ตอนที่ 180 ฉันชอบที่เป็นหญิงแกร่ง
“อะแฮ่ม ฉันชอบที่เป็นผู้หญิงแกร่ง หากนายยอมลดตำแหน่งให้ฉันจากหัวหน้าเลขา ฉันจะมีความสุขมากกว่านี้” เธอฉีกยิ้มที่มุมปาก ไม่สามารถนิ่งเฉยกับลมหายใจของเขาที่เข้ามาใกล้ เพราะมันทำให้จิตใจเธอเริ่มฟุ้งซ่าน
“แบบนั้นฉันไม่มีความสุขแน่” หลังจากแต่งงานกับเธอ เขาไม่สามารถพาเธอกลับบ้านได้อย่างเปิดเผยเพราะเกินขอบเขตเขา หากไม่ได้อยู่กับเธอตอนทำงานก็ไม่ต่างอะไรกับไม่ได้แต่งงาน?
เป็นเลขาดีที่สุดแล้ว ผลประโยชน์มากมาย วิ่งเข้าวิ่งออกห้องทำงานเขา นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ
อันโหรวพูดอะไรไม่ออก เธอพิงไปที่อกของเขาโดยไม่พูดอะไร ความหมายที่เหมือนแก้วแตก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจิ่งเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน
สู้ไม่ได้ หนีไม่พ้น ไม่มีคนช่วยเหลือเขา เรื่องที่สำคัญตอนนี้คือต้องจดทะเบียนเข้าบ้าน ต่อจากนี้จะกลายเป็นคู่สามีภรรยาเหมือนสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ
ทันทีที่ถึงบ้านหลินจือเซี๋ยว เธอสวมรองเท้าและหยิบเอกสารบัตรประชาชนออกมา
ขณะที่ขับรถมุ่งหน้าไปสำนักกิจการพลเรือนด้วยการจราจรที่ราบรื่น ไม่นานพวกเขาก็ถึงที่สำนักงานกิจการพลเรือน ทั้งคู่จึงลงจากรถ
จิ่งเป่ยเฉินหยุดเดินยืนอยู่ตรงหน้า พลางยื่นมือขวาออกมา เธอยิ้มและควงแขนเขา ทั้งคู่เดินเข้าไปด้านใน “นายจะเสียใจไหม?”
หากจิ่งเป่ยเฉินพูดว่าเสียใจ เธอจะไม่แต่งงานกับเขาทันที เธอไม่อยากแต่งงานสักหน่อย!
“ฉันรอมาตั้งหลายปี ในที่สุดเธอก็จับแขนฉัน ฉันเสียใจที่ห้าปีก่อนในคืนนั้นเผลอหลับจนปล่อยให้เธอหนีไป! หากย้อนเวลากลับไปได้ คืนนั้นฉันจะไม่นอนเด็ดขาด บ้าชะมัด!”
“ไม่ได้ปรึกษากันเลยหรอ? นายคิดดี ๆ ฉันอันโหรวนะ!” เธออยากจะบ้าตายจริงๆ!
จิ่งเป่ยเฉินรีบดึงแขนเธอออก พลางโอบเอวเธอเข้ามากอด และรีบเดินเข้าไปด้านในทันที “เธอพูดไร้สาระเยอะเกินไปแล้ว!”
เธอกลัวว่าถ้าไม่พูดตอนนี้ หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสอีก!
และเขาก็ยืนยันว่าเพราะพูดเรื่องไร้สาระมากเกินไป ไม่ได้เป็นเพราะเดินไวไป?
เธอเดาว่าจิ่งเป่ยเฉินรู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันน่าเวทนา แต่ไม่เคยคิดว่าอีกครึ่งชีวิตหลังจากนี้จะต้องใช้ร่วมกัน
จิ่งเป่ยเฉินรีบกรอกใบทะเบียนสมรสอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาใด ๆ เขาก็ดูสงบนิ่ง แต่เวลานี้เขากลับดูร้อนใจมองเธออย่างใจจดใจจ่อ “เร็วเข้า!”
