เมื่อถังโจวโจวทายาให้เขาเสร็จแล้ว เธอก็เก็บของลงไปในกล่องยา ลั่วเซ่าเชินใช้มือทั้งสองข้างยึดไหล่ของถังโจวโจวไว้ เขาต้องการให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขา
คราวนี้ถังโจวโจวไม่อาจหลบหลีกได้อีกแล้ว เธอสบตามองลั่วเซ่าเชินตรงๆ “ฉันไม่ควรเข้าใจคุณผิดเหรอคะ” ตกลงแล้วความจริงของเรื่องนั้นเป็นอย่างไร ลั่วเซ่าเชินไม่เคยอธิบายให้เธอเข้าใจ และเธอก็ไม่เคยพูดว่าเธอให้อภัยเขา ทำไมเขาถึงได้มั่นใจนักว่าเธอจะต้องยกโทษให้เขาอย่างแน่นอน
ลั่วเซ่าเชินได้ยินที่ถังโจวโจวเอ่ยประชดประชันเขาเต็มที่ เขาก็แอบถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าเธอยังคงโกรธเคืองเขาอยู่ แม้ว่าเรื่องราวในครั้งนั้นมันจบลงไปแล้ว แต่มันกลับยังคงทิ้งบาดแผลไว้ในใจของถังโจวโจว
ลั่วเซ่าเชินให้ถังโจวโจวนั่งลงข้างๆ เขา จากนั้นเขาก็คว้ามือของถังโจวโจวขึ้นมากุมไว้แน่น “โจวโจว ผมกับฮุ่ยซินไม่ได้มีอะไรกัน ถ้าผมอยากสานสัมพันธ์กับเขา ผมจะรอมาจนถึงป่านนี้ทำไม”
อันที่จริงลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะคุยเรื่องระหว่างเขากับหันฮุ่ยซินอีกแล้ว เพียงแต่สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้คือเขาต้องทำให้ถังโจวโจวไม่เข้าใจเขาผิดอีก และเมื่อเทียบกับถังโจวโจวแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หันฮุ่ยซินมีความสำคัญต่อใจของเขาน้อยกว่าถังโจวโจวมาก
“ใครจะรู้ล่ะคะว่าคุณคิดยังไง” ถังโจวโจวพึมพำเบาๆ แต่เนื่องจากภายในบ้านมีพวกเขาอยู่กันแค่สองคน ดังนั้นไม่ว่าเสียงของถังโจวโจวจะแผ่วเบาสักแค่ไหน แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน
“นี่คุณยังไม่รู้อีกหรือว่าผมคิดยังไง” ลั่วเซ่าเชินวางมือของถังโจวโจวลงบนหน้าอกของตัวเอง ถังโจวโจวสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรงของลั่วเซ่าเชิน แล้วเธอก็รู้สึกสับสนไปกับจังหวะการเต้นของหัวใจนั้น
“…ฉันไม่รู้ค่ะ” ถังโจวโจวอยากจะดึงมือกลับ แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ยอม
ในขณะที่มือของเธอวางอยู่บนหน้าอกของลั่วเซ่าเชิน ใบหน้าของเธอก็ร้อนวาบ ถังโจวโจวรู้ดีว่าใบหน้าของตัวเองตอนนี้คงจะแดงก่ำมาก แต่สิ่งที่ขัดใจเธอยิ่งกว่าก็คือลั่วเซ่าเชินยังคงจับมือเธอไว้อยู่อย่างนั้น ทำให้เธอไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย
“ปล่อยฉันนะคะ”
“ไม่ ผมจะไม่ปล่อยคุณไปเด็ดขาด ถ้าวันนี้เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง” ลั่วเซ่าเชินจับมือเธอไว้แน่น ราวกับว่าจะให้ถังโจวโจวอยู่ติดกับตัวเขาอย่างนี้
ทันใดนั้น ถังโจวโจวก็รู้สึกได้ว่าตัวของเธอลอยอยู่ในอากาศ เธอคล้องคอของลั่วเซ่าเชินในทันที และเมื่อเธอเห็นว่าเขาอุ้มเธอขึ้นชั้นบน ถังโจวโจวก็รีบถามว่า “คุณจะอุ้มฉันไปไหนคะ”
ขาของถังโจวโจวอ่อนแรง ร่างของเธอไม่มีที่ยึดเหนี่ยว และที่พึ่งพิงเดียวที่เธอมีตอนนี้ก็คือลั่วเซ่าเชิน ซึ่งนั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเลย
“เราจะคุยกันไม่ใช่เหรอ ก็ต้องหาที่เงียบๆ ไม่มีคนรบกวนสิ ถ้าเราคุยกันอยู่แล้วลั่วอิงกลับมา คุณก็วิ่งหนีผมไปอีก” แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะพูดติดตลก แต่ถังโจวโจวก็รู้ว่าเขาพูดความจริง
