ตอนที่ 191 เปลี่ยนสีหน้า
ใบหน้าที่เย็นชาของเขาปรากฏขึ้น ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมายังตัวเธอราวกับจะพ่นไฟออกมา “นี่คุณเปลี่ยนสีหน้าเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
“ประธานจิ่ง เวลางานก็ต้องคุยเรื่องงานอยู่แล้ว และไม่ต้องห่วงคืนนี้ฉันจะดูแลคุณและจะรายงานคุณนายจิ่งเอง! เธอรับปากหลังจากที่เรื่องนี้เรียบร้อยจะให้รางวัลฉัน ฉันรอรางวัลจากคุณนายจิ่งอยู่นะคะ!”
ถึงแม้จะรู้ว่าเธอล้อเล่น แต่เขาก็ยังแอบโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อมองไปยังแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป สองมือของเขาก็เผลอกำหมัดแน่นอย่างไม่อาจจะควบคุม
ผู้หญิงคนนี้ คืนนี้เห็นทีคงต้องทำให้รู้จักตัวตนซะบ้าง!
พริบตาเดียวก็ถึงเวลาเลิกงาน อันโหรวกำลังยืนรอเขาอยู่ที่หน้าประตูห้องทำงาน
เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเธอ ใบหน้าของจิ่งเป่ยเฉินก็ดูน่าเกลียดขึ้นมาก เพียงแต่เขาเองก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อคิดถึงคืนนี้ที่เธอต้องอยู่กับเขา
บนชั้นที่สิบห้าของโรงแรมนั่วเทียน ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปในลิฟต์ก็มองเห็นชายหนุ่มทั้งสามคนกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข
“พี่เฉิน พี่มานัดบอดแบบนี้ยังต้องพาเลขามาด้วยงั้นเหรอ? ” หมินลี่ที่เห็นพวกเขาทั้งสองคนเดินออกมาพร้อมกันตะโกนถามพลางหัวเราะเสียงดังลั่น
อันโหรวมองไปที่พวกเขาสามคน ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังจิ่งเป่ยเฉิน “ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกันค่ะ ประธานจิ่งคุณมานัดบอดแบบนี้ยังต้องพาน้องชายของคุณมาด้วยงั้นเหรอ?”
พวกเขากำลังวางแผนเรื่องการนัดบอดแบบกลุ่มหรือยังไง?
“เป็นป้าจิ่งโทรศัพท์ให้พวกเรามาต่างหาก” ถังซั่วยิ้มอย่างนุ่มนวล ดวงตาของเขาเหม่อลอยท่ามกลางพวกเขาสองคน
“ใช่แล้ว! ก็เห็นเขาบอกนัดบอดคนเดียวมันน่าเบื่อ นี่มีตั้งสิบสองคน พวกเราต่างก็เป็นหนุ่มโสด ก็คงต้องเล่นสนุกกันหน่อย!” ฉีเซิงเทียนแบมืออย่างจนปัญญา “ไปกันเถอะ! ต้องมีผู้หญิงดี ๆ สักคนแน่ เกรงว่าครั้งนี้พวกเราคงได้เจอหยกเนื้อหอมที่ชวนให้ผู้อื่นหลงใหลแน่นอน”
พวกเขาทั้งสามคนเดินนำไปข้างหน้า โดยมีจิ่งเป่ยเฉินกับอันโหรวเดินอยู่ด้านหลังอย่างช้า ๆ แต่จู่ ๆ เอวของเธอก็ถูกมือใหญ่ตวัดมาโอบอีกครั้ง ทั้งยังกอดเธอไว้แน่นด้วย
ทางเดินสว่างไสวขนาดนี้ ทั้งยังมีผู้คนเดินเข้าออกเป็นระยะ ๆ จิ่งเป่ยเฉินนี่เป็นบ้าไปแล้วเหรอ?
“นี่นายวางแผนจะกอดฉันไปนัดบอดหรือยังไง?” เสียงแหบแห้งของเธอดังเป็นพิเศษ ช่วงระหว่างทางเดินด้านหน้าที่มีหมินลี่อยู่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองพวกเขาหนึ่งครั้ง
สายตาของเขานั้นมองไปยังมือที่โอบเอวของอันโหรวไว้ ก่อนที่ฝีเท้าจะหยุดลง “พวกคุณสองทำอะไรกัน?”
