ตอนที่ 187 ความร่วมมือ
โอวหยางลี่ชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินว่าจิ่งเป่ยเฉินจะร่วมมือกับใครที่ไหน คำพูดของเขาหมายความยังไงกันแน่?
อันโหรววางแก้วกาแฟไว้ตรงหน้าจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปด้านนอก เสียงจิ่งเป่ยเฉินที่ดังมาจากด้านหลัง “ส่งแขกประธานโอวหยางลี่หน่อย!”
“ค่ะ ประธานจิ่ง!” ขณะที่เธอหันกลับมา จิ่งเป่ยเฉินก็เดินผ่านเธอไปทันที
เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาอยู่ในห้องรับรองด้วยกัน อันโหรวผายมือออกไป “ประธานโอวหยางลี่เชิญค่ะ!”
โอวหยางลี่ลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย สายตาเหลือบไปมองเห็นแหวนที่นิ้วของเธอ “เธอแต่งงานแล้วเหรอ?”
“เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันค่ะ” เธอมีหน้าที่ส่งเขากลับไป ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามที่เขาถาม
โอวหยางลี่เมื่อเห็นว่าอันอีหานไม่ตอบคำถามเหล่านี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ภายในห้องทำงาน ณ เวลานี้ ฉีเซิงเทียนรอจิ่งเป่ยเฉินอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาก็พูดด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น “ที่บอกว่าเมื่อวานนายกับอันอีหานไม่เข้าบริษัท หรือว่านายจะไปเดตกันมา?”
“อือ” จิ่งเป่ยเฉินตอบและนั่งลงพร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
อือ? ฉีเซิงเทียนหันมาตบโต๊ะทำงานอย่างตื่นเต้น “หยุดงานไปเดตหนึ่งวัน จิ่งเป่ยเฉินนายโคตรโรแมนติกเลย! ไปที่ไหนกันมา?”
แท้จริงแล้วอยากจะถามว่าเขายังจำอันโหรวที่ทะเลสาบได้หรือไม่?
ไปไล่ตามผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกติดแบบนี้ คนดังเหล่านั้นที่ไล่ตามเขาจะคิดยังไง!
ต้องอกหักหัวใจแตกสลายแน่นอน!
จิ่งเป่ยเฉินจ้องมองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อวานที่ฉันให้จัดการธุระ ทำเสร็จแล้วหรือยัง?”
“ไม่ต้องห่วง! ฉันจัดการทุกอย่างหมดแล้ว!” ฉีเซิงเทียนตบไปที่อกของตนเองเป็นการรับประกัน “แต่ว่าเมื่อก่อนไม่ได้ร่วมมือกับตระกูลฮั่วหรอกเหรอ ทำไมจู่ ๆ ถึงต้องจัดการพวกเขา?”
ในหัวสมองของพวกตระกูลฮั่วตงที่น่าสมเพชนั่น ไม่ช้าก็เร็วต้องปรากฏขึ้น ภายในดวงตาและร่างกายของเขาเริ่มเย็นยะเยือก “แน่นอนว่าเพื่อ…..ผลกำไร”
ฉีเซิงเทียนเข้าใจในทันที แต่เขากลับสนใจเรื่องส่วนตัวของคนตรงหน้ามากกว่า แต่เมื่อดูเหมือนเขาจะไม่ยอมพูดแน่ ๆ
ช่างเถอะ ลืมไอ้หมอนี่ไปเถอะ หรือว่าเขาจำคำพูดอันอีหานไม่ได้?
“ไปละ!” เขาทิ้งประโยคท้ายและเดินจากไปอย่างมีความสุข
อันโหรวกลับมาที่ห้องทำงานหลังจากส่งโอวหยางลี่ ฉีเซิงเทียนก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มลึกลับบนในหน้าอันหล่อเหลาของเขา สายตามองไปทั่วร่างกายของเธอด้วยความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็นมากมาย สีหน้าท่าทางของเขาเริ่มสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ทันที่ฉีเซิงเทียนจะเดินเข้าไป เธอก็ลุกขึ้นมองเขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ผู้จัดการฉีมีธุระอะไรคะ?”
