วันนี้ถังโจวโจวเป็นหวัดเล็กน้อย ลั่วเซ่าเชินจึงจัดการลางานให้เธอหยุดพักอยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งวัน ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวนอนหลับสนิท เขาช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถังโจวโจวให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปทำงาน
ก่อนที่เขาจะไป เขายังกำชับให้ป้าหลิวหาอะไรให้ถังโจวโจวกินเมื่อถึงเวลาด้วย จากนั้นก็ค่อยให้เธอนอนพักผ่อนต่อ
เมื่อป้าหลิวได้ยินเสียงออดที่หน้าประตู เธอก็สงสัยว่าใครมาแต่เช้า? และเมื่อเธอเปิดประตูออกไปดู เธอก็พบว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอเคยคุ้นหน้า ป้าหลิวจำหันฮุ่ยซินได้ เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอโดดเด่นอยู่ไม่น้อย
“ขอโทษนะคะ ลั่วเซ่าเชินอยู่ไหม” ป้าหลิวรู้ว่าหันฮุ่ยซินไม่ได้มาดี แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่เธอก็ไม่อยากให้หันฮุ่ยซินเข้ามา มิเช่นนั้นหากคุณผู้หญิงเห็นเข้า อาจจะอารมณ์เสียได้
เป็นเพราะป้าหลิวคิดเช่นนั้น เธอจึงไม่ยอมให้หันฮุ่ยซินเข้ามาง่ายๆ “ขอโทษด้วยนะคะคุณ วันนี้คุณชายไม่อยู่ หากคุณมีธุระอะไรกับเขา ฉันจะช่วยบอกให้ค่ะ”
หันฮุ่ยซินตั้งใจเลือกเวลามาเช้าๆ นึกไม่ถึงเลยว่าก็ยังคงไม่เจอลั่วเซ่าเชินอยู่ดี ความโศกเศร้าบนใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นมาในทันที แม้ว่าป้าหลิวจะรู้สึกว่าเธอรูปร่างหน้าตาดี แต่เมื่อเห็นว่าเธอโลภที่จะแย่งสามีคนอื่นแบบนี้ ความงามของหันฮุ่ยซินในใจของป้าหลิวก็ไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
“ขอโทษด้วยค่ะ รบกวนแล้ว ไว้ครั้งหน้าฉันค่อยมาใหม่” หันฮุ่ยซินตั้งท่าจะจากไป ป้าหลิวก็ไม่ได้สนใจอะไร และไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้ถังโจวโจวทราบด้วย เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องคิดมาก
ป้าหลิวทำตามที่ลั่วเซ่าเชินสั่งทุกอย่าง เธอปลุกถังโจวโจวขึ้นมากินข้าวเช้าตรงเวลา จากนั้นเธอก็ให้ถังโจวโจวกินยาแก้หวัด ก่อนจะปล่อยให้ถังโจวโจวนอนต่อไป
ช่วงกลางวัน ลั่วเซ่าเชินกลับมาดูอาการถังโจวโจว แล้วเขาก็โล่งใจเมื่อพบว่าอาการป่วยของถังโจวโจวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และหลังจากกินมื้อกลางวันที่บ้านแล้ว เขาก็กลับไปทำงานต่อที่บริษัท
คราวนี้หันฮุ่ยซินฉลาดแล้ว เธอถือกระเช้าผลไม้มาใบหนึ่ง เธอตั้งใจมากดออดที่หน้าบ้านของลั่วเซ่าเชินก่อนที่เขาจะเลิกงาน
ป้าหลิวกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ในครัว วันนี้ถังโจวโจวนอนอยู่บนเตียงเกือบทั้งวัน เธอนอนมากเกินไปจนทำให้เธอรู้สึกเวียนหัว เธอก็เลยฉวยโอกาสนี้ลงมานั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อฆ่าเวลาก่อนมื้อเย็น
เมื่อได้ยินเสียงกริ่ง ป้าหลิวก็รีบออกมาจากห้องครัว ถังโจวโจวรีบหยัดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว “ป้าหลิวไปทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันออกไปเปิดประตูเอง”
เมื่อป้าหลิวได้ยินอย่างนั้น เธอก็ถอยกลับเข้าไปในครัว ถังโจวโจวเดินไปที่หน้าประตู และเมื่อเธอเห็นร่างของใครคนหนึ่งผ่านกระจก เธอก็รู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะ เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ซ้ำยังมาเวลานี้ด้วย? ถังโจวโจวคิดไปร้อยพันแปดก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้ แต่เธอก็ยังคงเปิดประตูแล้วเดินออกไป
