“แม่โจวโจวขา หนูก็รักคุณแม่เป็นคนที่…” ลั่วอิงตั้งใจพูดเว้นจังหวะ แต่เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวทำท่าจะเข้ามาจักจี้เธอ ลั่วอิงก็พูดออกมาพลางรีบไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของลั่วเซ่าเชินทันที “…คนที่หนึ่งเลยค่ะ!” แล้วบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของถังโจวโจวและลั่วอิง
พวกเขาเดินมาถึงลานจอดรถ ทันใดนั้นสายตาอันเฉียบคมของถังโจวโจวก็เห็นหันฮุ่ยซินอยู่ไกลๆ แต่หันฮุ่ยซินไม่ได้อยู่คนเดียว เธออยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง บุคลิกของเขาดูสุภาพเรียบร้อย
ชายคนนั้นยังดูหนุ่มมาก เมื่อยืนอยู่กับหันฮุ่ยซินแล้ว ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมาก ถังโจวโจวกระตุกชายเสื้อของลั่วเซ่าเชินเบาๆ ก่อนจะชี้ไปทางหันฮุ่ยซิน “เซ่าเชินคะ นั่นใช่คุณหันไหม”
ลั่วเซ่าเชินหันไปมองตามที่ถังโจวโจวชี้ เขาก็พบว่าเป็นหันฮุ่ยซินจริงๆ ข้างกายของเธอมีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทสีกากียืนอยู่ด้วย ลั่วเซ่าเชินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ใช่ ทำไมเหรอ”
“คุณไม่โกรธ?” ถังโจวโจวเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่มีอาการอะไรเลย
ลั่วเซ่าเชินเคาะนิ้วลงบนหัวของถังโจวโจวเบาๆ “ถ้าผมโกรธ ผมคิดว่าคุณน่าจะโกรธมากกว่าผมแน่”
ถังโจวโจวยิ้มแห้ง ลั่วเซ่าเชินรู้ทันเธอขนาดนี้เลยหรือ “ไม่จริงสักหน่อย ฉันจะโกรธได้ยังไง ว่าแต่เราควรเข้าไปทักทายเธอไหมคะ”
“ไม่มีอะไรต้องคุยกันนี่ ถ้ามีธุระจะคุยกันจริงๆ เดี๋ยวก็มีโอกาสทักทายเอง” ลั่วเซ่าเชินเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังจะก้าวขึ้นรถ เธอก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“อาเชิน คุณถัง บังเอิญจังเลยนะคะ พวกคุณก็มาที่นี่เหมือนกันหรือ” หันฮุ่ยซินและเพื่อนชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาหา
ถังโจวโจวลอบถอนหายใจ ไปไหนไม่ได้แล้ว
“บังเอิญจริงๆ ค่ะ คุณหัน แล้วคุณคนนี้คือ…?” ถังโจวโจวมองไปที่ชายหนุ่มข้างกายหันฮุ่ยซิน
ชายคนนั้นยื่นมือออกมา “สวัสดีครับ ผมชื่อเจียงรุ่ยเฉิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณผู้หญิงลั่ว”
ถังโจวโจวรู้สึกประหลาดใจ เมื่ออีกฝ่ายเรียกเธออย่างนั้น “เรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ” หันฮุ่ยซินเองก็หันไปมองเจียงรุ่ยเฉินด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
‘จากที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน?’ ถังโจวโจวคาดเดา
“คุณผู้หญิงลั่วไม่รู้จักผมหรอกครับ แต่ที่ผมรู้จักคุณผู้หญิงลั่ว นั่นเป็นเพราะท่านผอ. ลั่ว… ท่านผอ. ว่าอย่างนั้นไหมครับ” เจียงรุ่ยเฉินมองลั่วเซ่าเชินที่ลงมาจากรถ