ฉีเซิงเทียนจ้องไปที่นิ้วข้างซ้ายของเธอ “เธอแต่งงานแล้วเหรอ?”
“ผู้จัดการฉีน่าจะทราบดีว่าฉันมีลูกแล้ว ก็ต้องแต่งงานแล้วสิคะ สวมแหวนแต่งงานดูแปลกตาอย่างนั้นเหรอคะ?” เธอตอบอย่างตรงไปตรงมา
ฉีเซิงเทียนเผยสีหน้าที่ผิดหวัง เขาคิดว่าจิ่งเป่ยเฉินซื้อมันซะอีก!
“นี่เธอยังไม่หย่าหรอกเหรอ?” เขาคิดว่าต้องไปตรวจสอบพี่ชายของเขาให้ดีกว่านี้ มีลูกแล้วก็ไม่สนใจ จิ่งเป่ยเฉินยังไงซะก็ไม่ได้มีปัญหาด้านการเงินอยู่แล้ว การเลี้ยงดูเด็กคงไม่ใช่ปัญหา
ประเด็นของคำถามนี้ก็คือถ้าอันอีหานไม่ได้โสด หากถูกสังคมจับได้ขึ้นมา ภาพลักษณ์ของจิ่งเป่ยเฉิน ภาพลักษณ์ของตระกูลจิ่งจะเป็นอย่างไร?
“คนที่แต่งงานแล้วไม่สามารถเป็นเลขาของประธานจิ่งอย่างนั้นเหรอคะ? ผู้จัดการฉีดูสนใจชีวิตส่วนตัวของฉันมากเกินไปหรือเปล่าคะ?” ทำไมตอนเช้าเธอไม่ถอดแหวนแต่งงานออกนะ?
ต้องโทษจิ่งเป่ยเฉิน ซื้อแหวนทำไมกัน!
“ไม่ใช่แบบนั้น งั้นเธอไปทำงานของเธอต่อเถอะ ช่วงนี้คงจะยุ่งมาก ไม่สิ ควรจะยุ่งเอามาก ๆ!” ฉีเซิงเทียนพูดจบก็เดินออกไปทันที แต่ก่อนจะเดินออกไปก็ยังคงมองเธออีกครั้ง
พี่เฉินครั้งนี้ติดกับดักเข้าแล้ว เขาไม่เคยคิดถึงอันโหรวที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน จะเป็นคนที่สวยโดยไม่มีใครเทียบได้ขนาดไหนก็รีบกลับมาช่วยชีวิตพี่เฉินให้รอดพ้นเสียทีเถอะ!
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สงสัยคนที่แต่งงานกับอันอีหานก็คือจิ่งเป่ยเฉิน!
อันโหรวจัดเรียงเอกสารที่จิ่งเป่ยเฉินต้องดู เมื่อนึกถึงคำพูดของฉีเซิงเทียน บริษัทจิ่งไม่ได้ยุ่งอยู่หรอกเหรอ?
ยิ่งเมื่อวานจิ่งเป่ยเฉินไม่ได้เข้าบริษัท วันนี้ก็คงยุ่งมากแน่ ๆ
เธอกอดแฟ้มเอกสารเดินเข้าไปห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉินและวางเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา “ประธานจิ่ง ช่วยเซ็นตรงนี้ด้วยค่ะ”
จิ่งเป่ยเฉินได้ยินเธอเรียกก็หงุดหงิดอยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดีจริง ๆ!
“ฉีเซิงเทียนไปหาเธอ เขาได้พูดอะไรหรือเปล่า?” เขาเงยหน้าขึ้นมามองเธอและหยิบปากกาขึ้นมารอฟังคำตอบจากเธอ
“เขาถามฉันว่าหย่าแล้วหรือยัง ดังนั้นประธานจิ่งได้คิดวันหย่าไว้แล้วหรือยังคะ? ฉันจะได้ตอบเขาได้” เธอไม่ได้ตั้งใจจะต่อต้านฉีเซิงเทียน เธอแค่พูดความจริง
จิ่งเป่ยเฉินเหลือบไปมองแหวนบนนิ้วของเธอ “ตอบเขาไปว่าเธอจะไม่หย่า”
“ได้ค่ะ!” เธอรับปากอย่างมีความสุข
จิ่งเป่ยเฉินก้มลงเซ็นชื่อลงบนเอกสารพร้อมเรียกเธอ “มานี่!”
เธอรีบหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมากอดไว้และเดินถอยหลังไปสองก้าว “ฉันได้ยินมาว่าวันนี้งานยุ่งมาก งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
เธอไม่ได้เดินไปหาเขา เพราะหากไม่ระวังก็อาจถูกเขากลืนกินอยู่ดีได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขากำลังรอใบรับรองอย่างถูกกฎหมายอยู่
จิ่งเป่ยเฉินมองดูเธอเดินออกไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ พร้อมบ่นเบา ๆ “เขาพูดจาไร้สาระเกินไปแล้ว!”
อันโหรวรู้สึกเวียนหัวตลอดทั้งเช้า ฉีเซิงเทียนพูดถูกจริง ๆ
และช่วงเช้ายังเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก เครื่องประดับหยกถูกตรวจสอบว่าเป็นของปลอม หลอกลวงผู้บริโภค ทำให้ความน่าเชื่อถือของตระกูลฮั่วลดลงภายในระยะเวลาอันสั้น
เธอมองเข้าไปที่ห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน คำพูดของฉีเซิงเทียนที่บอกว่ายุ่ง ดูเหมือนว่าตระกูลฮั่วจะถูกตระกูลจิ่งจัดการเข้าแล้ว
ประตูด้านหน้าจู่ ๆ ก็ถูกเปิดออก เธอมองไปก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินยืนอยู่ด้านหน้า “ประธานจิ่ง!”
จิ่งเป่ยเฉินเอื้อมมือไปโอบไหล่ของเธอและยกยิ้มที่มุมปาก “ทำดีมาก รู้ว่าต้องรอกินข้าวพร้อมฉัน”
เขาดูดีใจที่เมื่อเปิดประตูออกมาแล้วเจอเธออยู่ด้านหน้า
“ประธานจิ่ง ที่นี่บริษัทคุณ ช่วยปล่อยฉันด้วยค่ะ!” เธอหันไปมองเขาและใช้มือซ้ายกันไปที่แขนของเขา “ปล่อย!”
“คนทั้งบริษัทเขารู้กันหมดแล้วว่าฉันสนใจเธอ ก็แค่ถูกคนอื่นมองว่าพวกเราเป็นคู่รักที่แต่งงานกันแค่นั้นเอง” จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้ปล่อยเธอแต่อย่างใด “ไปเถอะ! ออกไปกินข้าวกัน”
“ฉันไม่อยากออกไปแบบนี้ เพื่อภาพลักษณ์ของนายและฉัน และความลับเรื่องแต่งงานที่เราตกลงกันแล้ว พวกเราออกไปข้างนอกด้วยกันแบบนี้ ไม่ถือว่าเป็นการสารภาพเหรอ?”
“พวกเราคบกัน” ต้องพูดแบบนี้ เขาปล่อยมือออกจากไหล่ของเธอ “กลางวันนี้อยากกินอะไร?”
“อาหารฝรั่งเศส”
เพราะตอนนี้อันโหรวเป็นหัวหน้าเลขาของเขา ดังนั้นการที่พวกเขาออกไปกินข้าวด้วยกัน คนในบริษัทจิ่งที่เห็นจนชินแล้วจึงไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
แค่ตอนที่เห็นพวกเขาเดินออกไปด้วยกันสองคนอาจมีความรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่ก็เห็นจนชิน หลับรู้สึกสบายตา หากใบหน้าของเธอไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ได้ใส่แว่นกรอบเก่า ทำทรงผมที่ดูเฉิ่ม คงจะดูดีไม่น้อย
ทันทีที่ถึงร้านอาหาร อันโหรวรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เธอรับปากเร็วเกินไปหรือเปล่านะ
เธอมองผู้คนรอบข้างภายในร้านอาหาร “นายจงใจ!”