มุมปากของหันฮุ่ยซินที่ยกยิ้มขึ้นพลันชะงักค้างไปชั่วขณะเมื่อเห็นถังโจวโจว แต่เพียงไม่นานเธอก็ตั้งสติได้ “โจวโจว เธอจะเชิญฉันเข้าไปไหม”
แม้ว่าถังโจวโจวจะรู้ว่าหันฮุ่ยซินมีเจตนาอื่น แต่เธอก็มาถึงหน้าบ้านแล้ว จึงไม่กล้าไล่เธอกลับไป อีกทั้งในมือของเธอยังมีกระเช้าผลไม้ขนาดใหญ่มาด้วย ถังโจวโจวจึงได้แต่ ‘เชิญ’ หันฮุ่ยซินเข้ามา
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว หันฮุ่ยซินก็วางกระเช้าผลไม้ไว้บนโต๊ะน้ำชา แล้วเธอก็เห็นว่าโทรทัศน์เปิดอยู่ เธอคิดว่าเมื่อครู่นี้ถังโจวโจวคงจะนั่งดูโทรทัศน์อยู่ตรงนี้ ภายในบ้านค่อนข้างเงียบ มีเพียงแค่ห้องครัวเท่านั้นที่มีเสียง คงกำลังเตรียมมื้อเย็นอยู่สินะ
หันฮุ่ยซินเองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอหาโอกาสมาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เจอหน้าลั่วเซ่าเชินสักที เธอจึงได้แต่แบกหน้ามาหาเขาในเวลานี้ เธอคิดว่าไม่ว่าถังโจวโจวจะพูดอะไร เธอก็จะไม่ไปไหน
ถังโจวโจวรินน้ำชามาหนึ่งแก้ว “น้ำชาค่ะ” ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟา บรรยากาศเงียบเชียบไปชั่วขณะ ถังโจวโจวไม่คิดว่าตัวเองจะคุยกับหันฮุ่ยซินได้ แล้วเธอก็ยังไม่เข้าใจว่าหันฮุ่ยซินมาทำไมในวันนี้
เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินไม่ได้พูดอะไร ถังโจวโจวก็ได้แต่จดจ่ออยู่กับโทรทัศน์ เธอเหลือบมองหันฮุ่ยซินเป็นระยะๆ จนท้ายที่สุดถังโจวโจวก็อดชื่นชมความมุ่งมั่นของหันฮุ่ยซินไม่ได้
ถังโจวโจวรีบหยัดตัวขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงของรถด้านนอก เธอเห็นว่าหันฮุ่ยซินเองก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดถังโจวโจวก็เข้าใจจุดประสงค์ของเธอแล้ว
ถังโจวโจวนั่งลงที่เดิมอย่างช้าๆ และเมื่อหันฮุ่ยซินเห็นว่าถังโจวโจวไม่ได้เดินออกไปรับลั่วเซ่าเชิน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตัวเองแสดงออกมากเกินไป เธอจึงนั่งลงตาม ถังโจวโจวเอาแต่จ้องมองเธออยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้แสดงอาการใดๆ หันฮุ่ยซินจึงเบือนหน้าหนี และมองไปที่ด้านนอกของประตู
จากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ตึกๆๆ… หันฮุ่ยซินรู้สึกว่าอัตราการเต้นของหัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับจังหวะก้าวเดินของลั่วเซ่าเชิน
มือทั้งสองข้างกุมกันแน่น หลังจากรอคอยมานานแสนนาน ในที่สุดร่างของลั่วเซ่าเชินก็ปรากฏขึ้นในบ้าน และที่ด้านหลังของเขาก็มีร่างเล็กๆ ของลั่วอิงตามมาด้วย
เมื่อลั่วอิงเห็นว่าภายในบ้านมีคนเกินมาหนึ่งคน เธอก็มองดูอีกฝ่ายอย่างงุนงง แต่หลังจากนั้นเธอก็วิ่งเข้าไปหาถังโจวโจว “แม่โจวโจวขา คุณแม่หายดีหรือยังคะ วันนี้หนูเป็นห่วงคุณแม่ทั้งวันเลย”
“จริงเหรอคะ เด็กดีของแม่” ถังโจวโจวอุ้มลั่วอิงขึ้นมานั่งบนตัก เธอเห็นว่าลั่วอิงจ้องมองหันฮุ่ยซินด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก “ลั่วอิง หนูจำคุณน้าได้ไหมคะ รีบทักทายคุณน้าหันสิลูก”
“คุณน้าหัน” ลั่วอิงได้แต่เชื่อฟังถังโจวโจว เอ่ยปากทักทายอย่างดี
หันฮุ่ยซินรีบหยิบกล่องของขวัญเล็กๆ ออกมา “ลั่วอิงน่ารักจริงๆ เลยค่ะ อันนี้คือของขวัญจากน้าหันนะคะ”
ลั่วอิงหันมองถังโจวโจว จากนั้นก็มองไปที่ลั่วเซ่าเชิน แต่ก็ยังไม่ยอมรับของขวัญจากหันฮุ่ยซิน
ลั่วเซ่าเชินยังตกใจอยู่ที่เห็นหันฮุ่ยซินมาโผล่อยู่ตรงนี้ แต่เขาก็สามารถตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินถือของขวัญอยู่นาน และรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆ แห้งเหือดลงไป เขาจึงได้แต่เปิดปากแก้สถานการณ์ว่า “ลั่วอิง ลูกยังไม่รีบขอบคุณคุณน้าหันอีก”