ลั่วเซ่าเชินกับเจียงรุ่ยเฉินจับมือกัน “ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ ผู้จัดการเจียง”
“ผมได้ยินชื่อเสียงของท่านผอ. มานาน แต่ไม่เคยมีโอกาสได้พบเลย ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้พบท่านแล้ว” เจียงรุ่ยเฉินยกยิ้มขึ้นมาอย่างยินดี ถังโจวโจวรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเหมือนกับลั่วเซ่าเชิน ดังนั้น ความประทับใจแรกของเธอที่มีต่อเจียงรุ่ยเฉินจึงแตกต่างออกไป
“อาเชิน คุณรู้จักกับรุ่ยเฉินด้วยหรือคะ” หันฮุ่ยซินเห็นว่าไม่มีใครสนใจเธอเลย เธอจึงพูดแทรกขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกเขา
“ผอ. ลั่วครับ ถ้ายังไงเราไปหาที่นั่งคุยกันดีไหมครับ ดูเหมือนว่าคุณหันเองก็อยากจะพูดคุยกับพวกคุณเหมือนกัน” เจียงรุ่ยเฉินเห็นว่าจะยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ก็ใช่ที่ เขาจึงเอ่ยเสนอแนะออกมา
ลั่วเซ่าเชินปฏิเสธ “วันนี้เราไม่ค่อยสะดวก ไว้ครั้งหน้าก็แล้วกันนะครับ ผู้จัดการเจียง ไว้มีโอกาสค่อยคุยกัน วันนี้พวกเราขอตัวก่อน”
เจียงรุ่ยเฉินเห็นว่าภายในรถของลั่วเซ่าเชินมีเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น เขาเดาว่าเธอน่าจะเป็นทายาทของลั่วเซ่าเชิน…ลั่วอิง เขาจึงเข้าใจในทันที “ครับ ท่านผอ. ลั่ว ผมจะรอ”
ลั่วเซ่าเชินพยักหน้าเบาๆ เขาบอกลาเจียงรุ่ยเฉิน ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้สนใจแววตาลึกซึ้งที่หันฮุ่ยซินส่งมาให้เขา เขาพาถังโจวโจวกลับไปขึ้นรถ และขับออกไปจากลานจอดรถ
เจียงรุ่ยเฉินยืนมองลั่วเซ่าเชินที่ขับรถไกลออกไป รอยยิ้มที่มุมปากของเขาดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น หันฮุ่ยซินเห็นเขายิ้มอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอคาดเดาผู้ชายคนนี้ไม่ออก ดูเหมือนว่าต่อไปเธอควรจะต้องอยู่ให้ห่างจากเขา นี่เป็นสิ่งที่สัญชาตญาณของหันฮุ่ยซินบอกกับตัวเธอเอง
หลินเหยาโทรศัพท์มาหาถังโจวโจว “โจวโจว เธอทำอะไรอยู่ ออกมาชอปปิงกัน!”
ถังโจวโจวหันมองลั่วเซ่าเชินที่กำลังขับรถอยู่ ก่อนจะยกมือปิดไมโครโฟนของโทรศัพท์แล้วถามลั่วเซ่าเชินว่า “เรามีธุระอื่นอีกไหมคะ”
“คุณจะไปไหน”
“เหยาเหยาชวนฉันออกไปชอปปิงค่ะ”
“ผมตั้งใจว่าจะพาคุณกับลูกไปทานข้าว” ลั่วเซ่าเชินบอกแผนการของเขาให้ถังโจวโจวฟัง
ถังโจวโจวกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์อีกครั้ง “เหยาเหยา เรากำลังจะไปทานข้าวกัน เธอจะมาด้วยกันไหม”
“แค่เธอกับผอ. ลั่ว?” เสียงของหลินเหยาดังมาก แม้แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังได้ยิน
“ใช่ แล้วก็ลั่วอิงด้วย” ถังโจวโจวเหลือบมองลั่วอิงที่นั่งอยู่บนคาร์ซีทด้านหลัง
