ถังโจวโจวสัญญาว่าเธอจะไปรับลั่วอิงกลับบ้านในวันนี้ ดังนั้นหลังจากที่เธอเลิกงานและเก็บสัมภาระเสร็จ เธอก็นั่งรถแท็กซี่ตรงไปที่โรงเรียนอนุบาล ถังโจวโจวยืนรอให้ลั่วอิงออกมาอยู่นาน แต่เมื่อมองดูเด็กๆ ที่วิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของคุณพ่อคุณแม่ของตัวเองคนแล้วคนเล่า เธอกลับไม่พบลั่วอิงเสียที
ถังโจวโจวเดินเข้าไปในเขตโรงเรียน เธอเดินไปตามทางจนหาห้องเรียนของลั่วอิงเจอ และเมื่อเธอเห็นว่าภายในห้องนั้นมีครูสาวคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดอยู่ ถังโจวโจวก็เอ่ยถามด้วยความวิตกกังวลว่า “สวัสดีค่ะ คุณครู ลั่วอิงยังอยู่ที่โรงเรียนไหมคะ”
“มีคนที่บ้านมารับลั่วอิงไปแล้วนะคะ?” ครูสาวเอ่ยด้วยความงุนงง
ถังโจวโจวใจเต้นรัวเมื่อได้ยินว่ามีคนมารับลั่วอิงไปแล้ว “จะเป็นไปได้ยังไงคะ ฉันเป็นคุณแม่ของเธอ คุณพ่อของเธอก็ยังอยู่ที่บริษัท จะมีคนมารับเธอไปได้ยังไง คุณครูได้เห็นไหมคะว่าคนที่มารับลั่วอิงเป็นใคร”
“ก็เป็นคนที่มีอายุหน่อยนะคะ ฉันได้ยินลั่วอิงเรียกเธอว่าคุณย่า” ครูสาวเล่า
ถังโจวโจวนึกถึงคนที่ลั่วอิงเรียกว่าคุณย่า คุณแม่ลั่วเหรอ ทำไมเธอถึงมารับลั่วอิงไปโดยไม่บอกกันสักคำล่ะ?
เมื่อเอ่ยคำขอบคุณกับคุณครูสาวแล้ว ถังโจวโจวก็ต่อสายไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว แม่นมจ้าวเป็นคนรับสาย “แม่นมจ้าวคะ ลั่วอิงอยู่กับทางนั้นหรือเปล่าคะ”
“อยู่ค่ะๆ เธอกำลังเล่นกับคุณนายอยู่ คุณผู้หญิงมีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมเสียงของคุณผู้หญิงถึงฟังดูกังวลแบบนี้”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นไม่มีอะไรแล้วค่ะ” ถังโจวโจววางสายไป ไฟโกรธของเธอลุกโชนขึ้นมา ถังโจวโจวอยากจะระเบิดอารมณ์มากเมื่อได้รู้ว่าคุณแม่ลั่วมารับลั่วอิงไปโดยไม่ได้บอกกล่าวกัน เพียงแต่ตอนนี้เธอไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเธอไม่มีที่ให้ระบายออก ถังโจวโจวได้แต่กลับบ้านไปด้วยความโกรธ
ลั่วเซ่าเชินกลับมาถึงบ้าน ทีแรกเขานึกว่าพวกเธอสองคนจะรอเขาอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เขาก็เห็นแค่ป้าหลิวเพียงคนเดียว “คุณผู้หญิงกับคุณหนูล่ะ”
“ยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
ลั่วเซ่าเชินตั้งท่าจะโทรหาถังโจวโจว เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนี่ แต่เพียงแค่เขาควักโทรศัพท์ออกมา ถังโจวโจวก็เดินเข้าบ้านมา แต่มีเธอกลับมาแค่คนเดียว
ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าด้านหลังของเธอไม่มีเงาของลั่วอิง “ลั่วอิงล่ะ”
ถังโจวโจวก้มหน้างุดและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “คุณแม่คุณมารับเธอไปค่ะ” ถังโจวโจวโยนกระเป๋าลงบนโซฟา ก่อนจะกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมคุณแม่ถึงมารับไปล่ะ วันนี้คุณต้องไปรับเธอไม่ใช่หรือ” ลั่วเซ่าเชินไม่รู้ว่าคุณแม่ลั่วคิดจะทำอะไรอีก มารับลูกเขาไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ “คุณรออยู่นานเลยใช่ไหม”
