“คุณหันคะ จริงๆ แล้วเรื่องราวในอดีตบางเรื่อง เราก็ควรจะลืมมันไป เพราะท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่อาจย้อนกลับไปในอดีตได้ บางทีการลืมอาจจะทำให้เรามีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นก็ได้นะคะ”
หันฮุ่ยซินชะงักนิ่งไปนานเพราะคำพูดของถังโจวโจว เธอรู้ว่าถังโจวโจวเข้าใจจุดประสงค์ของเธอในวันนี้
แต่เมื่อเธอคิดดูอีกที เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เธอไม่อยากจะหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง “โจวโจว แต่เธอควรรู้ว่าเรื่องราวบางเรื่องมันยากที่จะลืม สำหรับฉันแล้ว ในเมื่อฉันลืมมันไม่ได้ ฉันก็จะพยายามตามมันกลับมาอีกครั้งหนึ่งให้ได้”
“แต่ถ้าสิ่งนั้นมันอยู่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะคะ คุณจะตามมันกลับมาได้ยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะพยายามให้มากที่สุดค่ะ แม้ว่าฉันจะไม่สามารถตามมันกลับมาได้ แต่ฉันก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ฉันจะไม่เสียใจ แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันจะสามารถตามมันกลับมาได้อย่างแน่นอน” แววตาของหันฮุ่ยซินเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“พวกคุณสองคนคุยเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ” ลั่วเซ่าเชินถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อเขาเห็นว่าพวกเธอเอาแต่พูดจาแปลกๆ ใส่กัน ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันกับคุณหันแค่คุยกันเรื่องความคิดเกี่ยวกับความทรงจำเก่าๆ” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหัวข้อการสนทนานั้นถูกเปลี่ยนไปโดยลั่วเซ่าเชินแล้ว เธอก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนั้นต่อไปอีก เธอจึงฉีกยิ้มเพียงเล็กน้อย “รีบทานข้าวเถอะค่ะ คุณหัน อาหารใกล้จะเย็นหมดแล้ว”
“โจวโจว เธอก็ทานด้วยสิ อ้อ ฉันบอกเธอตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกฉันว่าฮุ่ยซินก็พอ เรียกคุณหันมันออกจะห่างเหินมากเกินไป!”
ราวกับว่าถังโจวโจวไม่ได้ยินคำพูดนั้น เธอก้มหน้าก้มตากินข้าวที่อยู่ในชามของเธอต่อไป
หลังจากมื้อเย็นผ่านไป หันฮุ่ยซินนั่งต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะกลับไป และเมื่อถังโจวโจวเห็นว่าในที่สุดหันฮุ่ยซินก็กลับไปเสียที เธอก็พาลั่วอิงขึ้นไปชั้นบน ลั่วเซ่าเชินยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น พลางมองดูพวกเธอที่ทิ้งเขาไว้ที่ชั้นล่าง ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าถังโจวโจวคิดอะไรอยู่? นี่เธอโกรธเขาอยู่เหรอ?
ถังโจวโจวพาลั่วอิงกลับไปอาบน้ำที่ห้อง เธอช่วยเตรียมเสื้อผ้าและเปิดน้ำร้อนให้ หลังจากนั้นเธอก็ช่วยลั่วอิงถูหลัง ลั่วอิงแช่ตัวอยู่ในน้ำร้อน และในขณะที่ลั่วอิงกำลังเล่นฟองสบู่อยู่นั้น จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า “แม่โจวโจวขา วันนี้ตอนที่คุณแม่ทานข้าว คุณแม่อารมณ์ไม่ดีใช่ไหมคะ”
“เปล่านี่คะ? ทำไมลั่วอิงถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” ถังโจวโจวไม่อยากจะเอาเรื่องของผู้ใหญ่ไปใส่ไว้ในหัวของเด็ก ดังนั้นเธอจึงเอ่ยปฏิเสธทันที
แต่น่าเสียดายที่ลั่วอิงไม่เชื่อเธอ “แม่โจวโจวขา หนูรู้ว่าคุณแม่อารมณ์เสีย เป็นเพราะคุณน้าหันใช่ไหมคะ แล้วทำไมจู่ๆ เธอถึงมาที่นี่ล่ะคะ”
คำถามที่ลั่วอิงรัวออกมา ทำให้ถังโจวโจวอดขำไม่ได้ “หนูจะคิดมากไปทำไมคะ เด็กน้อย เธอก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เธอตั้งใจมาขอบคุณคุณพ่อของหนู”
“แล้วทำไมเธอถึงชอบชวนคุณพ่อคุยล่ะคะ เธอมักจะพูดถึงในสิ่งที่เราฟังไม่เข้าใจด้วย?” ลั่วอิงรู้สึกได้ว่าถังโจวโจวไม่มีความสุข สาเหตุนั่นต้องมาจากคุณน้าหันที่จู่ๆ ก็โผล่มาแน่นอน
