ในตอนบ่าย คนในบริษัทของลั่วเซ่าเชินก็ส่งลูซี่มาเยี่ยมลั่วอิงแทนทุกคน ลูซี่ถือตะกร้าผลไม้และช่อดอกยิปโซมาด้วยช่อหนึ่ง เธอเคาะประตูห้องพักผู้ป่วย
“คุณผู้หญิงคะ ฉันมาเยี่ยมคุณหนูลั่วอิงในนามของพนักงานบริษัททุกคนค่ะ” ลูซี่มอบดอกไม้ให้กับถังโจวโจว ถังโจวโจววางมันไว้ในแจกัน ก่อนจะตั้งมันไว้บนโต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย
ช่อดอกยิปโซช่อนี้ช่วยประดับประดาให้ห้องนี้ได้ไม่น้อย ถังโจวโจวแอบนึกเสียใจ เธอน่าจะซื้อดอกไม้มาวางไว้ที่นี่บ้าง สภาพจิตใจและอารมณ์ของลั่วอิงจะได้ดีขึ้น
“ขอบคุณที่มานะคะ ลูซี่”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ คุณผู้หญิง” ดวงหน้าของลูซี่ค่อยๆ ปรากฏสีแดง ในฐานะเลขาฯ ของลั่วเซ่าเชิน เธอถูกใครต่อใครมองว่าเป็นผู้หญิงแกร่งตลอดเวลา มีเพียงแค่ถังโจวโจวเท่านั้นที่ปฏิบัติกับเธอตามปกติ ราวกับว่าเธอไม่ได้เป็นเลขานุการของท่านผู้อำนวยการแห่งลั่วกรุ๊ป
“ความจริงแล้วฉันควรจะมาที่นี่ตั้งนานแล้ว เพียงแต่วันนี้ท่านผอ. กลับไปจัดการธุระต่างๆ แล้ว ฉันก็เลยมีโอกาสได้มาเยี่ยมคุณหนู แต่ก็แค่พักเดียวค่ะ เดี๋ยวก็ต้องรีบกลับไปแล้ว ฉันหวังว่าคุณผู้หญิงคงจะไม่ถือสา”
ลูซี่เองก็เข้าหาเด็กๆ ไม่ค่อยเป็น นอกจากทักทายลั่วอิงแล้ว เธอก็คุยกับถังโจวโจว
“ถ้าคุณมีธุระก็รีบกลับเถอะค่ะ ลั่วอิงคะ รีบขอบคุณคุณน้าลูซี่เร็ว”
“คุณผู้หญิงคะ จะให้คุณหนูลั่วอิงขอบคุณฉันทำไมคะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย คุณหนู วันนี้ฉันต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ อีกสองสามวันจะมาเยี่ยมใหม่” ลูซี่พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมในยามที่เธอพยายามจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ถึงทำให้ลั่วอิงมีสีหน้าขมขื่นอย่างนั้น ลูซี่จึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ
“ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณผู้หญิง คุณมีอะไรจะฝากถึงท่านผอ. ไหมคะ”
“ไม่มีค่ะ แค่คุณช่วยแบ่งเบางานจากเขา แค่นี้ฉันก็ขอบคุณคุณมากแล้ว” ถังโจวโจวรู้ว่าเธอไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายกับงานของลั่วเซ่าเชินได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่เพียงกึ่งกำชับให้ลูซี่ช่วยงานเขา
“แน่นอนค่ะ ในฐานะที่ฉันเป็นเลขาฯ ของท่านผอ. ฉันจะทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด” พวกเธอโบกมือลากัน และเมื่อเห็นว่าลูซี่ออกไปจากห้องแล้ว ลั่วอิงก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ
“ลั่วอิง เป็นอะไรไปคะ คิดว่าลูซี่จะกินคนหรือไง” ถังโจวโจวเอ่ยถามอย่างติดตลก เมื่อเห็นท่าทางเกินจริงของลั่วอิง
“แม่โจวโจวขา เธอไม่กินคนหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าสีหน้าของเธอดูเย็นชามาก ต่อให้อากาศร้อน หนูก็คงจะสั่นด้วยความเย็นชาของเธอ” ลั่วอิงทำตัวสั่นในขณะที่พูด ถังโจวโจวจึงรู้สึกว่าเธอพูดเกินไป
“ตรงไหนกันคะ ทำไมคุณแม่ไม่เห็นรู้สึกเลย” ถังโจวโจวกลับรู้สึกว่าวันนี้ลูซี่พกรอยยิ้มมาเป็นพิเศษ เธอคงหวั่นใจว่าลั่วอิงจะกลัวเธอ เธอถึงได้ทำแบบนี้ แต่ที่ไหนได้ ลั่วอิงก็ยังคงกลัวเธออยู่นั่นเอง นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี
“แม่โจวโจวคะ บางทีผู้ใหญ่อย่างคุณแม่อาจจะรู้สึกไม่เหมือนกับเด็กๆ อย่างหนู” ลั่วอิงสามารถสรุปได้ดังนี้ นอกเหนือจากนี้ เธอก็ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้ว
ถังโจวโจวพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กไว้อย่างชัดเจน “จ้ะ เจ้าเด็กน้อย นอนกลางวันได้แล้วค่ะ”