เมื่อลั่วอิงได้ยินชื่อของตัวเอง เธอก็ถามถังโจวโจวในทันที “แม่โจวโจวเรียกหนูหรือคะ”
“ไม่ใช่ค่ะ น้าหลินเหยาถามแม่ว่าตอนนี้แม่อยู่กับใคร”
ลั่วอิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อของหลินเหยา “น้าหลินเหยาหรือคะ หนูไม่ได้เจอคุณน้านานแล้ว คุณพ่อขา เราจะไปทานข้าวกันใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นเราชวนน้าหลินเหยามาทานข้าวด้วยกันได้ไหมคะ”
“เรากำลังจะไปทานข้าวกันครับ แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับแม่โจวโจวของลูกว่าจะเห็นด้วยหรือเปล่า พ่อไม่มีความคิดเห็นครับ” น้ำเสียงไม่แยแสของลั่วเซ่าเชินทำให้ลั่วอิงเปลี่ยนเป้าหมายออดอ้อนทันที
“แม่โจวโจวขา คุณแม่รีบบอกให้น้าหลินเหยามาทานข้าวกับเราสิคะ จากนั้นเราค่อยไปชอปปิงด้วยกัน”
ถังโจวโจวบอกความคิดของลั่วอิงให้หลินเหยาฟัง หลินเหยาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบตกลง “โอเค บอกที่อยู่มาเลย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เมื่อลั่วเซ่าเชินจอดรถที่หน้าร้านอาหาร เขาก็พาถังโจวโจวและลั่วอิงเข้าไปในห้องส่วนตัว เขายังกำชับกับพนักงานในห้องโถงว่าถ้าหลินเหยามาถึงแล้ว ให้พาเธอไปส่งที่ห้องส่วนตัวด้วย
ลั่วเซ่าเชินเดินไปอธิบายกับถังโจวโจวไปว่า “ร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนสนิทผม ผมจึงพอกำชับได้บ้าง”
ถังโจวโจวพยักหน้า ที่แท้เขาก็มีเส้นสายนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่เขาดูคุ้นเคยกับที่นี่มากขนาดนี้ ถังโจวโจวจูงมือของลั่วอิงเดินตามหลังลั่วเซ่าเชินเข้าไปในห้องส่วนตัวบนชั้นสอง ภายในนั้นไม่ได้กว้างมาก มีแค่โต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้อีกสี่ตัว
ฝาผนังสะอาดสะอ้าน โต๊ะทำมาจากไม้มะฮอกกานี ดูเรียบหรูเป็นอย่างมาก เก้าอี้ก็เป็นแบบที่มีพนักพิงขนาดใหญ่ นั่งสบายเป็นที่สุด
หลังจากที่ทั้งสามคนเพิ่งจะเข้ามานั่งได้ไม่นาน ก็มีคนเข้ามาส่งหลินเหยาที่ห้องส่วนตัว พร้อมกันกับพนักงานคนหนึ่งนำรายการอาหารที่ลั่วเซ่าเชินสั่งเรียบร้อยแล้วออกไปพอดี หลินเหยาเห็นว่าสมาชิกทั้งสามคนของตระกูลลั่วนั่งอยู่ด้านใน เธอก็นั่งลงข้างๆ ลั่วอิง
“โจวโจว ชีวิตเธอนี่ช่างดีจริงๆ”
“เธอก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ เหยาเหยา” ในทุกๆ วัน ใครอยากจะไปไหนก็ไปได้ตามใจ นอกเสียจากบางครั้งที่รู้สึกเหงาจึงชวนกันออกไปบ้าง แต่ชีวิตส่วนใหญ่ของทั้งคู่ต่างก็มีความสุขดี
หลินเหยากับลั่วเซ่าเชินทักทายกันตามมารยาท ก่อนที่หลินเหยาจะหันไปบีบแก้มของลั่วอิง “ลั่วอิง หนูไม่ได้เจอน้าหลินเหยานานขนาดนี้ คิดถึงน้าบ้างไหมคะ”
“คิดถึงค่ะ…” ลั่วอิงพูดไม่ชัดเพราะถูกบีบแก้มอยู่
ถังโจวโจวรีบตีมือของหลินเหยา “เธอบีบแก้มลั่วอิงขนาดนี้ เดี๋ยวรูปหน้าก็เสียหมดหรอก!”
“อะไรจะเสียได้ง่ายขนาดนั้น!” หลินเหยาคิดว่าถังโจวโจวชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ เธอแค่หยอกเล่นก็เท่านั้นเอง เธอจะบีบให้ใบหน้าเสียรูปจริงๆ ได้อย่างไร! ฉันไม่สำคัญเท่าลั่วอิงกับลั่วเซ่าเชินแล้วสินะ หลินเหยาคิดในใจ
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยาเริ่มพูดไม่หยุด ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะห้ามปราม ผ่านไปสักพักหลินเหยาก็เห็นว่าถังโจวโจวไม่สนใจเธอแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เธอจึงทำได้แค่ถามไถ่ลั่วอิงว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อฆ่าเวลาที่น่าเบื่อนี้
หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ลั่วเซ่าเชินก็พาพวกเธอทั้งสามคนไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้ๆ จากนั้นเขาก็ขับรถกลับบ้านไปก่อน เขายังนัดแนะกับถังโจวโจวว่าหากพวกเธอชอปปิงกันเสร็จแล้วให้โทรศัพท์ไปบอก แล้วเขาจะกลับมารับพวกเธอ
หลินเหยาพูดด้วยความอิจฉา “โจวโจว เธอนี่หาสามีได้ดีจริงๆ!” แค่มาชอปปิงก็มารับมาส่ง ชีวิตเธอจะดีเกินไปหน่อยล่ะมั้ง!
หลินเหยาเห็นว่าวันนี้ลั่วเซ่าเชินดูแลเทคแคร์ถังโจวโจวดีกว่าแต่ก่อนมาก แล้วก็ยังรู้ด้วยว่าจะทำอย่างไรให้ถังโจวโจวประทับใจ ทำให้เธอรู้สึกรักเขามากกว่าเดิม
“ถ้าอยากมี เธอก็หาสักคนสิ!” มือข้างหนึ่งของถังโจวโจวจูงมือของลั่วอิง ส่วนอีกข้างที่เหลือก็ควงแขนของหลินเหยา
เมื่อได้ยินถังโจวโจวพูดถึงเรื่องหาแฟน หลินเหยาก็รีบเปลี่ยนเรื่องหนี “พอๆ ไม่ต้องวกมาพูดถึงฉันเลย ขอแค่เธอมีความสุข ฉันยังไงก็ได้ ไม่มีปัญหา!”
“เหยาเหยา เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง แล้วที่บอกว่า ‘ยังไงก็ได้ ไม่มีปัญหา’ น่ะ มันคืออะไร! เธอก็ต้องมีชีวิตที่ดีเหมือนกันสิ เธอต้องเหนือกว่าผู้ชายคนนั้น อย่าปล่อยให้เขาหัวเราะเยาะเธอได้!”
แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่ได้แนะนำให้หลินเหยากลับไปคืนดีกับแฟนเก่า แต่เธอก็ไม่สามารถปล่อยให้เขามาดูถูกหลินเหยาได้ ต้องทำให้เขาได้รู้ว่าแม้จะไม่มีเขา หลินเหยาก็มีความสุขดี และจะหาแฟนใหม่ได้ดีกว่าเขาหลายเท่าตัว
“ช่วงนี้เขายังมาวอแวเธออีกไหม”
หลินเหยาส่ายหน้า “ไม่แล้วล่ะ ครั้งก่อนฉันขอให้ฟังหยวนแกล้งเป็นแฟนปลอมๆ ของฉันเพื่อไปร่วมงานหมั้นของพวกเขา ฉันอยากให้เธอได้เห็นจริงๆ ว่าสีหน้าของหลิวเหยียนในตอนนั้นดำคล้ำแค่ไหน แต่ฉันก็นับถือสวีเฉินซีจริงๆ ในสถานการณ์แบบนั้นยังแบกหน้ายิ้มอยู่ได้”
หลินเหยาชื่นชมสวีเฉินซีในจุดนี้จริงๆ หากเป็นเธอ เธอคงทำไม่ได้ ผู้ชายของตัวเองยังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าผู้หญิงคนใดก็ล้วนอยากมีความสุขอย่างแท้จริง คงไม่ทำเรื่องที่มันขาดทุนแบบนี้
“แล้วงานหมั้นของพวกเขาผ่านไปได้ด้วยดีไหม” ถังโจวโจวมีความคิดอันแสนชั่วร้ายผุดขึ้นมา ถ้าจู่ๆ เกิดมีแฟนเก่าของสวีเฉินซีโผล่มาและตั้งใจจะยื้อแย่งเธอกลับไป หลิวเหยียนคงจะต้องเสียทั้งภรรยาและทุกสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ไปแน่ๆ
แต่น่าเสียดายที่มันเป็นแค่จินตนาการ “ราบรื่นมาก ยกเว้นคู่นักแสดงชายหญิงที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันในทุกๆ เรื่อง อย่างอื่นก็เป็นไปได้สวย… นี่! ฉันรู้นะว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ อย่าคิดไปไกลย่ะ มันเป็นไปไม่ได้ถึงขนาดนั้น!”
หลินเหยาทำลายความคิดลมๆ แล้งๆ ของถังโจวโจว ถังโจวโจวถอนหายใจ แต่ละครั้งที่คิดจะกำจัดผู้ชายเลวๆ สักคน เธอก็ทำได้แค่จินตนาการเท่านั้น แล้วตอนนี้ผู้ชายเลวๆ คนนั้นกลับได้ดีกว่าใครๆ เสียด้วย!
อยู่ดีๆ ลั่วอิงก็โพล่งขึ้นมาว่า “แม่โจวโจวขา น้าหลินเหยาไปเจอคนไม่ดีมาหรือคะ”
“ใช่ค่ะ น้าหลินเหยาเจอผู้ชายไม่ดีคนหนึ่ง แต่ผู้ชายคนนั้นกลับยังมีความสุขดี แม่โจวโจวได้ยินแล้วก็เลยไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรน่ะค่ะ” ถังโจวโจวย่อตัวลงไปอธิบายให้ลั่วอิงฟัง
ลั่วอิงพยักหน้ารับรู้ แต่สายตาฉายแววไม่แน่ใจ “หรือให้คุณพ่อไปสั่งสอนเขาดีไหมคะ น้าหลินเหยาจะได้สบายใจขึ้นด้วย”
ถังโจวโจวและหลินเหยาต่างก็ชอบใจกับความคิดเด็กๆ ของลั่วอิง “ไม่ต้องหรอกค่ะ เราอย่ารบกวนคุณพ่อให้ต้องมาจัดการเรื่องแค่นี้เลย”
ถังโจวโจวให้โจทย์ยากกับลั่วอิงอีกครั้ง ลั่วอิงขมวดคิ้วมุ่นและไม่รู้ว่าควรจะช่วยอย่างไรดี
ถังโจวโจวลูบศีรษะของเธอ “ลั่วอิง อย่าขมวดคิ้วค่ะ แบบนี้คุณแม่กับน้าหลินเหยาจะไม่สบายใจเอาได้นะคะ ตอนนี้หนูยังเด็ก ไว้หนูโตเมื่อไร หนูค่อยไปสั่งสอนผู้ชายคนนั้นให้น้าหลินเหยานะคะ โอเคไหม”
“ก็ได้ค่ะ” เมื่อลั่วอิงนึกถึงความสามารถของเธอในตอนนี้ เธอก็คิดว่าเธอควรรอให้ตัวเองโตกว่านี้ก่อน แล้วค่อยช่วยน้าหลินเหยาสั่งสอนผู้ชายไม่ดีคนนั้น