“ค่ะ!” ถังโจวโจวยกแก้วน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ เธอดูไม่สบอารมณ์เอามากๆ
“เดี๋ยวผมโทรไปถามให้” ลั่วเซ่าเชินหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่สวนหย่อม
ไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกับคุณแม่ลั่ว แล้วเขาก็กลับมา เขาเพียงแต่บอกกับถังโจวโจวว่า “คุณแม่บอกว่าจะให้ลั่วอิงอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน ท่านบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง”
“แล้วเรื่องที่ท่านมารับลั่วอิงไปอย่างกะทันหันล่ะคะ ไม่มีคำอธิบายสักนิดเลยเหรอ” ถังโจวโจวนึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องมันจะง่ายแบบนี้ คิดจะขับไล่ไสส่งเธอทางอ้อมหรือ?
“คุณแม่ไม่ได้บอก เอาเถอะ คุณอย่าโมโหไปเลย ท่านเป็นผู้ใหญ่ เรากินข้าวกันเถอะ” ลั่วเซ่าเชินเองก็พูดอะไรไม่ออก แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าสิ่งที่คุณแม่ลั่วทำนั้นมันค่อนข้างฉุกละหุก แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรเธอก็คือแม่ของเขา หากมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาก็ไม่อยากมากความ
ถังโจวโจวอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ท้องของเธอก็หิวมาก ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกินข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หลังจากนั้นสองสามวัน เมื่อถังโจวโจวกลับมาถึงบ้าน เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินไปรับลั่วอิงกลับมาแล้ว “แม่โจวโจวขา หนูคิดถึงคุณแม่จังเลยค่ะ”
ถังโจวโจวเบี่ยงตัวจากลั่วอิงอย่างเย็นชา เธอวางของลงและนั่งลงข้างๆ ลั่วเซ่าเชิน ลั่วอิงรีบคว้าชายเสื้อของเธอไว้ เธอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของถังโจวโจวไม่ค่อยสบอารมณ์ และเมื่อเธอส่งสายตามองไปที่ลั่วเซ่าเชิน เขาก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้เช่นกัน เธอจึงได้แต่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้นด้วยความน้อยใจ
ถังโจวโจวไม่สนใจลั่วอิง เธอปล่อยให้ลั่วอิงยืนอยู่อย่างนั้น ลั่วเซ่าเชินมองทางนี้ทีทางนั้นที ก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “โจวโจว ลั่วอิงเธอยังเด็กอยู่ เธออาจจะลืมไป คุณยกโทษให้เธอเถอะนะ”
เมื่อลั่วอิงได้ยินลั่วเซ่าเชินเอ่ยขอร้องแทนเธอ เธอก็มองไปที่ลั่วเซ่าเชินด้วยความซาบซึ้งใจ ตอนนี้เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวยังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา แทนที่จะกอดเธอเหมือนเคย เธอก็รู้แล้วว่าถังโจวโจวไม่พอใจเธอจริงๆ
และเมื่อนึกถึงสาเหตุที่จะทำให้ถังโจวโจวโกรธได้ ลั่วอิงก็คิดออกแต่เรื่องที่คุณแม่ลั่วไปรับเธอที่โรงเรียน ดูเหมือนว่าวันนั้นแม่โจวโจวก็กำลังจะมารับเธอเหมือนกัน “แม่โจวโจวขา หนูรู้ว่าหนูผิดไปแล้ว จู่ๆ คุณย่าก็มารับหนู หนูไม่ได้คิดอะไรมาก หนูก็เลยกลับไปกับคุณย่าค่ะ”