“แม่โจวโจวขา หนูยังไม่อยากนอน เราไปเดินเล่นรับแดดกันดีกว่านะคะ หนูนอนอยู่ที่นี่ทั้งวันจนราแทบจะขึ้นตัวหนูหมดแล้ว” หน้าต่างห้องลั่วอิงหันไปทางสวนหย่อมของโรงพยาบาล เธอรู้สึกทนไม่ไหวเมื่อได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวด้านนอก แต่ตัวเธอกลับยังต้องอุดอู้อยู่ในห้อง
ถังโจวโจวเห็นเธอหยิบยกเอาเหตุผลมาอ้าง “เป็นเด็กเป็นเล็ก รู้จักขึ้นราด้วย หนูไปฟังจากใครมาคะ?”
“ไม่ได้ฟังจากใครมาหรอกค่ะ แม่โจวโจวขา เรารีบไปกันเถอะ พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว” ลั่วอิงออดอ้อนและตั้งตารอให้ถังโจวโจวหลุดพูดตกลงออกมา
“เอาละๆ หยุดเขย่าแขนก่อนค่ะ ตัวคุณแม่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงปล่อยมือแล้ว เธอก็รีบเก็บแขนอย่างรวดเร็ว นับวันลั่วอิงกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจมากขึ้น ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการ ถ้าเธอไม่ได้สมใจ เธอก็จะไม่ยอมแพ้!
“แม่โจวโจวขา ไปกันเถอะค่ะ หนูรู้ว่าคุณแม่ก็อยากไป” ลั่วอิงกลัวว่าถังโจวโจวจะโกรธ เธอจึงสงบนิ่งลงแต่โดยดี
หลังจากคุมเชิงกันอยู่นาน ถังโจวโจวก็หลุดยิ้มออกมา “มัวมองอยู่ทำไมคะ รีบลุกขึ้นมาเลย!”
“เย่! แม่โจวโจวใจดีที่สุดเลย” ลั่วอิงโห่ร้อง
บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยนั้นแปรเปลี่ยนไปเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ และเมื่อพวกเธอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ พวกเธอก็ลงไปที่สวนหย่อมด้วยกัน
ถังโจวโจวห่อตัวลั่วอิงเอาไว้หลายชั้น แม้จะมีแสงแดด แต่เธอก็กลัวว่าลั่วอิงจะหนาว เธอเพิ่งจะหายไข้ได้ไม่ทันไร เดี๋ยวจะโดนหวัดเล่นงานเข้าอีก
ใบหน้าของลั่วอิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถังโจวโจวเห็นว่าสายตาของลั่วอิงจับจ้องไปยังกลุ่มเด็กๆ ที่อยู่ทางด้านหนึ่ง “หนูอยากออกมาเล่นไม่ใช่หรือคะ รีบไปสิ”
“แล้วแม่โจวโจวล่ะคะ” ความปรารถนาในแววตาของลั่วอิงไม่สามารถหลอกลวงใครได้ อาจเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เธอมีเงามืดตามตัว หากเป็นยามปกติ เธอก็คงจะออกไปเล่นแล้ว ไม่มัวมามองถังโจวโจวอย่างลังเลใจแบบนี้
“คุณแม่จะรอหนูอยู่ตรงนี้ค่ะ แค่หนูเงยหน้าขึ้นมา หนูก็จะเห็นคุณแม่ตลอด แบบนี้หนูสบายใจแล้วใช่ไหมคะ” ถังโจวโจวรู้ว่าลั่วอิงคิดเช่นไร ในเมื่อสัญญากับเธอแล้วว่าจะพาเธอออกมาเล่น แต่ถ้าเธอกลับรู้สึกมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ แล้วทีนี้จะให้เธอเล่นอย่างสนุกสนานได้อย่างไร
ลั่วอิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แม่โจวโจวต้องอยู่ในสายตาของหนูตลอดเลยนะคะ!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของลั่วอิง ถังโจวโจวก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ ดูเหมือนว่าเธอจะยังลืมเหตุการณ์นั้นไม่ได้จริงๆ! “ค่ะ แม่โจวโจวจำไว้แล้ว รีบไปได้แล้วค่ะ เพื่อนๆ กำลังรอหนูอยู่”
เธอมองดูลั่วอิงที่วิ่งออกไปอย่างมีความสุข ถังโจวโจวเจอม้านั่งที่ตั้งหันหน้าเข้าดวงอาทิตย์ แสงแดดสาดส่องลงมาที่เธอ เธอรู้สึกอบอุ่นไปทั่วตัว และเมื่อเธอได้นั่งพิงหลังสบายๆ แบบนี้ ความง่วงก็เข้ามาเยือน
ในขณะที่เธอกำลังเคลิบเคลิ้มท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ก็มีใครคนหนึ่งมายืนบังแสงแดดของเธอ เดิมทีถังโจวโจวนึกว่าคนคนนั้นแค่เดินผ่านมา แต่ช่วงเวลาที่เขาจะเดินผ่านไปนั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ถังโจวโจวจึงลืมตาขึ้นมอง “เซียวโม่ นายนั่นเอง!”