ทันทีที่ได้ยินเขาพูดอย่างเร่งรีบ มือของเธอหยุดชะงัก เอียงหน้ามองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขา “นายเคยคิดหรือเปล่าว่าเราจะหย่ากันเมื่อไหร่?”
“ทางที่ดีเธอไม่ควรแม้แต่จะคิดถึงเรื่องหย่า!” เขาแทบอยากจะหยิบปากกาจากมือเธอมากรอกเอง
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูโกรธเหมือนระเบิดจะลงของเขา เธอก็ก้มหน้าลง “ฉันแค่ถามดูแค่นั้นเอง ไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้!”
หากไม่จริงจัง ลูกสะใภ้ของแม่คงได้หายไปอีกแน่ ๆ
เธอโยนกระดาษหลังจากที่กรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อย กระดาษบาง ๆ หล่นลงตรงหน้าเขา “จำสิ่งที่นายสัญญากับฉันไว้ด้วย ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ!”
“อืม” เขาหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาดู ลายเซ็นที่ลงชื่อของเธอยังคงดูเรียบร้อยและละเอียดอ่อนเหมือนเดิม
ไม่นานพวกเขาก็จดทะเบียนสมรสเสร็จเรียบร้อย จากนั้นทั้งคู่ก็ไปถ่ายรูปด้วยกัน
เมื่อออกจากสำนักกิจการพลเรือนก็เป็นเวลาสามโมงครึ่งแล้ว
“อยากเก็บเป็นที่ระลึกไหม?” จิ่งเป่ยเฉินยื่นใบทะเบียนสมรสให้เธอ
อันโหรวมองไปที่ใบทะเบียนสมรสด้วยความลังเลเล็กน้อย เขาดูเย่อหยิ่งและดูมีความสุขราวกับว่าเธอได้ตกเป็นของเขาแล้ว
“เป็นเรื่องน่ายินดีนักเหรอ! นายเก็บมันไว้เถอะ ฉันหน่ายจะเก็บไว้” ตอนนี้เธอกำลังสับสนกับบางเรื่อง
“ก็ดี ถ้าเธอทำหาย ฉันก็หน่ายจะไปทำเรื่องใหม่” จิ่งเป่ยเฉินวางใบทะเบียนสมรสไว้ข้างตัวและดึงเธอเข้ามากอด “ไหนบอกฉันหน่อย หยางหยางกับหน่วนหน่วนชอบอะไร? พวกเราไปซื้อของขวัญแล้วค่อยไปรับเด็ก ๆ กันไหม”
“ไม่ได้! ไปโรงเรียนอนุบาลเลย ฉันจะไปคนเดียว นายกลับบริษัทไปก่อนเถอะ” มันเร็วเกินไปที่จะให้เด็ก ๆ รู้ เธอไม่ได้กลับบ้านเลยทั้งคืน กลับมาอีกทีก็แต่งงานแล้ว!
และเขาก็ไม่ได้เข้าบริษัททั้งวันจะไม่มีปัญหาจริงเหรอ?
ทันทีที่เธอเห็นสีหน้าที่ดูนิ่งสงบนั้น เธอก็หัวเราะอย่างอ่อนโยน “ครั้งแรกที่นายเจอหน่วนหน่วนในคืนนั้น ตอนพวกเราเดินกันอยู่แล้วเห็นนายอยู่กับลูซี่ หยางหยางคิดว่านายเป็นคนเจ้าชู้ก็เลยไม่ชอบนาย เพราะฉะนั้นรอให้เจอแบบประทับใจกว่านี้หน่อยดีกว่าไหม?”
