าอีกฝ่ายแค่ทำเป็นสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วกำลังเสียใจมากๆ “โจวโจว ถ้าเธอรู้สึกเสียใจ เธอก็ระบายมันออกมาก็ได้นะ อย่าเก็บมันไว้อย่างนี้เลย”
เมิ่งชิงซีเหมือนจะพูดปลอบใจ แต่จริงๆ แล้วเธอกลับเยอะเย้ยในทุกๆ คำ ในขณะที่ถังโจวโจวก็ยังคงส่งยิ้มให้เธอ
“คุณกังวลมากเกินไปแล้วค่ะ คุณเมิ่ง ฉันไม่ได้เสียใจเลยสักนิด แม้ว่าฉันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อกับคุณแม่ แต่พวกท่านก็มองว่าฉันเป็นลูกสาวของพวกท่านมาตลอด ฉันควรจะดีใจที่มีพ่อกับแม่แบบนี้สิถึงจะถูก!”
เมื่อเห็นถังโจวโจวไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เมิ่งชิงซีที่มองเธออยู่นาน ในที่สุดก็เลิกมองถังโจวโจว นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะไม่สามารถทำอะไรเธอได้ เมิ่งชิงซีคิดว่าตัวเองกำลังต่อยอยู่กับผ้าฝ้าย และในตอนนี้เธอก็รู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้น
“โจวโจว ถ้าเธอมีความสุขก็โอเคจ้ะ” เมิ่งชิงซีทำตัวติดกับคุณแม่ลั่ว คุณแม่ลั่วเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันถังโจวโจวจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
คุณแม่ลั่วมองดูท่าทางที่สงบนิ่งของถังโจวโจวพลางส่งเสียง ‘ฮึ’ ในลำคอ เธอพูดกับลั่วเซ่าเชินว่า “อาเชิน แม่จะขอร้องลูกแค่อย่างเดียว ตอนนี้ถังโจวโจวไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลลั่วแล้ว เพราะฉะนั้นลูกกับเธอรีบไปจัดการเรื่องที่สำนักงานเขตซะ!”
“จัดการเรื่องอะไรครับแม่ ตอนนี้ชีวิตคู่ของผมกับโจวโจวกำลังไปด้วยกันได้ดี แม่จะให้ผมไปจัดการเรื่องอะไร” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา
คุณแม่ลั่วไม่ยอมลดราวาศอก “จะจัดการเรื่องอะไรล่ะ ก็เรื่องหย่าน่ะสิ! ชิงซีรักลูกมาโดยตลอด ลูกต้องไม่ทำให้เธอผิดหวังแบบนี้!” คุณแม่ลั่วพูดและยิ้มในขณะที่ลูบแขนของเมิ่งชิงซีไปด้วย
ส่วนทางด้านของเมิ่งชิงซี เธอก็แสดงท่าทีเขินอายออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ใบหน้าของเธอเป็นสีแดงก่ำ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเมิ่งชิงซีพอใจกับคำพูดของคุณแม่ลั่วทุกคำ
ถังโจวโจวแค่นหัวเราะออกมา “คุณแม่คะ หนูยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ? คุณแม่จับคู่ให้เซ่าเชินต่อหน้าหนูแบบนี้ มันจะดีหรือคะ”
คุณแม่ลั่วไม่พอใจเมื่อเห็นว่าถังโจวโจวพูดออกมาได้น่าเกลียดมาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนถังโจวโจว “ถังโจวโจว เธอมันคนหน้าด้าน เมื่อเทียบกับชิงซีแล้ว เธอไม่เคยทำอะไรเพื่ออาเชินได้เลย อีกอย่างนะ ฉันไม่เคยเห็นด้วยเลยสักวันที่เธอเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลลั่ว!”