แต่ทำไมเขาถึงจ้องเธออยู่อย่างนั้นล่ะ เธอไม่ได้ทำเรื่องน่าอายอะไรออกไปใช่ไหม ถังโจวโจวขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลบจากตำแหน่งยืนของเขา แต่น่าเสียดายที่เซียวโม่เหมือนจะตั้งตัวเป็นอริกับเธอ เขาขยับสองก้าว เพื่อมายืนบังอยู่หน้าเธอต่อ
“เซียวโม่ นายคิดจะทำอะไร” ถังโจวโจวเสียงแข็ง กว่าเธอจะมีเวลามานั่งดื่มด่ำกับแสงแดดอันอบอุ่นทั้งที ก็มาถูกเขาบดบังไปเสียหมด นี่เขาเหมือนกับคนโรคจิตไม่มีผิด
แต่มันก็เป็นแค่ความคิดที่อยู่ในใจ แน่นอนว่าเซียวโม่สังเกตเห็นความรำคาญที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของถังโจวโจว เพียงแต่เขามีบางเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในใจ และเมื่อได้เจอถังโจวโจวที่นี่ เขาจึงปรี่เข้ามาหาเธอทันที
“โจวโจว ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เซียวโม่สำรวจมองดูร่างกายของถังโจวโจว เขาไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ แสดงว่าไม่ใช่ถังโจวโจวที่ป่วยหรือบาดเจ็บ
“มันไม่ใช่เรื่องของนาย แล้วสวี่โยวล่ะ?” ดูจากท่าทางของเซียวโม่แล้ว เขาน่าจะพาสวี่โยวมาตรวจร่างกาย แล้วที่เขามายืนบังเธออยู่ตรงนี้โดยทิ้งภรรยาไว้คนเดียว มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?
จู่ๆ ถังโจวโจวก็รู้สึกว่า ยิ่งนานวันเข้า เธอก็ยิ่งไม่อยากคุยกับเซียวโม่แล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดีนัก หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเซียวโม่แล้ว
ในตอนนี้พวกเธออาจจะคุ้นเคยกันมากกว่าคนแปลกหน้า แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนแปลกหน้าสักเท่าไร นี่สวรรค์กำลังเล่นตลกกับเธออยู่หรือเปล่า?
ถังโจวโจวไม่เข้าใจ แต่เธอก็จะไม่โทษใคร ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอก็ได้แต่เดินหน้าต่อไปทีละก้าว ขนาดม้าดียังไม่กลับไปกินหญ้าเก่าเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเธอ!
