ตอนที่ 196 โล่งใจ
“ก็จริง จิ่งเป่ยเฉินยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงเลย เทควันโดสายดำอย่างเขา คิดว่าฮั่วตงเองก็ไม่น่าจะสู้เขาได้หรอก” เมื่อเธอฟังหลินจือเซี๋ยวพูดแบบนี้ก็โล่งใจมากขึ้น ก่อนจะเหยียบคันเร่งและขับรถออกไป
“โหรวโหรว เธอนี่ ฉันชื่นชมเธอจริง ๆ บิ๊กบอสรู้ไหมเนี่ยว่าเธอพูดถึงเขาแบบนั้น?”
“อยู่ต่อหน้าเขา ฉันก็พูดแบบเดียวกัน ตอนที่เธอเลิกงานก็ระวังตัวไว้ด้วย ฉันจะไปรับลูกแล้ว!” เธอพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ทันที ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนอนุบาลสายรุ้ง
เมื่อวานเธอไม่ได้มารับพวกเขา วันนี้ตอนที่เธอเห็นพวกเขา เธอรู้สึกตื่นเต้นกว่าเด็ก ๆ ทั้งสองคนเสียอีก และเมื่อเห็นพวกเขาออกมา ภายในหัวก็คิดถึงเรื่องที่จิ่งเป่ยเฉินพูดเมื่อเช้า เรื่องที่อยากให้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน
ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น
แต่ในฐานะที่เธอเป็นหัวหน้าเลขา ทุก ๆ วันคงดูไม่เหมาะหากต้องออกก่อนเวลา ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าควรหาเลขาให้จิ่งเป่ยเฉินจริง ๆ เสียที
เหมือนเธอจะต้องเป็นการเลขาจริง ๆ เสียแล้ว
ฉีเซิงเทียนที่ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการและก็ทำงานเป็นผู้ช่วยของจิ่งเป่ยเฉินอีกที เขาไม่ใช่ทั้งเลขา ส่วนงานที่เหลือของเธอคล้ายกับอิงหยู่ เธอควรให้จิ่งเป่ยเฉินรับเอาถังซือเถียนมาด้วยดีไหม หรือไม่บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนให้เธอด้วยซ้ำ
“แม่จ๋า!” ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมองไปที่อันโหรวและตะโกนออกมาพร้อมกัน
เธอก้มลงมองหน้าพวกเขาและเอามือพวกเขามากุมไว้ด้วยกัน ก่อนจะพูดว่า “ขอโทษด้วยนะ เมื่อคืนแม่จ๋าติดงานดึก จนเผลอหลับไปที่บริษัท ขอโทษด้วยนะลูกรัก!”
นี่เป็นเรื่องโกหกที่จิ่งเป่ยเฉินบอกให้หลินจือเซี๋ยวรับรู้
“แม่จ๋าต้องระวังตัวด้วยนะ! ช่วงนี้อาจจะเป็นหวัดได้ง่าย” หน่วนหน่วนมองเธออย่างห่วงใย ไม่ได้อยู่ด้วยกันไม่เป็นไร แต่เธอห้ามป่วยเด็ดขาด
“แม่จ๋าจะดูแลตัวเองนะคะ” เธอจูงมือลูก ๆ ทั้งสองออกไป
หลังจากที่ออกมาจากโรงเรียนอนุบาลก็ไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้ออาหารและขนมสำหรับมื้อเย็น ก่อนที่พวกเขาจะแบกของกลับบ้าน
ทันทีที่พวกเขากลับมาถึงบ้าน หลินจือเซี๋ยวก็กลับมาถึงแล้ว เธอรีบเดินเข้ามาหาเด็กน้อยทั้งสองในห้องรับแขก ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องครัวโดยที่ไม่ลืมปิดประตู
หยางหยางที่กำลังกินแอปเปิลมองไปที่ประตูห้องครัวที่ถูกปิด หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“พี่ชาย หนูไม่อยากดูอันนี้แล้ว เปลี่ยนการ์ตูนเรื่องอื่นเถอะ!” จู่ ๆ หน่วนหน่วนก็ร้องตะโกนขึ้นมา เขาจึงรีบหยิบรีโมทโทรทัศน์ขึ้นมาเปลี่ยนช่องให้เธอทันที
หลินจือเซี๋ยวขยับเข้าไปใกล้และมองอันโหรวที่กำลังหั่นผักอยู่ ก่อนจะรีบถามเธอด้วยความสงสัยทันทีว่า “เมื่อคืนแอบไปนอนฝันดีกับจิ่งเป่ยเฉิน?”