ลั่วอิงเอื้อมมือออกไปรับของขวัญและพูดประโยคนั้นตามคำสั่ง “ขอบคุณค่ะ น้าหัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หันฮุ่ยซินหมายจะลูบศีรษะลั่วอิง แต่เธอก็กลัวว่าลั่วอิงจะไม่ชอบ ดังนั้นจึงรีบดึงมือตัวเองกลับมา
“ฮุ่ยซิน แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่”’ ลั่วเซ่าเชินนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว พลางมองไปที่หันฮุ่ยซิน
หันฮุ่ยซินจับเส้นผมที่หล่นลงมาข้างกรอบหน้าทัดกับใบหู ก่อนจะพูดว่า “อาเชิน เรื่องครั้งก่อนฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณดีๆ เลย วันนี้ฉันก็เลยตั้งใจมาขอบคุณคุณโดยเฉพาะ”
“ผมพูดไปแล้วนี่ว่าการช่วยเหลือคุณมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เราเองก็รู้จักกันมานาน เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นผมจะไม่ช่วยคุณได้ยังไง คุณก็อย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลย” ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าหันฮุ่ยซินกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในบาร์วันนั้น เขาแค่รู้สึกว่าหันฮุ่ยซินกำลังทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
หันฮุ่ยซินก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “อาเชิน แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของฉัน หากตอนนั้นพวกเขาได้ตัวฉันไป ฉันก็ไม่รู้ว่าฉัน…จะเป็นยังไง… ฮือ…”
เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินน้ำตาตก ลั่วเซ่าเชินก็รีบส่งกระดาษทิชชูให้เธอในทันที ลั่วอิงเบิกตาโพลงในขณะที่มองดูหันฮุ่ยซิน แล้วเห็นว่าเธอร้องไห้ออกมาจริงๆ จากนั้นลั่วอิงก็หันไปมองใบหน้าที่สงบนิ่งของถังโจวโจว แล้วก็รู้สึกได้ว่าแม่โจวโจวต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน
“น้าหันคะ คุณพ่อช่วยคุณน้าตอนไหนหรือคะ”
เมื่อเธอเห็นลั่วอิงถาม หันฮุ่ยซินก็ราวกับว่ากำลังนึกถึงเรื่องราวดีๆ พลางพูดว่า “อาเชินช่วยน้าไว้ที่บาร์เมื่อคราวก่อนค่ะ ลั่วอิงอาจจะไม่รู้ แต่น้าว่าแม่โจวโจวของหนูน่าจะรู้อยู่นะคะ”
แน่นอนว่าถังโจวโจวรู้อยู่เต็มอก คิดไปแล้วความไม่พอใจในคราวนั้นก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหันคะ เซ่าเชินก็บอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องใส่ใจ แล้วทำไมคุณถึงต้องเกรงใจมากขนาดนี้”
เมื่อได้ยินหันฮุ่ยซินเรียก ‘อาเชิน อาเชิน’ ถังโจวโจวก็รู้สึกจุกอยู่ในลำคอ จะกลืนก็ไม่เข้า จะคายก็ไม่ออก ทรมานเอามากๆ
“โจวโจว แม้ว่าอาเชินจะพูดแบบนั้น แต่ฉันก็อยากจะแสดงความจริงใจ วันนี้ฉันก็เลยตั้งใจซื้อผลไม้มาขอบคุณ หวังว่าพวกคุณคงจะไม่รู้สึกว่ามันเล็กน้อยเกินไป”
“คุณชาย คุณผู้หญิง ทานข้าวได้แล้วค่ะ” เมื่อป้าหลิวเดินออกมาจากครัว เธอก็พบว่าหันฮุ่ยซินมาอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรมากในตอนนี้ จึงได้แต่เอ่ยเรียกพวกเขามากินข้าว
ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าป้าหลิวเตรียมอาหารเอาไว้แล้ว เขาจึงเอ่ยชวนอย่างสุภาพว่า “ฮุ่ยซิน ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ แล้วค่อยกลับ”
“ค่ะ!” หันฮุ่ยซินตอบรับอย่างรวดเร็วจนทำให้ถังโจวโจวอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอเตรียมตัวมาก่อนอยู่แล้วหรือเปล่า