ถังโจวโจวรู้สึกว่าคุณแม่ลั่วช่างเป็นคนที่น่าขำจริงๆ เธอหันไปมองลั่วเซ่าเชิน นี่คือแม่ของเขา เขาควรจะเป็นคนพูดเอง
ตอนแรกที่ถังโจวโจวแต่งเข้ามา ลั่วเซ่าเชินก็เป็นฝ่ายขอ ในทีแรกเธอไม่ได้เต็มใจมากนัก แต่หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินกึ่งบังคับขู่เข็ญเธอ เธอจึงยอมตกลง และต่อมาเมื่อเธอได้รู้ว่าคุณแม่ลั่วไม่ชอบเธอ แต่เธอก็ยังเชื่อว่าตราบใดที่เธอมีความพยายาม คุณแม่ลั่วก็คงจะยอมรับเธอได้ในสักวัน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ไม่ว่าเธอจะพยายามสักเท่าไร ทุ่มเทพลังงานและเวลาไปมากแค่ไหน คุณแม่ลั่วก็ไม่ยอมใจอ่อนให้เธอเลยอยู่ดี ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เธอก็เหนื่อยจะพยายามแล้ว นี่เธอแค่ได้ตำแหน่งลูกสะใภ้ของตระกูลลั่วมา จำเป็นต้องต่อว่าเธอถึงขนาดนี้เลยเหรอ
“แม่ครับ ผมเคยบอกแม่ไปแล้วว่าผมจะไม่เลิกกับโจวโจว ส่วนคุณเมิ่ง วันหลังกรุณาอย่ามาที่บ้านของผมอีก ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ!” ลั่วเซ่าเชินปรายตามองไปที่เมิ่งชิงซี เธอเป็นคนก่อเรื่องทุกครั้ง แล้วคุณแม่ลั่วก็มักจะเชื่อคำพูดของเธอ เป็นเหตุให้คุณแม่รังเกียจถังโจวโจวมากขึ้นเรื่อยๆ
คุณแม่ลั่วลุกขึ้นตวาดทันที “อาเชิน! ลูกพูดอะไรน่ะ ชิงซีเป็นห่วงลูกนะ นี่ลูกมองไม่เห็นความหวังดีของเธอได้ยังไง” คุณแม่ลั่วผิดหวังในตัวลั่วเซ่าเชินมาก ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำตำหนิของคุณแม่ลั่วเลย
เขายังคงหันไปพูดกับเมิ่งชิงซีอย่างดุดันว่า “คุณเมิ่ง ผมเชื่อว่าคุณก็น่าจะมีความละอายใจอยู่บ้าง ในเมื่อการหมั้นหมายของเรามันจบไปตั้งนานแล้ว ผมก็หวังว่าคุณจะไม่มารบกวนชีวิตของผมและโจวโจวอีก เพราะว่าพวกเรารู้สึกรำคาญมาก”
ลั่วเซ่าเชินพูดอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ แต่เมิ่งชิงซีก็ยังไม่ยอม “ฉันทำผิดตรงไหนคะ เซ่าเชิน เราสองคนหมั้นหมายกันมาก่อน แต่เธอกลับมาแย่งคุณไปจากฉัน ฉันไม่เคยลืมคุณได้เลยนะคะ!” เมิ่งชิงซีรีบเดินเข้าไปหาลั่วเซ่าเชินแล้วจับมือของเขาเอาไว้
ลั่วเซ่าเชินสะบัดมือเธอทิ้งในทันที “เมิ่งชิงซี นี่คุณไร้ยางอายขนาดนี้เลยเหรอ!”
เมิ่งชิงซีถูกลั่วเซ่าเชินผลักไปอีกด้าน ร่างของเธอล้มลงไปบนพื้น เธอยันมือกับพื้นไว้และยิ้มอย่างเลื่อนลอย ลั่วเซ่าเชินพูดกับเธอแบบนี้ได้อย่างไร แล้วสิ่งที่เธอสู้อุตส่าห์ทำมาทั้งหมด เธอทำเพื่ออะไรกันล่ะ?
เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นลั่วเซ่าเชินลงไม้ลงมือกับเมิ่งชิงซี เธอก็รีบเข้าไปพยุงเมิ่งชิงซี ก่อนจะหันมาตะคอกใส่ลั่วเซ่าเชินว่า “เซ่าเชิน! นี่ลูกทำอะไรลงไป ชิงซีไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ลูกผลักเธอทำไม ถังโจวโจวนี่ดีเลิศถึงขนาดให้ลูกกล้าทำอย่างนี้เลยเหรอ!”
ลั่วเซ่าเชินเองก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไป แต่เขาผลักเธอไปแล้ว และเมื่อเห็นว่าเมิ่งชิงซีไม่ได้บาดเจ็บอะไร สายตาของลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้ทอดมองไปที่เธออีก เขาหันหน้ากลับมาหาถังโจวโจว
เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่แม้แต่จะถามด้วยความห่วงใย ซ้ำยังเอาแต่มองไปที่ถังโจวโจว ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว หัวใจของเธอราวกับกำลังถูกเผาไหม้ “ลั่วเซ่าเชิน! นี่ลูกเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม?”