“เธอพบหมออยู่ กำลังตรวจร่างกายน่ะ” เซียวโม่ตอบไปตามตรง เขาเชื่อว่าแม้ว่าเขาจะพูดความจริงอย่างนี้ แต่ถังโจวโจวก็คงจะไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่าตอนนี้หัวใจของเธอมีแต่ลั่วเซ่าเชินและลั่วอิง ลูกสาวของพวกเขา
บางครั้งเซียวโม่ก็จะมองดูหน้าท้องที่นับวันก็ยิ่งโตขึ้นของสวี่โยว แล้วก็จินตนาการว่า หากคนที่อยู่ข้างกายเขาคือถังโจวโจว หากเด็กที่อยู่ในท้องเป็นลูกของเขากับถังโจวโจว เขาก็แทบไม่ต้องนึกเลยว่าเขาจะมีความสุขมากขนาดไหน เขาจะเฝ้ารอคอยการมาของเด็กคนนี้มากแค่ไหน แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ
ความจริงก็คือถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินจะต้องมีลูกด้วยกัน และเขาก็จะต้องอยู่กับสวี่โยวตลอดไป ภาระและหน้าที่ของเซียวโม่ไม่อาจทำให้เขาถอยได้อีกแล้ว ลูกของเขากับสวี่โยวใกล้จะคลอดแล้ว และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างเขากับถังโจวโจว
ถังโจวโจวรู้สึกว่าเซียวโม่ผิดปกติไป เธอไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้เธอกำลังทะเลาะกับเขาอยู่หรือไม่ “เซียวโม่ เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอพูดอะไรผิดไปหรือ? ถังโจวโจวนึกคำที่เธอเพิ่งจะพูดออกไปเมื่อครู่นี้ มันก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่! นี่มันชักจะแปลกๆ แล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก โจวโจว ถ้าเธออนุญาต ฉันจะขอกอดเธอเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม” เซียวโม่อยากจะทำให้ตอนจบของเขากับถังโจวโจวเป็นตอนจบที่สวยงาม
“ทำไมจู่ๆ ถึงขอแบบนี้ล่ะ” ตอนนี้ถังโจวโจวไม่อยากจะสร้างข้อพิพาทกับเซียวโม่อีกต่อไปแล้ว และเมื่อเซียวโม่เห็นว่าถังโจวโจวเอ่ยคำถามนี้ออกมา เขาก็อยากจะทำเป็นมองไม่เห็นว่าเธอปฏิเสธเขา เขาได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น
“ที่แท้ฉันก็กลายเป็นนักต้มตุ๋นในความคิดของถังโจวโจวไปแล้ว แม้แต่คำขอร้องแค่นี้ เธอก็ให้ฉันไม่ได้”
จู่ๆ ถังโจวโจวก็หงุดหงิด “นายอยากให้ฉันกอดนายเป็นครั้งสุดท้ายไม่ใช่เหรอ ก็มาสิ” เขายืนห่างเธอขนาดนั้น เธอจะกอดเขาได้อย่างไรกันล่ะ
เซียวโม่รู้สึกมึนงงชั่วขณะที่ถูกเซอร์ไพรส์อย่างกะทันหัน เขานึกว่าเขาได้ยินผิดไป “โจวโจว ถ้าเธอไม่อยากทำก็ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้บังคับเธอ”
ถังโจวโจวแทบจะกลอกตาขึ้นฟ้า “นายไม่อยากกอดฉันแล้วใช่ไหม โอเค” เธอเองก็ไม่ได้อยากจะกอดเขานักหรอก เพียงแต่เห็นท่าทางน่าสงสารของเซียวโม่แล้ว เธอก็ทนดูไม่ได้
“ไม่ โจวโจว ฉันแค่ถามเพื่อความแน่ใจ ฉันอยากให้เธอกอดฉัน” เซียวโม่พูดอย่างจริงจัง
ถังโจวโจวอ้าแขนทั้งสองข้าง เซียวโม่ก็โอบกอดเธอไว้แบบเดียวกัน พวกเขาทั้งคู่กลายเป็นภูมิทัศน์อันแสนสวยงามในสวนหย่อมแห่งนี้ ซึ่งภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ตกอยู่ในสายตาของสวี่โยวเช่นกัน
สวี่โยวกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อตรงกลางฝ่ามือ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย เธอเพียงแค่ยืนมองพวกเขาสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น
สวี่โยวรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน ที่แท้เซียวโม่ก็ยังคงลืมเธอไม่ลง ตอนนี้เขาคิดจะกลับไปหาถ่านไฟเก่าอย่างถังโจวโจวแล้วอย่างนั้นหรือ?
ถังโจวโจวอยากจะกอดแค่ครู่เดียว แต่ที่ไหนได้ เซียวโม่กลับกอดเธอแน่นไม่ยอมปล่อย แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจที่ข้างหู เซียวโม่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “โจวโจว ฉันจะไม่มารบกวนเธออีกแล้ว ฉันจะจดจำเรื่องราวของเราเอาไว้ ให้มันฝังอยู่ในใจของฉันตลอดไป”
ราวกับว่าคำพูดของเซียวโม่ร่ายมนตร์สะกดเอาไว้ ถังโจวโจวรับคำเบาๆ ว่า “อืม” มันเป็นเรื่องดีสำหรับเธอที่เซียวโม่สามารถปล่อยวางได้ นับว่าเธอได้ปลดปล่อยเรื่องราวที่มันหนักอกออกไปได้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว