ตอนที่ 182 พ่อและลูกสาว
ถ้าหากเธอรู้ว่าความจริงแล้วพวกเขาเป็นพ่อลูกกัน เธอจะดีใจบ้างไหมนะ?
แต่เธอยังคิดไม่ออกเลยว่าจะบอกความจริงกับพวกเขายังไงดี ไม่ว่ายังไงคืนนี้จะต้องมีใครสักคนพูดเรื่องนี้
เมื่อเธอยกมือขึ้นมาลูบที่ผมของลูกสาวเบา ๆ ก่อนจะยิ้มและเอ่ยว่า “แน่นอน ต้องไปสิ!”
เมื่อมาถึงร้านอาหารที่นัดไว้ เธอก็รู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินมีห้องรับรองอยู่ในที่แห่งนี้ เธอจึงเดินไปที่แผนกต้อนรับ แน่นอนว่าเขาได้โทรศัพท์มาเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว เธอพาหยางหยางกับหน่วนหน่วนขึ้นไปที่ชั้นสาม
ภายในห้องรับรองส่วนตัวบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบมาก บนโต๊ะเล็ก ๆ ถูกจัดแจงประดับไปด้วยจานและดอกไม้ ทั้งยังมีกล้วยไม้ตั้งเอาไว้ถึงสองกระถาง กลิ่นหอมจาง ๆ ของมันค่อย ๆ ลอยออกมา บนผนังสีขาวก็แขวนภาพภูเขาและแม่น้ำเอาไว้ ที่ข้างโต๊ะมีฉากกั้นพร้อมกับภาพวาดลายสีน้ำปิดกั้นเอาไว้อยู่ มีทั้งมุมที่ใช้ปิดกั้นสายตาระหว่างประตูทางเดินและโต๊ะอาหาร รสนิยมของจิ่งเป่ยเฉินเรื่องนี้ ดูแล้วสภาพแวดล้อม ๆ ต่างช่างดูเหมาะสมกับเขาจริง ๆ
เธอสั่งอาหาร ระหว่างที่รออาหารมาและรอจิ่งเป่ยเฉินมาถึง หยางหยางที่อยู่ข้าง ๆ เธอก็เงียบไม่พูดสักคำ ส่วนหน่วนหน่วนก็พยายามพูดคุยกับเธออยู่เรื่อย ๆ
กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอมองไปที่โทรศัพท์ก็พบว่าเป็นหลินจือเซี๋ยว หัวใจของเธอเต้นเร็วราวกับถูกไฟลวกจนต้องออกไปข้างนอก
“หยางหยาง หน่วนหน่วน พวกหนูนั่งรอก่อนนะ แม่จ๋าจะออกไปรับโทรศัพท์ พอดีน้าจือเซี๋ยวโทรเข้ามา” เธอยิ้มและลุกขึ้น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์และเดินออกไปข้างนอก
เมื่อปิดประตู เธอก็รับโทรศัพท์ทันที “หลินจือเซี๋ยว เธอยังมีหน้าโทรมาหาฉันอีกนะ!”
“โหรวโหรวจ๋า ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้วจริง ๆ เมื่อคืนตอนที่ฮั่วตงออกไปข้างนอก ฉันก็เข้าไปและรีบออกไปทันที แต่พอได้ยินเสียงของโอวหยางลี่ที่ตามหาเธออยู่ ฉันตกใจกลัวจนโง่มากแน่ ๆ ฉันเดินตามหลังเขาไปเพราะคิดว่าจะได้เจอเธอ แต่แล้วตามหาอยู่ตั้งนานก็ไม่เจอ ฉันเลยคิดว่าเธอต้องกลับบ้านแล้วแน่ ๆ”
เมื่ออันโหรวที่ได้ยินเธอพูดอย่างจริงใจ เธอก็พยายามผ่อนคลายตัวเองลงและพูดต่อ “หลังจากนั้นล่ะ? จิ่งเป่ยเฉินพูดอะไรกับเธอบ้าง หรือเธอบอกอะไรเขาไป? พูดความจริงมานะ!”
“ฉันรอเธอเกือบทั้งคืน พอตอนเช้าก็ได้ยินโทรศัพท์ของบิ๊กบอสที่โทรเข้ามา เห็นบอกว่าเธออยู่กับเขา ให้ฉันไปส่งหยางหยางกับหน่วนหน่วนที่โรงเรียนอนุบาล เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่ว่าโหรวโหรวเมื่อคืนเธอไม่ได้แต่งหน้านะ!” หลินจือเซี๋ยวเริ่มมีปฏิกิริยาหลังจากที่ทราบเรื่องพวกนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือบิ๊กบอสได้เห็นเธอและรู้ตัวตนของเธอแล้ว!
โชคดีที่เธอไม่ใช่เลขาอีกต่อไป ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับบิ๊กบอสทุกวัน เธอแอบช่วยอันโหรวปกปิดมาตลอดแบบนี้ บิ๊กบอสคงไม่มาชำระบัญชีกับเธอหรอกใช่ไหม?
“ฉันไม่ควรฟังเธอเลย ถูกจิ่งเป่ยเฉินพาตัวไปแบบนี้ก็เหมือนกับเอาชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของฉันมาเหยียบย่ำ หลินจือเซี๋ยวเธอคืนชีวิตโสดของฉันมานะ!” เธอหันหน้าเข้าหากำแพงเสมือนว่าตรงกำแพงที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นหลินจือเซี๋ยว ก่อนจะใช้แรงของตนเองทุบไปที่กำแพงอย่างแรง
“นอกเสียจากฉันตายไป ไม่อย่างนั้นชีวิตโสดที่เหลือของเธอก็สิ้นหวังแล้ว” เสียงของจิ่งเป่ยเฉินดังขึ้นมาจากข้าง ๆ หู เธอรีบปิดและเก็บโทรศัพท์ไว้ที่ด้านหลังทันที
“อะ! นายพูดเรื่องอะไร?”
“นั่นใช่เสียงบิ๊กบอสหรือเปล่า?”
“เขารังแกเธออีกแล้วงั้นเหรอ?”
เสียงของหลินจือเซี๋ยวเล็ดลอดออกมา แต่พวกเขาสองคนกลับเพิกเฉย
อันโหรวมองดูมือของเขาที่ถือหมีตัวใหญ่อยู่ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถือรถของเล่น เมื่อเห็นดังนั้นก็แอบตกตะลึงเล็กน้อยและพูดไปว่า “นายซื้อของขวัญพวกนี้มาเหรอ?”
“พวกเขาจะรับสินบนหรือเปล่า?” จิ่งเป่ยเฉินเดินเข้ามาหาเธอ พลางมองไปที่มือขวาของเธอ เมื่อเห็นว่ายังไม่วางสายโทรศัพท์ก็บอกไปว่า “เสี่ยวหยางบอกให้ซื้อของพวกนี้มา!”
“เพราะงั้นตอนนี้นายก็เลยคิดจะปัดความรับผิดชอบล่วงหน้า?” เธอเหลือบมองไปยังหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ ก่อนคิดจะเอ่ยคำพูดตัวเองออกไป เธอกดวางสายของโทรศัพท์หลินจือเซี๋ยวก่อนที่จะตอบคำถามของเขาไปว่า “หน่วนหน่วนไม่จำเป็นต้องติดสินบนเธอหรอก เธอชอบนายจะตาย ส่วนหยางหยางต่อให้นายจะติดสินบนเขา เขาก็ไม่ชอบนายอยู่ดี”
ความประทับใจของเรื่องพวกนี้ไม่สามารถเปลี่ยนได้ง่าย ๆ ถ้ารู้แต่แรกว่าต้องมีวันนี้ เธอคงจะไม่พูดพล่อย ๆ ต่อหน้าหยางหยางอย่างแน่นอน
“เรื่องพวกนี้เธอต้องรับผิดชอบนะ เอาไว้หลังจากนี้ฉันจะคิดบัญชีคืนกับเธอ” จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่เธอ ก่อนจะให้เธอเปิดประตูเข้าไป
ความจริงแล้วเขารู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ของที่อยู่ในมือก็ล้วนเป็นของดี ซึ่งมันก็ไม่น่าจะทำให้เขาเกิดความประหม่าได้เลยด้วยซ้ำ
เธอไม่ได้เปิดประตูโดยทันที ก่อนจะมองเขาด้วยท่าทีที่จริงจังและพูดว่า “ทำไมนายถึงไม่ถามฉันว่าทำไมจู่ ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจแบบนี้?”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าขาว ๆ ของเธอ เขาก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “ถ้าหากเธอสามารถเปลี่ยนใจไปอยู่กับฉันได้ ฉันจะมีความสุขมาก ๆ เลย”
“นายฝันไปเถอะ!” เธอไม่ควรที่จะถามเขาต่อไป ก่อนจะเอื้อมมือไปจับลูกบิดและเปิดประตูเดินเข้าไปด้านใน
เสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านหลังสงบนิ่ง มือของเธอที่ผ่อนคลายในแต่แรกตอนนี้กลับมากำแน่นอย่างอดไม่ได้ เธอรู้สึกว่าตัวเองกังวลมากกว่าจิ่งเป่ยเฉินเสียอีก ถ้าหากหยางหยางกับหน่วนหน่วนถามพวกเขาว่าทำไมก่อนหน้านั้นถึงได้แยกทางกัน เธอเองก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี
“คุณลุงจิ่ง!” หน่วนหน่วนที่นั่งอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินกำลังเข้ามา ใบหน้าที่ราวกับตุ๊กตาตัวน้อยก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มจากก้นบึ้งของหัวใจ
“หน่วนหน่วน” จิ่งเป่ยเฉินพบว่าของในมือนั้นมีปัญหาวุ่นวายจริง ๆ เขาจึงวางของที่อยู่ในมือไว้บนโต๊ะน้ำชาข้าง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหา
เมื่อเขาเดินเข้าไปข้าง ๆ ของหน่วนหน่วนก็ได้ย่อตัวลง ดวงตาสีดำเงยมองขึ้นเล็กน้อยก็เห็นอันหยางที่อยู่ข้าง ๆ เธอ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่เย็นชาแบบนี้คล้ายเขาถึงหกเจ็ดส่วน ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมก่อนหน้านี้อันโหรวถึงไม่ให้พวกเขาได้พบหน้ากัน
“คุณลุงจิ่ง?” อันหยางเองก็เอ่ยออกมาเบา ๆ เช่นกัน
คุณลุงจิ่ง? บอกตามตรงเขาไม่ชอบคำเรียกชื่อแบบนี้เลย เพียงแต่หยางหยางไม่ชอบเขาแบบนี้ อีกทั้งนิสัยที่ดูใจเย็นและเอ่ยวาจาแบบนั้นมันเหมือนกับเขามาก เป็นลูกชายของเขาจริง ๆ นิสัยแบบเดียวกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน
“สวัสดี พบหน้ากันครั้งแรกสินะ” จิ่งเป่ยเฉินยื่นมือไปหาเขาด้วยความรู้สึกประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่คิดจะจับมือกับใครสักคนจนรู้สึกว่าตัวเองนั้นเกิดความประหม่าขึ้นมา นิ้วทั้งห้าสั่นเล็กน้อย ดวงตาสีดำจับจ้องไปที่เขาโดยไม่กะพริบตา
อันโหรวยืนดูปฏิกิริยาของพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าหยางหยางคงไม่ปฏิเสธการจับมือกับเขาแน่ ๆ เขาเป็นสุภาพบุรุษมาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว
ภายใต้การจ้องมองของพวกเขาทั้งสามคน ในที่สุดอันหยางก็ได้ยื่นมือเล็ก ๆ ออกมาจับ ก่อนจะเขย่ามันเบา ๆ จากนั้นก็ได้ดึงมือกลับไป ตอนนี้บริกรได้นำอาหารเข้ามาเสิร์ฟ จิ่งเป่ยเฉินจึงลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ อันโหรว
ทันทีที่เขานั่งลง หน่วนหน่วนก็จ้องมองไปที่พวกเขาทั้งสองคน จู่ ๆ ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “คุณลุงจิ่งกับพี่ชายเหมือนกันจังเลย!”
อันโหรวได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไปเล็กน้อย ขณะนั้นจิ่งเป่ยเฉินก็ขยับเข้ามาใกล้ เขาใช้โอกาสนี้เอนตัวเข้าไปกระซิบกับเธออย่างเบา ๆ
ร่างกายส่วนบนของเขาเกือบจะเอียงไปพิงตัวของเธอ ดวงตาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มก่อนจะกระซิบไปว่า “โหรวโหรว ความจริงหยางหยางไม่ได้ดูเกลียดฉันเหมือนที่เธอพูดเลยนี่”
เขารู้สึกว่าหลังจากนี้พวกเขาจะเป็นครอบครัวที่กลมเกลียวและมีความสุขมากขึ้นอย่างแน่นอน
อันโหรวเอียงหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากแนบชิดไปโดนแก้มเขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่เธอก็ไม่ได้ลืมเรื่องพวกนี้ก่อนจะบอกไปว่า “ฉันยังไม่บอกพวกเขาเลยว่านายเป็นพ่อของพวกเขา นายช่วยให้เวลาฉันหน่อยนะ!”
เธอพูดจบก็ปล่อยแขนของจิ่งเป่ยเฉิน จิ่งเป่ยเฉินจึงนั่งลงแบบปกติทันที เมื่อบริกรนำอาหารเข้ามาเสิร์ฟเรียบร้อยก็เดินออกไป ทันใดนั้นเขาก็ได้หยิบทะเบียนสมรสสีแดงหนึ่งหรือสองใบออกมาจากกระเป๋าที่อยู่ข้างในสูทของเขาและยื่นไปตรงหน้า “หยางหยาง หน่วนหน่วน รู้ไหมว่านี่คืออะไร?”
“จิ่งเป่ยเฉิน!” อันโหรวมองไปยังทะเบียนสมรสที่อยู่ในมือของเขา ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งทันที “นาย….”
ตอนที่เขามาถึง เขาไม่คิดอยากให้ลูก ๆ ของตัวเองเรียกเขาว่าคุณลุงจิ่งหรอกนะ
จิ่งเป่ยเฉินวางทะเบียนสมรสเอาไว้ ก่อนจะจับข้อมือของเธอและเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนขี้อาย เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอพูดเอง”
“จิ่งเป่ยเฉิน ฉันไม่จบกับนายแน่ ๆ!” เธอโกรธก่อนจะนั่งลงไปและแอบคิดว่าถ้าหากมีเวทมนตร์ละก็ เธอจะเสกให้ทะเบียนสมรสพวกนี้หายไปซะ