“แม่อย่าเพิ่งชวนทะเลาะได้ไหมครับ” ลั่วเซ่าเชินรู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ ทำไมคุณแม่ถึงจะต้องมาตามรังควานถังโจวโจวไม่เลิก
“แม่น่ะเหรอที่ชวนทะเลาะ ลูกต่างหากที่ไม่ฟังแม่ รั้นแต่จะอยู่กับผู้หญิงคนนี้ แล้วตอนนี้ยังมีหน้ามาโทษแม่อีก!” ตอนนี้คุณแม่ลั่วยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห
ลั่วเซ่าเชินเห็นแล้วก็เป็นห่วงสุขภาพของเธอ “แม่ครับ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน แม่จำไม่ได้หรือว่าแม่ห้ามโมโหมากเกินไป”
ถังโจวโจวยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ ราวกับคนล่องหน ถ้าลั่วเซ่าเชินไม่ได้กุมมือเธออยู่ เธอก็คงจะคิดว่าตัวเองไร้ตัวตนไปแล้ว
“ถ้าลูกเป็นห่วงสุขภาพแม่ ลูกก็ต้องเชื่อฟังแม่สิ เลิกกับถังโจวโจวซะ!”
คุณแม่ลั่วกุมหน้าอก พอทะเลาะกันแบบนี้ หน้าอกของเธอก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา คุณแม่ลั่วรู้ดีว่านี่เป็นคำเตือนจากร่างกายของเธอ เพียงแต่ตอนนี้ทุกอย่างมันยังไม่จบ และลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่ยอมรับปากว่าจะทำตามที่เธอสั่ง ดังนั้นคุณแม่ลั่วจึงได้แต่อดทนไว้ก่อน
“แม่ครับ ทำไมแม่ต้องทำแบบนี้ด้วย ให้ผมเลิกกับโจวโจวแล้วยังไงต่อครับ จะให้ผมแต่งงานกับเมิ่งชิงซีตามที่แม่บอกน่ะเหรอ” ลั่วเซ่าเชินหัวเราะเย้ยหยัน
“ก็ต้องแต่งกับชิงซีน่ะสิ! แม่คิดแบบนี้ไม่ถูกหรือไง” คุณแม่ลั่วยืนกรานในความคิดของตัวเอง
ถังโจวโจวไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว เธอพยายามจะดึงมือของตัวเองออกจากมือของลั่วเซ่าเชิน แต่ลั่วเซ่าเชินกลับกระชับมันไว้แน่น “อยู่เฉยๆ” เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หลังจากที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น มือของถังโจวโจวก็ยอมจำนนอยู่ในมือของลั่วเซ่าเชิน และยอมทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนต่อไป ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะพูดเรื่องไร้สาระกับคุณแม่ลั่วอีกแล้ว
“แม่ครับ ในเมื่อแม่ยืนกรานแบบนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดกับแม่แล้ว ในเมื่อเราคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็เอาเป็นว่าหลังจากนี้ผมกับโจวโจวก็จะกลับมาให้น้อยลงแล้วกัน พวกผมจะได้ไม่ขวางหูขวางตาแม่อีก และสำหรับเมิ่งชิงซี ต่อให้ผู้หญิงตายหมดทั้งโลก ผมก็จะไม่มีวันแต่งงานกับเธอ!”
เมื่อลั่วเซ่าเชินพูดจบ เขาก็ลากถังโจวโจวเดินออกไป ถังโจวโจวที่ถูกกระชากอย่างไม่ทันตั้งตัวก็เกือบจะล้มหน้าคะมำ แต่ในไม่ช้าเธอก็สามารถทรงตัวได้
เมิ่งชิงซีนึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะทิ้งคำพูดที่แสนโหดร้ายเช่นนี้ไว้ นี่เธอน่าสมเพชขนาดนั้นเลยหรือ ลั่วเซ่าเชินยอมเป็นโสดไปตลอดชีวิต ดีกว่าที่จะมาแต่งงานกับเธอ?
เมิ่งชิงซีมองดูผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างกายเขา เธอคิดแค่ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะถังโจวโจว ถ้าไม่มีถังโจวโจวอยู่บนโลกใบนี้ ลั่วเซ่าเชินจะต้องหันมาเห็นความดีงามของเธอแน่นอน!