เสียงของเขาที่ดังและใหญ่ ทำให้ฉีเซิงเทียนและถังซั่วหันมามองที่พวกเขาเช่นกัน วันนี้ฉีเซิงเทียนได้เห็นเรื่องราวเป็นครั้งแรกก็เลยไม่ได้แปลกใจอะไรกับภาพตรงหน้า
และถังซั่วเองที่รู้จักหยางหยางและหน่วนหน่วนอยู่แล้ว เขาก็ไม่รู้สึกแแปลกใจเท่าไรนัก จะมีเพียงแค่หมินลี่ที่มองดูพวกเขาด้วยความงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งยังอ้าปากค้างรอคำตอบจากพวกเขาอยู่
จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองไปที่พวกเขา ก่อนจะเอ่ยคำพูดอย่างแผ่วเบาแต่ดูเย็นชาไปว่า “กล่าวอำนาจอธิปไตย”
“บ้าเอ๊ย!” หมินลี่พูดเสียงดังออกมา บนใบหน้าไม่อาจปกปิดความประหลาดใจเอาไว้ได้เลย
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคุ้นเคยกับเสียงที่ดังของเขาอยู่แล้ว แต่จิ่งเป่ยเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น ส่วนทางด้านอันโหรวก็เอามือของเธอปิดหูเอาไว้ “ประธานจิ่งวันนี้สุขภาพไม่ค่อยดี เดินไม่ค่อยถนัดเท่าไร ฉันเป็นแค่ไม้ค้ำให้เขาก็เท่านั้น!”
“ไม่เห็นจะเข้ากันสักนิด……” หมินลี่ยังไม่ทันพูดอะไรมาก ทันใดนั้นก็ถูกฉีเซิงเทียนเตะเข้าไปที่ขา ก่อนที่เขาจะโมโหขึ้นมา ฉีเซิงเทียนก็หรี่ตามองไปที่เขาและเอ่ยเสียงเบา ๆ ไปว่า “แกอยากตายหรือยังไง?”
“ไม้ค้ำนี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน!” หมินลี่มองพวกเขาด้วยรอยยิ้มและรีบหันหลังกลับเดินไปยังห้องรับรองส่วนตัวทันที
พวกเขาต่างก็เดินเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวที่ค่อนข้างใหญ่โต เมื่อเข้าไปแล้วอันโหรวก็พบว่าพวกเขาจู่ ๆ ก็หลบมาเดินที่ข้างหลัง ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยถามอะไรไป พวกเขาก็เข้าไปที่ห้องข้าง ๆ แล้ว ส่วนจิ่งเป่ยเฉินก็พาเธอเข้าไปข้างใน
ร่างของเธอชิดพิงกำแพง ที่แท้เขาก็หลอกให้เธอเข้ามาข้างในนี่เอง ก่อนจะมองดูมือที่ขยับเข้ามาใกล้ใบหน้า เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “คุณไม่ไปนัดบอดแล้วเหรอ?”
เขายังคงโอบเอวของเธอแน่น ก่อนจะจ้องมองไปที่ดวงตาของเธอ “ดูสามีของคุณไปนัดบอดได้แบบนี้ อันโหรวจิตใจของเธอนี่จะกว้างเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
“อืม ฉันควรจะโกรธไหม จากนั้นก็ไล่ผู้หญิงพวกนั้นไปดีไหม แต่สุดท้ายพวกนายก็จะไม่ได้นัดบอด แบบนี้นายคิดว่ายังไง?” เธอเองก็รู้ว่ามันช่วยไม่ได้ คุณนายจิ่งตั้งใจหาลูกสะใภ้มากขนาดนั้น!
“ถ้าพวกเราไม่ออกไป เดี๋ยวพวกเขาจะมาหาพวกเรานะ!” เธอเตือนเขาด้วยความหวังดี
“ไม่ดี!“ ทันใดนั้นจิ่งเป่ยเฉินก็คลายมือออกจากเอวของเธอ และเปลี่ยนไปจับมือเธอแทน “ไปกินข้าวกัน!”
เมื่อมองไปยังมื้อค่ำใต้แสงเทียน เธอก็พอจะเข้าใจแล้ว จิ่งเป่ยเฉินแต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดเรื่องนัดบอด เพียงแต่พวกเขาสามคนต้องรับมือกับความงดงามของผู้หญิงที่เป็นดาวจรัสฟ้าทั้งสิบสองคนในตำนาน
อันที่จริงเธอก็อยากเห็นเหมือนกัน บางทีเธออาจจะกำลังวางแผน เรื่องแบบนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเธอมากเกินไปจริง ๆ
จิ่งเป่ยเฉินเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของเธอปรากฏขึ้น จู่ ๆ มือที่ถือขวดไวน์ก็ชะงักและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเธอคิดอยากจะไปกินข้าวกับพวกเขามากกว่านะ”
“ไม่ใช่ ฉันแค่คิดว่าอยากจะเห็นพวกกลุ่มดาวจรัสฟ้าผู้หญิงทั้งสิบสองคนนั้น จะได้คิดเตรียมการเอาไว้ หากวันข้างหน้าเจอคุณนายจิ่งอีกจะได้เตรียมคำพูดไว้ถูก” เธอตอบอย่างเสียงอันแหบแห้ง
อันที่จริงเมื่อเผชิญกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้ามันก็ตลกพอดู เขาจึงพูดให้ความร่วมมือไปว่า “เธอวางใจเถอะ เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันจะแต่งงานด้วย อีกอย่างเธอก็ใช้หลานชายหลานสาวไปขู่ไว้ก็ได้ แค่นี้ก็สามารถรับรองเรื่องการเข้าสู่บ้านตระกูลจิ่งได้แล้ว”
“แบบนั้นไม่ได้ หยางหยางกับหน่วนหน่วนเป็นลูกของฉัน พวกนายเป็นตระกูลจิ่งที่ใหญ่โตและเข้าไปถึงก็ยาก ฉันไม่เข้าไปหรอก! นายปล่อยฉันไปดีไหม?” เธอไม่กล้าบอกกับเขาเลยว่าวันนี้คุณนายจิ่งเองก็ได้พูดแบบเดียวกับเขาเหมือนกัน เพียงแต่การเอ่ยคำพูดนั้นล้วนไม่เหมือนกัน
“ถ้างั้นคงต้องบอกกับเธอเลยว่าเสียใจด้วย เนื้อที่เข้าปากของฉันไปแล้วไม่มีทางคายออกได้ง่าย ๆ ในเมื่อเข้ามาแล้วก็จงรออยู่นิ่ง ๆ และเตรียมพร้อมสำหรับวันแต่งงานที่งดงามเถอะ ถ้าเธอไม่ซื่อสัตย์ ฉันก็ไม่ลังเลที่จะไปหานักข่าวและประกาศวันแต่งงานของพวกเราในทันที” เขาส่งแก้วไวน์ที่เทแล้วไปวางไว้ตรงหน้าเธอ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า “ว่าไง?”