ลั่วเซ่าเชินเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหันฮุ่ยซินจะตกปากรับคำเร็วขนาดนี้ เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ และเชิญหันฮุ่ยซินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
ถังโจวโจวจูงมือลั่วอิงไปนั่งที่ด้านขวามือของลั่วเซ่าเชิน ส่วนหันฮุ่ยซินก็นั่งประจันหน้ากับลั่วอิง ซึ่งนั่นก็คือทางด้านซ้ายมือของลั่วเซ่าเชิน
ระหว่างมื้ออาหาร มีแค่หันฮุ่ยซินเท่านั้นที่คิดหัวข้อสนทนาขึ้นมาเป็นครั้งคราว ถังโจวโจวไม่ได้ตอบรับอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีแต่เสียงของลั่วเซ่าเชินและหันฮุ่ยซินที่พูดคุยกัน แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าหันฮุ่ยซินตั้งใจมากน้อยแค่ไหน ที่เธอมักจะหยิบยกความทรงจำในอดีตมาพูดคุยกับลั่วเซ่าเชินเสมอ
มื้ออาหารมื้อนี้ทำให้ถังโจวโจวอึดอัดใจ เมื่อถังโจวโจวได้ยินเรื่องราวความทรงจำระหว่างหันฮุ่ยซินกับลั่วเซ่าเชินสมัยเรียน เธอก็รู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นคนนอก
แต่ถึงอย่างนั้นลั่วอิงก็มักจะแทรกแซงบทสนทนาของลั่วเซ่าเชินและหันฮุ่ยซินอยู่ตลอด เธอพยายามจะขัดขวางความทรงจำของพวกเขา แต่ก็น่าเสียดายที่ถูกหันฮุ่ยซินเปลี่ยนหัวข้อหนีไปได้เรื่อยๆ
ลั่วอิงค่อยๆ เอื้อมมือที่อยู่ใต้โต๊ะไปจับมือของถังโจวโจว ก่อนจะส่งสายตาให้กำลังใจถังโจวโจว ถังโจวโจวยิ้มให้เธอ ถังโจวโจวไม่อยากให้เธอต้องมารู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย ก่อนจะรีบคีบน่องไก่ให้เธอ “ทานเร็วค่ะ ลั่วอิง ทานเยอะๆ นะคะ จะได้โตไวๆ”
“แม่โจวโจวก็ทานด้วยนะคะ” ลั่วอิงเหยียดตัวตรงและคีบน่องไก่น่องใหญ่มาให้ถังโจวโจว
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นพวกเธอทำอย่างนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกน้อยใจ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ลั่วอิง ทำไมไม่คีบให้พ่อบ้างล่ะลูก”
ลั่วอิงฉุกคิดนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ขยับตัว เธอเพียงแค่บ่นเบาๆ ว่า “คุณพ่อไม่ได้เสียใจซะหน่อย ทำไมหนูถึงต้องคีบให้ด้วย” จากนั้นเธอก็ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวที่อยู่ในชามของเธอ ทันใดนั้น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ตึงเครียดขึ้นมาชั่วขณะ
ถังโจวโจวลอบถอนหายใจ ก่อนจะคีบน่องไก่ไปวางไว้ในชามของลั่วเซ่าเชิน “อารมณ์ของเด็กน่ะค่ะ ปกติเธอจะคีบอาหารให้คุณตลอด วันนี้เธออาจจะไม่ค่อยสบายใจ คุณก็อย่าถือสาลูกเลยนะคะ”
ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิลั่วอิง เขาแค่รู้สึกประหลาดใจ ปกติเวลาเขาพูดอะไร ลั่วอิงก็จะทำตามโดยตลอด แต่ทำไมเมื่อครู่นี้ที่เขาบอกให้ลั่วอิงคีบอาหารให้ เธอถึงปฏิเสธเขาเสียงแข็งล่ะ?
ลั่วเซ่าเชินงุนงงไปชั่วขณะ ในขณะที่หันฮุ่ยซินเข้าใจดี เธอรู้ว่าลั่วอิงกำลังหนุนหลังถังโจวโจวอยู่ เธอก็แค่รู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้นี่ช่างเรียกร้องความสนใจเก่งจริงๆ
“อาเชิน จานนี้เป็นจานโปรดของคุณนี่ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเวลาที่คุณทานข้าวกับฉัน คุณจะต้องสั่งมันทุกที… โอ้ ขอโทษค่ะ ฉันลืมมันไม่ได้ น่าขายหน้าจริงๆ” หันฮุ่ยซินคีบกระดูกหมูให้กับลั่วเซ่าเชิน
ถังโจวโจวกำตะเกียบแน่น เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินเอาแต่พูดถึงเรื่องในอดีตของเธอกับลั่วเซ่าเชิน สีหน้าของถังโจวโจวดูซีดเซียวมากกว่าเดิม หรือว่าวันนี้เธอตั้งใจจะมาแสดงอำนาจอะไร?