เมื่อก่อนก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินแค่คิดเผื่อล่วงหน้า ถังโจวโจวหลับตาและเอนซบใบหน้าลงบนไหล่ของเขา เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอสงบลงแล้ว มุมปากของเขาก็ค่อยๆ ยกยิ้ม เขากระชับอ้อมแขนที่อุ้มถังโจวโจวไว้และเดินตรงไปยังห้องหนังสือ
เมื่อเปิดประตูห้องหนังสือเข้าไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็วางถังโจวโจวลงบนโซฟาตัวเล็กๆ ที่อยู่ในห้อง จากนั้นเขาก็เดินไปลงกลอนประตู ก่อนจะกลับมากักตัวของถังโจวโจวไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ถังโจวโจวคิดจะหนี เมื่อรู้สึกตัวว่าลั่วเซ่าเชินกักตัวไว้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่สำเร็จ
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ยอมล้มเลิกความคิดที่จะหนี เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ “โจวโจว คุณนี่ดื้อจริงๆ เลย ผมจะลงโทษคุณ” ลั่วเซ่าเชินจับจ้องไปที่ปากเล็กๆ ของถังโจวโจว เขาแค่อยากจะใช้ริมฝีปากปิดกั้นคำถ้อยที่ทำร้ายเขาเหล่านั้นจากปากของเธอ
ลั่วเซ่าเชินพูดจริงทำจริง ถังโจวโจวรู้สึกได้ว่ามีเงาดำหนึ่งบดบังอยู่ตรงหน้า และเงาดำนั้นก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาเธอ ถังโจวโจวปิดตาแน่น เธอไม่กล้ามองว่าลั่วเซ่าเชินจะทำอะไร จนกระทั่งริมฝีปากของเธอสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่ม เธอถึงได้รู้ว่าบทลงโทษของลั่วเซ่าเชินคืออะไร
ที่แท้ก็คือจูบนี่เอง ตอนแรกถังโจวโจวคิดว่าลั่วเซ่าเชินจะมีวิธีอันชาญฉลาดกว่านี้มาจัดการเธอ แต่ที่ไหนได้ก็วิธีเดิมๆ นั่นแหละ และเมื่อรู้สึกว่าลิ้นของลั่วเซ่าเชินกำลังชอนไชเข้ามา ถังโจวโจวก็รีบกัดฟันแน่น จนกระทั่งเธอรู้สึกจักจี้ที่เอว ทำให้เธออดขำไม่ได้ เธอจึงเปิดปากของเธอออก
ลั่วเซ่าเชินแค่อยากจะลองหยั่งเชิงจูบเธอในตอนแรก แต่เมื่อถังโจวโจวป้องกันตัวเองจากเขาขนาดนี้ เล่ห์กลของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณโดยไม่ได้ตั้งใจ ถังโจวโจวไม่ให้เขาจูบ เขาก็จะจูบ และจะจูบจนกว่าเธอจะหายใจไม่ทัน
หลังจากเขาจูบจนหนำใจแล้ว ถังโจวโจวก็รู้สึกได้ว่าเธอถูกเขาตักตวงความรักไปจนเต็มอิ่ม ดวงตาของเธอวาววับเป็นประกาย ริมฝีปากของเธอก็เริ่มบวมเจ่อ หากใครมองดูก็รู้แล้วว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลง หายใจไม่เป็นจังหวะ
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา เขาก็ไม่อาจปิดบังรอยยิ้มในดวงตาของเขาเอาไว้ได้ ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวมองมาที่เขาด้วยสายตาขุ่นเคือง ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ที่เขาต้องกังวลในตอนนี้มีแค่ว่า เกิดถังโจวโจวเขินจนหนีเขาไปอีก ทีนี้เขาจะตามหาเธอได้ที่ไหน
“โจวโจว ตอนนี้เราจะคุยกันดีๆ ได้หรือยัง หรือถ้าคุณอยากจะพักผ่อนอีกสักหน่อย ผมก็ไม่ว่าอะไรนะ” ถังโจวโจวไม่เชื่อหรอกว่าลั่วเซ่าเชินจะให้เธอได้พักผ่อนตามที่พูด และเมื่อเห็นว่าเขาจับจ้องมาที่ริมฝีปากของเธออีกครั้ง ถังโจวโจวก็เข้าใจความหมายของเขาในทันที เจ้าหมาป่ามักมาก
“คุยได้เลยค่ะ ไม่ต้องพักหรอก” น้ำเสียงของถังโจวโจวฟังดูร้อนรน ด้วยกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะปล่อยให้เธอได้ ‘พักผ่อน’ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วปากของเธอจะบวมเจ่อมากแค่ไหน