“นั่นเป็นเพราะว่าเธอกับคุณพ่อของหนูเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน พวกเขามีความทรงจำมากมายที่พวกเราไม่รู้ค่ะ เป็นเพราะหนูไม่ได้มีส่วนร่วม ดังนั้นหนูจึงฟังไม่เข้าใจยังไงล่ะ” ลั่วอิงอาบน้ำเสร็จแล้ว ถังโจวโจวก็กางผ้าขนหนูออก จากนั้นก็ห่อตัวลั่วอิงขึ้นมา
“เอาละ อาบเสร็จแล้ว แม่โจวโจวจะอุ้มหนูไปที่เตียงนะคะ เราจะได้สวมเสื้อผ้ากัน” ถังโจวโจวอุ้มลั่วอิงเข้ามาในห้อง ก่อนจะวางลั่วอิงลงบนเตียง จากนั้นเธอก็เดินไปหยิบชุดนอนของลั่วอิงมา เพื่อจะสวมใส่ให้ลั่วอิง
ลั่วอิงมุดเข้าไปในผ้าห่ม ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เธอยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ถังโจวโจวพูดเมื่อครู่นี้ “แม่โจวโจวขา แล้วทำไมคุณพ่อกับคุณน้าถึงเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันได้ล่ะคะ เราไม่รู้เรื่องของพวกเขาเลยจริงๆ แม่โจวโจวก็ไม่รู้เลยใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ ตอนนั้นแม่โจวโจวยังไม่รู้จักกับคุณพ่อของหนูเลย ดังนั้นแม่จึงไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน และตอนนั้นหนูก็ยังไม่เกิดเลยด้วย หนูก็เลยไม่รู้ยังไงล่ะคะ เจ้าตัวแสบ ทีนี้เข้าใจหรือยัง สวมเสื้อผ้าได้หรือยังคะ”
ถังโจวโจวคลี่เสื้อผ้าออกและรอให้ลั่วอิงมาสวมใส่ ลั่วอิงโผล่ออกมาจากผ้าห่ม จากนั้นเธอก็เอ่ยถามเป็นชุดอีกครั้ง “แม่โจวโจวคะ แล้วคุณพ่อไม่ได้เล่าเรื่องระหว่างคุณพ่อกับคุณน้าหันให้คุณแม่ฟังบ้างหรือคะ ให้คุณพ่อบอกคุณแม่ให้หมด แค่นี้คุณแม่ก็รู้เรื่องของพวกเขาแล้วค่ะ”
“ไม่ค่ะ คุณพ่อไม่ได้บอกอะไรแม่ แล้วตอนนี้แม่ก็ไม่อยากรู้ด้วย… พอแล้วค่ะ เป็นเด็กเป็นเล็ก คิดอะไรเยอะแยะ สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ควรจะเข้านอนนะคะ!”
เมื่อถังโจวโจวสวมชุดนอนให้ลั่วอิงเรียบร้อยแล้ว เธอก็อุ้มลั่วอิงไปวางในผ้าห่ม และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงตั้งท่าจะถามอีก เธอก็เหยียดนิ้วไปวางไว้บนริมฝีปากของลั่วอิง
“เอาละค่ะ ไม่ถามเรื่องนี้แล้วนะ แม่โจวโจวไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้แล้ว แม่จะอ่านนิทานให้หนูฟัง จากนั้นหนูจะได้เข้านอน หนูจำไม่ได้แล้วเหรอ วันพรุ่งนี้หนูต้องไปโรงเรียนนะลูก”
“แต่แม่โจวโจวขา ถ้าหนูไม่เข้าใจ หนูจะนอนไม่หลับนะ” ลั่วอิงพูดอย่างกังวล
ถังโจวโจวไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือจะขำดี “หนูเพิ่งจะกี่ขวบเองคะ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของหนูในตอนนี้ก็คือเรียนและเล่นก็พอค่ะ ส่วนเรื่องของผู้ใหญ่ หนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูก แม่โจวโจวจะบอกอะไรให้ ตอนนี้แม่ไม่เสียใจแล้วนะ หนูรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยังคะ”
ลั่วอิงฉุกคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ค่ะ”
ถังโจวโจวลูบศีรษะของลั่วอิง “แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ หนูไม่ต้องคิดอะไรมากนะ หนูเชื่อสิว่าแม่โจวโจวจัดการได้ หนูแค่เป็นเด็กดีของคุณแม่ก็พอแล้วค่ะ”
หลังจากเล่านิทานให้ลั่วอิงฟังจนจบ ถังโจวโจวก็เห็นว่าเธอหลับไปแล้ว เธอจึงเดินไปปิดไฟ ก่อนจะออกจากห้องนอนของลั่วอิงไป
เมื่อเธอชำระร่างกายเสร็จ เธอก็มานอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ถังโจวโจวอ่านไม่เข้าหัวเลยสักหนึ่งตัวอักษร แค่เธอเผลอนึกถึงตอนที่หันฮุ่ยซินพร่ำเพ้อถึงความทรงจำอันแสนสวยงามระหว่างเธอกับลั่วเซ่าเชินเมื่อตอนหัวค่ำแล้ว เธอก็หมดอารมณ์จะอ่านหนังสือต่อ
ลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาในห้อง เขาพบว่าถังโจวโจวกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง แม้กระทั่งเขาเดินเข้ามา เธอก็ยังไม่ได้สังเกตเห็น ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ว่าถังโจวโจวแปลกไปเมื่อตอนกินข้าวเย็น เขานึกว่าพอหันฮุ่ยซินกลับไปแล้ว เธอก็จะกลับมาเป็นเหมือนคนเดิม นี่เราตกอยู่ในสภาวะน่าอึดอัดนี้อีกแล้วเหรอ?