“ยินดีด้วย นายชนะอีกแล้ว!” เธอยกแก้วไวน์ขึ้นเพื่อเป็นมารยาท ก่อนที่จะใช้น้ำเสียงปกติเอ่ยไปว่า “ในตอนนั้นที่ฉันจากไป แม่ของฉันไม่ได้ไปด้วย แต่เธอเองก็ไม่ได้ถูกจับ นายพอจะรู้ข่าวคราวเรื่องพวกนี้บ้างไหม?”
แต่เดิมทีเธอไม่ได้คิดวางแผนที่จะบอกเรื่องที่เธอกลับมาทำอะไรให้จิ่งเป่ยเฉินฟัง เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเขาต่างก็เป็นสามีภรรยา แน่นอนถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจอยู่บ้าง แต่ด้วยความสามารถของเขาแล้ว บางอย่างลดทิฐิได้ก็ควรลด
“พรุ่งนี้จะส่งคนไปสืบหาให้” ในปีนั้นเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และตอนนั้นเขาเองก็เพิ่งมารู้หลังจากที่เธอจากไป เมื่อเขาออกตามหาเธอ เธอก็จากไปเสียแล้ว จึงไม่ทันสังเกตเห็นถึงข่าวคราวของแม่เธอ เพราะคิดว่าพวกเธอน่าจะออกไปพร้อม ๆ กัน
“ขอบคุณนะ!” เธอเอ่ยคำขอบคุณที่มาจากใจจริง ด้วยความช่วยเหลือของเขา ไม่แน่ว่าอาจจะได้เจอแม่ของเธอก็เป็นได้
จิ่งเป่ยเฉินจ้องมองไปที่ใบหน้าของเธออย่างจริงจังและพูดขึ้น “เธอจะเกรงใจฉันทำไม ฉันเองยังไม่เห็นต้องเกรงใจเธอเลย”
เธอได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว ก่อนจะเอ่ยปากพูดและเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกครั้ง “ตรงนั้นมันไม่ใช่ปัญหาจริง ๆ สักหน่อย”
“พวกเขาต่างก็เป็นผู้ชาย เธอยังกังวลอีกเหรอว่าพวกเขาจะเสียเปรียบ?”
ผู้ชายไม่ต้องกังวลอย่างนั้นเหรอ? ตรรกะบ้าบออะไรกัน?
เพียงแต่เมื่อได้เห็นเขาทำท่าทางสงบลงแบบนี้ เธอเองก็วางใจจึงไม่สนใจอะไรอีก
และในขณะนั้นเอง ภายในห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาเท่าไรนัก แต่ละคนล้วนมีสาวงามนั่งอยู่ที่ข้างกาย มีทั้งดูสูงส่ง ดูโลลิ ดูไฮ ดูหรูหรา ดูบริสุทธิ์ และดูเร่าร้อน……..
ในสถานการณ์เช่นนี้ ถังซั่วผู้ที่เป็นคนอ่อนโยนแต่แรกซึ่งเหมือนกับหยกที่บริสุทธิ์ยังคงนั่งเงียบ อาหารที่อยู่บนโต๊ะค่อย ๆ ถูกเขาตักเข้าปากทีละนิดละหน่อย มันไม่เหมือนกับการอ้าปากหรือกระทั่งหุบปากเลยสักนิด
ถังซั่วจ้องมองไปยังชิ้นเนื้อของปลาที่สะอาด ก่อนจะถูกคีบเข้าปากและพูดว่า “ออกไปให้หมด!”