“ไม่พักแน่นะ” ลั่วเซ่าเชินอยากจะทำตามความคิดที่เขาเพิ่งคิดได้ แต่น่าเสียดายที่ถังโจวโจวไม่เปิดโอกาสให้กับเขา
ถังโจวโจวส่ายหน้ารัว “พักพอแล้วค่ะ ไม่ต้องพักแล้ว เรามาคุยธุระกันเถอะค่ะ”
“โธ่ โจวโจว คุณนี่ทำร้ายผมได้ลงจริงๆ” ลั่วเซ่าเชินบ่นออกมาอย่างอ่อนใจ แต่ถังโจวโจวกลับพึงพอใจที่เธอสามารถหลีกหนีจากกรงเล็บหมาป่าของเขาได้ชั่วคราว
“แล้วคุณจะคุยอะไรกับฉันคะ” ลั่วเซ่าเชินมัวแต่นอกเรื่องเสียจนถังโจวโจวเกือบจะลืมไปแล้วว่าเขาจะพูดอะไรกับเธอก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็ยังทำให้เธอเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบอันร้อนแรงนั้นอีกด้วย
“โจวโจว ผมสาบานได้ ผมกับหันฮุ่ยซินไม่เคยมีอะไรกันตั้งแต่ที่เธอกลับมาจากต่างประเทศ” ลั่วเซ่าเชินยกมือสาบานต่อฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งนั่นสามารถทำให้คนมองรู้สึกได้ว่าเขาดูน่าเชื่อถือมาก
ถังโจวโจวคุ้นเคยกับกิริยาท่าทางของเขามานาน แต่ครั้งนี้เธอกลับรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินดูจริงจังมากกว่าทุกครั้ง “แล้วเรื่องรูปนั้น คุณจะอธิบายว่ายังไงคะ”
รูปนั้นไม่ใช่รูปปลอมอย่างแน่นอน ถังโจวโจวคิดว่าผู้หญิงอย่างหันฮุ่ยซินไม่น่าใช้รูปตัดต่อมาหลอกลวงเธอ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลั่วเซ่าเชินก็พูดไม่ออก เพราะเขาไม่สามารถอธิบายที่มาของรูปนั้นได้จริงๆ แต่เขาเชื่ออยู่เสมอว่าวันนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรหันฮุ่ยซิน
แน่นอนว่าที่ลั่วเซ่าเชินเชื่อแบบนั้นย่อมต้องมีเหตุผล ข้อแรก เขาตรวจสอบแล้วว่าหากผู้ชายดื่มเหล้าจนเมาขาดสติ จะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปในทางนั้นได้ แล้วเขาจะไปมีอะไรกับหันฮุ่ยซินได้อย่างไร?
ข้อสอง ลั่วเซ่าเชินรู้ตัวดีว่า ในตอนนั้นหัวใจของเขาเฝ้าแต่คิดถึงถังโจวโจว แม้ว่าสำหรับหันฮุ่ยซินแล้ว เขาจะสามารถให้อภัยและมองข้ามสิ่งที่เธอเคยทำกับเขาในอดีตได้
แต่เขาก็จะไม่กลับไปเป็นคนรักของหันฮุ่ยซินอีกแล้ว เขาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถพูดแบบนี้กับถังโจวโจวได้ เขาทำได้แค่เพียงพูดย้ำกับถังโจวโจวว่า “โจวโจว คุณเชื่อผมเถอะนะ ผมไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น”
“ฉันไม่เชื่อค่ะ ทำไมฉันถึงต้องเชื่อคุณด้วย” ถังโจวโจวเบือนหน้าหนีไปเพราะไม่อยากสบตากับลั่วเซ่าเชิน จะให้เธอเอาอะไรมาเชื่อเขาล่ะ ตัวเขาเองยังไม่พูดความจริงกับเธอเลย แล้วจะยังมีเหตุผลข้อไหนที่จะทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากเธอได้
เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวปฏิเสธจะเชื่อใจเขา ในใจลั่วเซ่าเชินก็เป็นทุกข์ เขาจึงต้องไปนั่งเผชิญหน้ากับถังโจวโจวที่เบือนหน้าหนีเขาไป “โจวโจว ผมเองก็ยังไม่แน่ใจในบางเรื่อง ดังนั้นผมจึงไม่สามารถอธิบายให้คุณฟังได้ แต่สิ่งที่คุณควรจะรู้ไว้ก็คือผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณเสียใจแน่นอน”
“แล้วทำไมถึงอธิบายไม่ได้ล่ะคะ” ถังโจวโจวไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วลั่วเซ่าเชินกำลังคิดอะไรอยู่? เขานึกจะไม่ใส่ใจเธอเขาก็ทำ เธอไม่สามารถพูดอะไรได้เลย พอถึงคราวเธออยากจะหนีไปบ้าง ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ยอมอีก นี่มันตรรกะอะไรกัน?