ลั่วเซ่าเชินเดินไปถึงข้างเตียง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ถังโจวโจว เขาเห็นว่าสายตาของเธอนั้นว่างเปล่า และหนังสือก็เปิดอยู่แค่หน้าเดียว หนังสือเล่มนี้ราวกับเป็นแค่ของประดับที่เธอถือไว้เท่านั้น
ลั่วเซ่าเชินโบกมือไปมาตรงหน้าของถังโจวโจว และเมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็มีท่าทีโต้ตอบเขาแล้ว เขาจึงรีบเอ่ยถาม “โจวโจว คุณคิดอะไรอยู่”
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “อ๋อ เปล่าค่ะ คุณยังไม่ได้อาบน้ำเลย รีบไปเถอะค่ะ ฉันเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้คุณแล้ว วางอยู่ในห้องน้ำนะคะ”
ถังโจวโจวย้ายสายตากลับไปบนหน้าหนังสือต่อ เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่อยากคุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าถังโจวโจวหดหัวกลับเข้าไปอยู่ในกระดองอีกตามเคย เขาจึงต้องเข้าไปในห้องน้ำก่อน จากนั้นก็ค่อยกลับมาคุยกับถังโจวโจวอีกครั้งหนึ่ง
เพียงไม่นาน ลั่วเซ่าเชินก็ออกมาจากห้องน้ำ เพราะหัวใจของเขามัวแต่พะวงอยู่กับเรื่องของถังโจวโจว ดังนั้น ลั่วเซ่าเชินจึงรีบอาบและออกมาให้เร็วที่สุด และเขาก็พบว่าถังโจวโจวเหม่อลอยอีกครั้งแล้ว นี่ถ้าลั่วเซ่าเชินยอมเชื่อว่าเธอไม่ได้คิดอะไรในใจ เขาก็คงเป็นผีแล้ว!
คราวนี้ลั่วเซ่าเชินนั่งลงบนเตียงและดึงหนังสือที่เป็นของตกแต่งในมือของถังโจวโจวออกมา ถังโจวโจวตกใจ เธอเงยหน้ามองลั่วเซ่าเชินที่นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร
“เซ่าเชิน คุณหยิบหนังสือฉันไปทำไมคะ” ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่ข้างเธอ เธอไม่รู้ว่าเขากลับมาตอนไหน ทำไมถึงไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยสักนิด
“ผมเห็นว่าคุณกำลังเหม่อ ผมถามคุณ คุณก็ไม่ตอบ ผมก็เลยดึงหนังสือของคุณมา คราวนี้คุณจะบอกผมได้หรือยัง” ลั่วเซ่าเชินวางหนังสือลงข้างๆ ก่อนจะจ้องไปที่ถังโจวโจว
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอหนีไม่พ้น เธอก็ได้แต่ก้มหน้าลง “ฉันไม่มีอะไรจะพูดค่ะ ในเมื่อคุณไม่คืนให้ฉัน ฉันก็จะนอนแล้ว”
ถังโจวโจวว่าพลางจะทิ้งตัวลงนอน แต่ลั่วเซ่าเชินจะปล่อยให้เธอหนีไปง่ายๆ ได้อย่างไร หากวันนี้ไม่คุยกันให้รู้เรื่อง เขาก็ไม่รู้ว่าก้อนหิมะมันจะยิ่งโตขึ้นอีกเท่าไร
“โจวโจว เราไม่ควรเปิดใจคุยกันเหรอ ถ้าคุณมัวแต่เก็บมันเอาไว้ในใจ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็จะอึดอัดใจไปตลอด”
“ฉันไม่อยากพูดค่ะ” ถังโจวโจวรู้ว่าอาการกลัดกลุ้มของตัวเองนั้นน่าเบื่อ แต่เธอก็ทนกับการกระทำของหันฮุ่ยซินไม่ไหวจริงๆ เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าหากเธอพูดมันออกมา ลั่วเซ่าเชินจะยอมรับมันไหม
“ทำไมล่ะ หรือที่คุณโกรธเป็นเพราะฮุ่ยซินใช่ไหม ผมไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้เธอจะมา” ลั่วเซ่าเชินเองก็ตกใจเหมือนกันที่เห็นว่าหันฮุ่ยซินมา “และที่ผมชวนเธอกินข้าว ผมก็แค่ชวนตามมารยาท ไม่มีเหตุผลอื่นเลย” ลั่วเซ่าเชินอธิบายให้ถังโจวโจวฟังอย่างใจเย็น เขารู้สึกว่าเขาไม่เคยอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างละเอียดขนาดนี้มาก่อนเลย