สีหน้าของถังโจวโจวไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเมื่อได้ฟังคำอธิบายของลั่วอิง “แล้วทำไมหลังจากนั้นหนูถึงไม่โทรมาบอกแม่ล่ะคะ”
ลั่วอิงก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด “แม่โจวโจว หนูลืม…”
“เอาน่า ลูกรู้แล้วว่าลูกทำผิด คุณก็อย่าไปบีบคั้นลูกนักเลย” ลั่วเซ่าเชินคอยประนีประนอมให้อยู่ข้างๆ ถังโจวโจวจึงยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
เธอกระซิบที่ข้างหูของลั่วเซ่าเชินว่า “นี่คุณคิดจะทำอะไร ทุกครั้งที่ฉันเล่นบทนางมาร คุณก็จะเล่นบทเทวดางั้นเหรอ”
“แล้วคุณรู้สึกดีเหรอที่เห็นลูกเศร้าน่ะ”
ถังโจวโจวนิ่งเงียบไป ที่ลั่วเซ่าเชินพูดมามันก็ถูก และเมื่อเธอเห็นท่าทางน่าสงสารของลั่วอิง ถังโจวโจวเองก็เจ็บปวดใจ เธอเพียงคิดว่าเธอจะต้องสอนให้ลั่วอิงรู้จักข้อผิดพลาดของตัวเองให้ได้ เพราะถ้ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคตล่ะ จะทำอย่างไร?
ถังโจวโจวโยนปัญหานี้ไปให้ลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นคุณก็คุยกับเธอดีๆ ผมเชื่อว่าลั่วอิงจะเข้าใจความคิดของคุณอย่างแน่นอน”
ลั่วเซ่าเชินยืนขึ้น เขาลูบศีรษะของลั่วอิง ก่อนจะดันแผ่นหลังของเธอเบาๆ “ไปหาแม่โจวโจวไปลูก เดี๋ยวพ่อจะไปดูก่อนว่าป้าหลิวทำกับข้าวเสร็จหรือยัง”
ลั่วอิงไม่ได้ปฏิเสธอะไร เธอมองไปที่ถังโจวโจวอย่างว่าง่ายตามคำพูดของลั่วเซ่าเชิน เธอค่อยๆ เดินเข้าไปหาถังโจวโจวทีละก้าวๆ และปากของเธอก็ขยับพูดเป็นครั้งคราวว่า “แม่โจวโจวขา ครั้งหน้าลั่วอิงจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว…”
จนกระทั่งเธอเดินเข้าไปถึงตัวของถังโจวโจว ลั่วอิงก็ยังไม่เห็นว่าถังโจวโจวจะยอมพูดด้วย แต่นัยน์ตาของถังโจวโจวนั้นอ่อนโยนลงไปมาก
เธอจึงกล้าซบลงไปบนหน้าขาของถังโจวโจวและพูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “แม่โจวโจวขา หนูรู้ว่าหนูไม่ควรลืมโทรบอกคุณแม่ หนูทำให้คุณแม่เป็นห่วง…”
เมื่อมองดูลั่วอิงที่พูดปลอบใจเธอราวกับเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ถังโจวโจวก็ไม่สามารถคงใบหน้าเย็นชาของเธอได้อีกต่อไป สายตาที่เย็นชาของเธอนั้นอ่อนโยนลงไปหลายส่วน ถังโจวโจวลูบสัมผัสผมที่นุ่มสลวยของลั่วอิง จากนั้นเธอก็อธิบายให้ลั่วอิงฟังอย่างใจเย็น
“ลั่วอิง แม่โจวโจวไม่ได้อยากจะตำหนิหนู เพียงแต่ครั้งนี้หนูทำผิดไปจริงๆ ถึงแม้ว่าหนูจะกลับไปกับคุณย่า แต่หนูก็ควรจะบอกคุณครูหรือโทรกลับมาบอกที่บ้านก่อน แบบนี้แม่โจวโจวจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงยังไงล่ะคะ”
“ค่ะ หนูรู้แล้ว” ลั่วอิงค่อยๆ ส่งเสียงสะอื้นออกมา และเมื่อถังโจวโจวเชยคางเธอขึ้น ก็พบว่าดวงตาของเธอนั้นแดงช้ำ เธอพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
ถังโจวโจวลูบใบหน้าเล็กๆ ของเธอ “เอาละค่ะ หนูไม่ต้องเสียใจไปนะ แค่หนูรู้ว่าหนูทำผิดตรงไหน แม่โจวโจวก็ไม่ดุหนูแล้วค่ะ”
“ฮือ… แม่โจวโจวขา หนูนึกว่าคุณแม่ไม่ต้องการหนูแล้วซะอีก!”