ลั่วเซ่าเชินเกาหัวอย่างร้อนใจ ก่อนจะจับมือของถังโจวโจวขึ้นมาวางไว้ที่อกข้างซ้ายของเขาอีกครั้ง “โจวโจว นี่คือคำอธิบายของผม ตราบใดที่หัวใจของผมยังเต้นอยู่ ผมจะไม่มีวันทำอะไรให้คุณเสียใจเด็ดขาด!”
ถังโจวโจวมองดูลั่วเซ่าเชินที่พูดราวกับสาบานตนด้วยความตกตะลึง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ตอบสนอง เขาก็นึกว่าเธอยังคงขุ่นเคืองอยู่ เขาจึงถามเธอซ้ำอีกครั้ง
“โจวโจว นี่ยังไม่สามารถแสดงถึงความจริงใจของผมที่มีต่อคุณได้อีกหรือ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินพูดมากที่สุด แต่ก็เป็นครั้งแรกที่การพูดมากของลั่วเซ่าเชินทำให้เธอสบายใจที่สุด
“คุณจะหลอกฉันอีกไหมคะ ฉันเชื่อคุณได้จริงๆ ใช่ไหม” ถังโจวโจวพูดอย่างไม่แน่ใจนัก ราวกับว่ากำลังคุยกับตัวเอง
“ได้แน่นอน! ทำไมคุณถึงจะเชื่อผมไม่ได้ล่ะ ผมเป็นสามีคุณนะ ตอนนี้เราเป็นคนคนเดียวกัน” ลั่วเซ่าเชินกุมมือถังโจวโจวไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีก
ถังโจวโจวมองลึกเข้าไปในดวงตาของลั่วเซ่าเชิน ภายในนั้นมืดสนิทประหนึ่งหมึกสีเข้ม ถังโจวโจวรีบดึงสายตากลับมา และก้มศีรษะลงมองนิ้วมือของตัวเองไปพลาง
ลั่วเซ่าเชินค่อนข้างเป็นกังวล เมื่อคำที่เขาอยากฟังยังไม่หลุดออกมาจากปากของถังโจวโจว “โจวโจว คุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณบอกผมหน่อยได้ไหม”
ทุกครั้งที่ถังโจวโจวเจอกับปัญหา เธอมักจะทำตัวเป็นเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ซึ่งนั่นทำให้ลั่วเซ่าเชินจนปัญญา อีกทั้งไม่สามารถนำหัวของเต่าตัวนี้ออกมาด้วยตัวเองได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงมองดูเธอนั่งนิ่งๆ ถามตัวเองไปเรื่อยๆ
ถังโจวโจวขบคิดอยู่ในใจ ถ้าเธอเชื่อลั่วเซ่าเชิน นั่นก็หมายความว่าในอนาคตเธอจะกลายเป็นคนไม่แยแสกับเรื่องอะไรแบบนี้ แต่ถังโจวโจวก็เฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ หากเป็นเช่นนั้นจริงเธอจะทำใจรับได้จริงๆ หรือ? แต่ดูเหมือนว่าเธอจะทำไม่ได้!
แล้วอย่างนี้เธอจะเชื่อเขาดีหรือไม่? ถังโจวโจวกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้วเธอไม่อยากเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้เลย แต่โชคไม่ดีที่ลั่วเซ่าเชินกลับหาเรื่องแบบนี้มาให้เธอ จะผลักทิ้งเลยก็ไม่ได้ แต่จะให้ขบคิดจนได้คำตอบก็ไม่ไหวเหมือนกัน
แต่เพื่อให้ผ่านความน่าอึดอัดนี้ไปได้ก่อน ถังโจวโจวจำเป็นต้องพูดปดเล็กน้อย โดยเธอหวังว่าลั่วเซ่าเชินจะให้อภัยเธอในภายหลัง “ฉันเชื่อคุณค่ะ” เสียงนั้นช่างแผ่วเบาเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชินสนใจถังโจวโจวอยู่ตลอด เขาก็อาจจะไม่ได้ยินประโยคนั้นเลย
“โจวโจว คุณว่าอะไรนะ พูดอีกครั้งหนึ่งได้ไหม” ลั่วเซ่าเชินกลัวว่าเขาจะได้ยินผิดไป ถังโจวโจวเม้มริมฝีปากแน่น เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากจะพูดมันซ้ำอีกครั้ง ลั่วเซ่าเชินจึงรีบเอ่ยมัดมือชก “โจวโจว เมื่อกี้ผมได้ยินคุณบอกว่าคุณเชื่อผม ถ้าคุณไม่พูดยืนยันออกมาอีกครั้ง ผมจะถือว่าคุณเชื่อผมแล้วนะ!”