“รู้แล้วค่ะ” แน่นอนว่าถังโจวโจวรู้ว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้นัดกับหันฮุ่ยซิน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อยู่ที่นี่นานขนาดนี้ แต่ถึงอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งใจจะอยู่กินข้าวกับลั่วเซ่าเชินที่นี่
ถังโจวโจวที่ดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ค่อยๆ วางใจ แต่เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยังคงเฉยเมยเช่นเดิม เขาก็คิดว่า หรือเขาพลาดอะไรบางอย่างไป? มิฉะนั้นเธอก็คงจะไม่เป็นแบบนี้อยู่
หรือว่า… “โจวโจว คุณโกรธเพราะเรื่องที่พวกผมคุยกันใช่ไหม” นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ลั่วเซ่าเชินนึกออก และที่ถังโจวโจวผิดปกติไป มันก็เริ่มจากตอนนั้น
ลั่วเซ่าเชินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นเพราะเรื่องนั้น เมื่อเขามองดูปฏิกิริยาของถังโจวโจวแล้ว เขาก็พบว่าถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ยอมรับ แต่รอยยิ้มที่แสนบางเบาบนใบหน้าของเธอนั้นก็ไม่อาจหลอกคนอื่นได้ ดูเหมือนว่าเขาจะทายถูกแล้ว
ลั่วเซ่าเชินแค่ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่รู้สึก หากเขารู้ว่าถังโจวโจวไม่ชอบให้เขาคุยเรื่องอดีตกับหันฮุ่ยซินเยอะเกินไป เขาก็คงจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปแล้ว เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเก็บมาโกรธเขาอยู่อย่างนี้
“โจวโจว ถ้าคุณไม่ชอบฟัง คราวหน้าผมจะไม่รับคำเธออีก” ลั่วเซ่าเชินกุมมือของถังโจวโจวไว้แน่น เขาอยากปลอบโยนเธอให้หายกลุ้มใจ ถังโจวโจวพยายามดึงมือออกจากเขา แต่เธอก็ถูกลั่วเซ่าเชินเอ็ดเบาๆ ว่า “โจวโจว อย่าดื้อสิ!”
“นี่คุณดุฉันเหรอ?!” ถังโจวโจวมองลั่วเซ่าเชินด้วยความน้อยใจ
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าแววตาของเธอเศร้าลงอีกครั้ง เขาก็ทำอะไรไม่ถูก นี่มันอะไรกัน เธอเสียใจอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไปอีกแล้วล่ะ?
“โจวโจว ผมไม่ได้ตั้งใจ” น้ำตาของถังโจวโจวนึกจะไหลก็ไหลออกมา และก่อนที่ลั่วเซ่าเชินจะตั้งสติได้ น้ำตาของเธอก็หยดซึมลงบนผ้าห่มไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินหาวิธีโน้มน้าวเธอไม่ได้ เขาจึงได้แต่ใช้ริมฝีปากของตัวเองประกบจูบลงบนริมฝีปากของเธอ แค่นี้เขาก็ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอแล้ว
แน่นอนว่านี่ก็คือความคิดส่วนตัวของลั่วเซ่าเชินด้วยเช่นกัน เขาอยากจะสัมผัสกับริมฝีปากของถังโจวโจวอย่างใกล้ชิด “อื้อ… เซ่าเชิน…”
เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวตั้งท่าจะคุยกับเขาเรื่องที่เขาดุเธอเมื่อครู่นี้ มือข้างหนึ่งของลั่วเซ่าเชินก็ประคองอยู่ที่ด้านหลังศีรษะของเธอ มืออีกข้างที่เหลือก็จับอยู่ที่ช่วงเอว เขาป้อนจูบเธอและค่อยๆ เอนตัวลงไปด้านหลัง เมื่อครู่นี้ถังโจวโจวอยากจะล้มตัวลงนอน ก็ตรงกันกับสิ่งที่เขาต้องการ เพราะเขาอยากจะออกกำลังกายก่อนนอนกับถังโจวโจวพอดี