เมื่อคุณแม่ลั่วได้ฟังคำพูดของลั่วเซ่าเชิน และมองดูภาพแผ่นหลังของลั่วเซ่าเชินเดินจากไป เธอก็ชี้ไปที่เขา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ภาพตรงหน้าของเธอก็ดับมืด แล้วเธอก็ล้มลงไปบนตัวของเมิ่งชิงซี
เมิ่งชิงซีคิดไม่ถึงว่าคุณแม่ลั่วจะโกรธจนเป็นลมล้มพับไป เธอรีบประคองคุณแม่ลั่วไว้ เมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเพิ่งจะเดินออกไป เธอก็รีบตะโกนเรียกเขา “เซ่าเชินคะ คุณป้าเป็นลม กลับมาก่อนค่ะ!”
จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงและตบหน้าคุณแม่ลั่วเบาๆ ก่อนจะกระซิบอย่างร้อนรนว่า “คุณป้าคะ คุณป้า คุณป้าตื่นค่ะ คุณป้าอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะคะ!”
เสียงของเมิ่งชิงซีกระตุ้นเรียกให้แม่นมจ้าวเดินออกมา และเมื่อเธอเห็นว่าคุณแม่ลั่วฟุบอยู่บนพื้น เธอก็รีบวิ่งเข้าไปถามว่า “คุณนายเป็นอะไรไปคะ”
เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าแม่นมจ้าวกำลังตรงเข้ามา เธอก็รีบตะโกนบอกไปว่า “แม่นมจ้าว เซ่าเชินยังไปได้ไม่ไกล แม่นมรีบไปเรียกเขากลับมาก่อนนะคะ”
“ค่ะๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” แม่นมจ้าวรีบวิ่งออกไปด้านนอก เธอเห็นลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวยังอยู่ในเขตคฤหาสน์จริงๆ แต่พวกเขาขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว และลั่วเซ่าเชินก็สตาร์ตรถแล้วด้วย
แม่นมจ้าวกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะออกรถไปเสียก่อน เธอจึงรีบตรงเข้าไปทุบหน้าต่างฝั่งคนขับและรีบตะโกนอยู่ข้างนอกรถว่า “คุณชายคะ คุณนายเป็นลมค่ะ คุณชายรีบลงมาก่อน ต้องพาคุณนายไปส่งโรงพยาบาลด่วนเลยค่ะ”
ทันทีที่ลั่วเซ่าเชินได้ยินดังนั้น เขาก็รีบลงจากรถ แต่พอเขาเดินไปได้สองสามก้าว เขาก็หันกลับไปมองถังโจวโจว “โจวโจว ผมขอโทษนะ แม่ผมไม่สบาย ผมต้องพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลก่อน”
ถังโจวโจวรู้สึกงงเมื่อเห็นว่าเขายังมีเวลามาอธิบายให้เธอฟังอยู่อีก “มัวแต่มองฉันอยู่ทำไมคะ แม่คุณไม่สบายอยู่นะ เราจะทิ้งท่านได้ยังไง คุณยังไม่รีบไปอีก!”
ถังโจวโจวตามเขาลงมาในทันที เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งที่คุณแม่ลั่วพูดกับเธอ เขาก็แอบโล่งใจ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน
แล้วเขาก็เห็นว่าคุณแม่ลั่วนอนอยู่บนพื้น ตาปิดสนิททั้งสองข้าง ส่วนเมิ่งชิงซีก็นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ สีหน้าดูเป็นกังวลมาก เธอเรียกคุณแม่ลั่วไม่หยุด “คุณป้าคะ คุณป้า คุณป้าตื่นสิคะ!”
เมิ่งชิงซีได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกลับมาแล้ว เธอก็พูดอย่างดีใจว่า “คุณมาแล้วหรือคะ เซ่าเชิน จู่ๆ คุณป้าก็เป็นลมหมดสติไป คุณรีบเข้ามาดูเร็วค่ะ”
ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าสีหน้าของคุณแม่ลั่วซีดเผือด เขาก็กลัวว่าคุณแม่ลั่วจะเป็นอะไรสาหัส เขาจึงผลักเมิ่งชิงซีออกและใช้แรงอุ้มคุณแม่ลั่วขึ้นมา ก่อนจะรีบเดินออกไปข้างนอก
เมิ่งชิงซีไม่ได้ใส่ใจกิริยาหยาบคายของลั่วเซ่าเชินเมื่อครู่นี้ เธอรีบตามลั่วเซ่าเชินออกไป