จู่ๆ ลั่วอิงก็ร้องไห้จ้าออกมาจนถังโจวโจวสะดุ้งตกใจ เธอรีบเช็ดน้ำตาให้ลั่วอิง “เอาละค่ะๆ ไม่ต้องร้องค่ะ คุณแม่จะไม่ต้องการหนูได้ยังไง วันๆ หนึ่งในหัวสมองน้อยๆ ของหนูคิดอะไรอยู่คะเนี่ย”
ถังโจวโจวคอยเช็ดน้ำตาให้ ส่วนลั่วอิงก็สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา หลังจากเพิ่งร้องไห้เสร็จ เธอก็พยายามไม่ส่งเสียงร้องไห้ออกมาอีก แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ถังโจวโจวอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตักและตบแผ่นหลังของเธอเบาๆ เพื่อให้เธอสงบลง จากนั้นเธอก็ค่อยๆ อธิบายให้ลั่วอิงฟังอย่างละเอียดว่าผลมันจะเป็นอย่างไรหากเธอออกไปไหนมาไหนคนเดียวโดยที่ไม่บอกถังโจวโจว และเพื่อให้ลั่วอิงค่อยๆ เข้าใจว่าถังโจวโจวไม่ได้อยากจะดุเธอ แต่แค่ต้องการให้เธอรู้จักข้อผิดพลาดของเธอเอง
ลั่วอิงกอดคอของถังโจวโจวแน่น “ค่ะ แม่โจวโจว หนูรู้แล้วค่ะ”
เมื่อทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันแล้ว รอยยิ้มก็หวนกลับมาอีกครั้ง และเมื่อลั่วเซ่าเชินเดินออกมาจากห้องครัว เขาก็พบว่าทั้งคู่คืนดีกันแล้ว เขาจึงเผยรอยยิ้มออกมา
ลั่วเซ่าเชินกลับไปที่ห้องหนังสือหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เขาโทรศัพท์หาคุณแม่ลั่วด้วยโทรศัพท์มือถือ พอพูดไปพูดมา ทางด้านของคุณแม่ลั่วก็เกิดโมโหขึ้นมาบ้าง ลั่วเซ่าเชินได้แต่กุมขมับและฟังคำด่าทอของคุณแม่ลั่วที่มีต่อถังโจวโจว
“แม่ครับ เรื่องนี้แม่ทำไม่ถูกนะ แม่มารับลั่วอิงกลับไปบ้าน แต่ทำไมแม่ไม่บอกผมสักคำ แม่ไม่รู้หรือครับว่าผมเป็นห่วง?” ลั่วเซ่าเชินไม่กล้าเอ่ยถึงถังโจวโจว เขาก็เลยต้องอ้างถึงแค่เขาคนเดียว “แม่ครับ ผมไม่ได้โทษแม่นะครับ แต่ถ้าแม่จะทำแบบนี้อีก แม่ช่วยบอกเราก่อนด้วยนะครับ!” ท้ายที่สุดแล้วก็ยังทะเลาะกันก่อนจาก ลั่วเซ่าเชินได้แต่ถอนหายใจออกมาหนักๆ
เมื่อเขากลับมาที่ห้องนอน เขาก็เห็นว่าถังโจวโจวยังไม่หลับ ลั่วเซ่าเชินดูแปลกใจอยู่เล็กน้อย เพราะเขากลัวว่าจะได้เห็นแววตาผิดหวังของถังโจวโจวอีก ลั่วเซ่าเชินตั้งใจกลับมาที่ห้องช้าเป็นพิเศษ เขานึกว่าถังโจวโจวเข้านอนไปแล้ว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา เธอยังคงหันมองมาที่ประตูอยู่
“ทำไมถึงยังไม่นอนอีก”
“ก็รอคุณไงคะ! นี่คุณโทรไปหาคุณแม่คุณอีกแล้วหรือ”
“คุณรู้ได้ยังไง” ลั่วเซ่าเชินมองเธอด้วยความประหลาดใจ เขายังไม่ได้บอกเธอเลยนะ?