อันโหรวแสดงสีหน้าและมองไปที่เขา เขาอดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา โดยเฉพาะตอนที่หยางหยางเรียกเขาว่าลุงนิสัยไม่ดีตอนนั้น
“พวกเราไม่ได้เจอกันแล้วจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ยังไง?” เขามั่นใจว่าไม่ใช่แค่เรื่องนั้น ผู้หญิงมากมายเหล่านั้นมีส่วนทำให้ภาพลักษณ์ที่ดูชาญฉลาดอย่างเขาเสียหาย
“จิ่งเป่ยเฉิน นายฟังหูซ้ายทะลุหูขวาหรือไง! หยางหยางกับหน่วนหน่วนเป็นลูกของนายก็จริง แต่ที่ผ่านมาเป็นฉันที่เลี้ยงดูพวกเขา นายเป็นพ่อช่วยอะไรบ้าง ฉันพูดอะไรก็ทำอย่างนั้น!” เธอแสดงท่าทางที่ไม่พอใจ “ปล่อยฉัน นายทำฉันรำคาญแล้วนะ!”
“แต่งงานกันไม่ถึงสิบนาที เธอว่าฉันน่ารำคาญแล้วเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินนอกจากจะไม่ปล่อยมือออกแล้ว ยังกอดเธอไว้แน่นกว่าเดิม “ฉันไม่ใช่คนมีเหตุผล เธอยังให้เหตุผลโน้มน้าวฉันไม่พอ”
เธอเอียงศีรษะใช้ความคิด ก่อนจะโอบไปที่คอของเขาและเอียงคอมองเขา ดวงตาที่สวยงามมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา “ที่รัก นายอยากฟังฉันพูดไหม?”
จิ่งเป่ยเฉินได้ยินน้ำเสียงที่นุ่มนวลเรียกเขา ‘ที่รัก’ ร่างกายก็ขยับแนบชิดกันมากขึ้น หัวใจของเขาสั่นระรัวและเต้นไม่เป็นจังหวะ
กระทั่งเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดหลังจากนั้น ราวกับว่าตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ
อันโหรวมองเขาอย่างนิ่ง ๆ เธอไม่คิดว่าจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา ตอนนี้ยังอยู่ในรถ แผนความงามของเธอยังได้ผลอยู่หรือเปล่า?
จิ่งเป่ยเฉินยังคงตกตะลึงอยู่ ริมฝีปากอุ่น ๆ ของเธอจูบลงบนปากของเขาและเรียกเขาว่า “ที่รัก……”
ทันทีที่เธอจะลงจากรถ เขาดึงเธอเข้ามากอดจากด้านหลัง เป็นฝ่ายรุกแทน บรรยากาศเย็นในรถเริ่มคลุมเครือมากขึ้น
เธอรู้ดีว่าแค่ส่งจูบคงไม่มีทางจบลงแค่นี้ มือเล็ก ๆ ของเธอดันไปที่หน้าอกของเขาและมองเขาอย่างไม่ชัดเจน “นายลองคิดดู หากโอวหยางลี่รู้ความสัมพันธ์ของนายกับหยางหยางและหน่วนหน่วน พวกเขาต้องสงสัยพวกเราแน่ ๆ แบบนี้เรียกว่าช่วยปิดบังฉันเหรอ? เราตกลงกันแล้ว หลังจากนี้ค่อยหาโอกาสมาเจอกัน”
จิ่งเป่ยเฉินรวบผมของเธอไว้หลังใบหู พลางมองเธออย่างอ่อนโยน และพูดออกมาหนึ่งคำ “โอเค”
แท้จริงแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ เขาไม่มีเส้นตายสำหรับเธอเลยสักนิด
ทันทีที่เธอได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากเขาก็หันหน้าไปมองนอกหน้าต่างทันที บรรยากาศด้านนอกเป็นที่ที่คุ้นเคย เธอรีบหันกลับมา “ถึงโรงเรียนอนุบาลแล้ว ฉันจะไปคนเดียวและจะเรียกรถแท็กซี่กลับ วันนี้ฉันไม่ไปทำงานได้ใช่ไหม?”
”ได้สิ”