“พอดีฉันจะเอากาแฟไปให้คุณที่ห้องหนังสือ ฉันก็เลยได้ยินน่ะค่ะ” ถังโจวโจวได้ยินน้ำเสียงที่เบื่อหน่ายของลั่วเซ่าเชินดังออกมาจากห้องหนังสือ นอกจากนี้เธอก็ยังได้ยินเสียงคำรามของคุณแม่ลั่วรางๆ ด้วย เธอก็เลยรู้ว่าสองแม่ลูกทะเลาะกันเพราะเธออีกแล้ว
“นึกไม่ถึงเลยว่าคุณก็เป็นพวกแอบฟังเหมือนกัน” ลั่วเซ่าเชินไม่ได้สนใจ ได้ยินก็ได้ยิน เขากับคุณแม่ลั่วไม่ได้สาดคำไม่ดีใส่กัน และสิ่งที่คุณแม่ลั่วพูดนั้น ถังโจวโจวก็คงไม่ได้ยินอยู่แล้ว
“ท่านว่ายังไงบ้างคะ” เมื่อถังโจวโจวมองไปที่ลั่วเซ่าเชินและถามคำถามนี้ออกมา ก็ทำให้ลั่วเซ่าเชินตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อก่อนถังโจวโจวไม่เคยถามรายละเอียดลงลึกแบบนี้นี่ วันนี้เกิดอะไรขึ้น?
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ผมแค่บอกท่านว่าต่อไปอย่าทำแบบนี้ จากนั้นท่านก็ด่าผมอีกนิดหน่อย ก่อนจะตัดสายไป” ลั่วเซ่าเชินปกปิดคำพูดรุนแรงของคุณแม่ลั่ว แต่หากถามถึงทัศนคติของคุณแม่ลั่ว พวกเขาสองคนก็รู้กันดีอยู่แล้ว
“อ้อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว คุณก็รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ” ถังโจวโจวรู้ว่าลั่วเซ่าเชินพูดความจริงแค่เพียงครึ่งเดียว แต่เธอก็ไม่อยากจะถามต่อไปให้ตัวเองเศร้ามากกว่าเดิม
“เด็กดี อย่าคิดมากล่ะ” ลั่วเซ่าเชินลูบศีรษะของถังโจวโจวเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ ในขณะที่ถังโจวโจวก็นั่งยอมรับการปลอบโยนของลั่วเซ่าเชินอย่างง่ายดาย
ถังโจวโจวเพียงแค่พูดกับตัวเองในใจ เธอรู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ว่าแม่สามีของเธอคิดกับเธอเช่นไร ทำไมยังจะต้องคิดมากอีก ถังโจวโจว นี่เธอโง่หรือเปล่า?
ดูเหมือนว่าหลังจากที่เธอปลอบใจตัวเองแบบนั้น เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ถังโจวโจวไม่รู้ว่านี่คือผลทางจิตวิทยา หรือว่าเรื่องมันเป็นแบบนั้นจริงๆ