“อืม” เธอดื่มไปเยอะ จำภาพหลังจากนั้นไม่ได้อีกเลย
“ฉันรู้ดีว่าที่บอกว่าเธอทำโอทีแบบนั้น หลอกฉันไม่ได้หรอก” หลินจือเซี๋ยวมองหน้าเธออย่างคลุมเครือ “แล้วฮั่วตงสรุปเขาไปหาบิ๊กบอสจริง ๆ แต่บิ๊กบอสกลับทิ้งเขา ไม่ให้เขาเห็นแม้แต่เงา”
“นึกภาพออกเลย” จิ่งเป่ยเฉินไม่มีทางยอมเจอเขาง่าย ๆ หรอก แต่ยังไงพวกเขาก็ต้องเจอกันหลังจากที่เรื่องนี้จบลง
“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลฮั่ว มันเกี่ยวข้องกับเธอหรือเปล่า?” คืนนั้นเธอหาอันโหรวที่เมิงหลี่แต่ก็ไม่เจอ จึงคิดว่าเธออาจจะออกไปแล้ว แต่แล้วก็ได้ยินว่ามีใครบางคนถูกหามออกไป
คนนั้นไม่ใช่โอวหยางลี่ แต่เป็นฮั่วตง
เธอเริ่มหั่นผักช้าลง ทันใดนั้นใบหน้าที่บึ้งตึงของจิ่งเป่ยเฉินก็ปรากฏขึ้น “สมควร”
“บิ๊กบอสแข็งแกร่ง!” หลินจือเซี๋ยวยกนิ้วให้เธอ เธอล้างผลแอปเปิลก่อนจะเดินออกไป
หลังจากที่รับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ เธอก็กล่อมหน่วนหน่วนนอน แต่จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นจิ่งเป่ยเฉิน
“แม่จ๋า ใครโทรมาเหรอ?” หน่วนหน่วนที่นอนอยู่ลุกขึ้นมานั่ง เธอยังไม่รู้จักตัวอักษรมากนักจึงไม่รู้ว่าใคร
“พ่อจ๋าของหนูไงคะ” อันโหรวรับโทรศัพท์และเอาโทรศัพท์แนบหูของเธอ ส่งสายตาบอกใบ้ให้เธอพูด
“โหรวโหรว ฉันคิดถึงเธอ”
“พ่อจ๋า หนูหน่วนหน่วน!”
เพียงแค่ไม่กี่คำ หน่วนหน่วนยังคงตื่นเต้นจึงไม่ได้ยินสิ่งที่จิ่งเป่ยเฉินพูด ใบหน้าเผยรอยยิ้มพลางหัวเราะ
ในตอนนี้จิ่งเป่ยเฉินกำลังยืนอึ้งถือแก้วไวน์อยู่ข้างหน้าต่าง เขาใช้น้ำเสียงออดอ้อนไม่คิดว่าคนที่ฟังจะไม่ใช่เธอ
หน่วนหน่วนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลางมองไปที่อันโหรวด้วยตากลมโต ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ว่า “พ่อจ๋า เมื่อกี้พูดว่าอะไรเหรอคะ หนูได้ยินไม่ชัด พูดอีกทีได้ไหมคะ”
“พ่อจ๋าคิดถึงหนู อยากอยู่กับหนู หน่วนหน่วนอยากมาอยู่กับแด๊ดดี้ไหม?” เขาพูดกับเธอไม่สำเร็จเลยจะมาพูดกับลูกงั้นเหรอ?
หน่วนหน่วนเงยหน้าขึ้นมองอันโหรว ยื่นโทรศัพท์ออกห่างจากปากอย่างระมัดระวังและกระซิบถามว่า “แม่จ๋า แด๊ดดี้ถามว่าอยากไปอยู่ด้วยกันไหม?”
เธอไม่ได้พูดแต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบแทน
หน่วนหน่วนอ้าปากและเอาโทรศัพท์แนบหูอีกครั้ง “แด๊ดดี้อยู่คนเดียวไปเถอะค่ะ!”
จิ่งเป่ยเฉินที่รอคำตอบของเธออย่างใจจดใจจ่อกลับไม่ได้ยินเสียงอันโหรวเลยสักนิด ยิ่งได้ฟังหน่วนหน่วนพูดขึ้นมาเองแบบนี้ มันทำร้ายจิตใจเขาเกินไป
“หน่วนหน่วน แด๊ดดี้มีชุดเจ้าหญิงเยอะเลยนะ พรุ่งนี้จะส่งคนไปส่งชุดเจ้าหญิงให้ชุดใหญ่เลย”
พวกเขาสามคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวแบบนี้ช่างน่าเกลียดสิ้นดี
“หน่วนหน่วนมีชุดเจ้าหญิงเยอะแล้ว!” แม้เธอจะชอบแด๊ดดี้ แต่เธอชอบแม่จ๋ามากกว่า แม่จ๋าบอกไม่ไป เธอก็ไม่ไป
อันโหรวยกนิ้วชื่นชมเธอ ตอบกลับคำล่อลวงของจิ่งเป่ยเฉินได้โดยไม่มีเธอชี้แนะแบบนี้ เก่งมาก ๆ
เขาถือแก้วไวน์ในมือแน่น ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ขอคุยกับแม่จ๋าหน่อย”
“แด๊ดดี้ราตรีสวัสดิ์!” หลังจากนั้นหน่วนหน่วนก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้กับอันโหรวและล้มตัวลงไปนอนต่อ “แม่จ๋าราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
อันโหรวก้มตัวลงจูบที่แก้มของเธอ “ราตรีสวัสดิ์ค่ะลูกรัก”
เธอหยิบโทรศัพท์และปิดไฟ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง แต่แทนที่เธอจะเดินลงไปชั้นล่าง เธอกลับเดินไปคุยโทรศัพท์ต่อที่ระเบียง “ประธานจิ่งมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ฉันอยากได้จูบก่อนนอนบ้าง”
อันโหรวอึ้งไปสักพัก ก่อนจะพูดขึ้น “จุ๊บๆ!”
“อัน โหรว……….” จิ่งเป่ยเฉินเอียงศีรษะพลางดื่มไวน์ในมืออย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนี้ฉลาดที่จะรับมือเขานับครั้งไม่ถ้วน
“ประธานจิ่งยังอยู่ไหมคะ” เธอหัวเราะพลางเอ่ยถาม
เธอเงยหน้ามองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ดาวหลายร้อยดวงกำลังส่องแสงท่ามกลางความมืดกระจัดกระจายไปรอบ ๆ
“จิ่งเป่ยเฉิน!” จู่ ๆ เธอก็ตะโกนเรียกเขา
จิ่งเป่ยเฉินที่กำลังหยิบขวดไวน์ขึ้นมาริน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเธอก็หยุดชะงัก “ฉันยังอยู่”
เสียงของเธอนุ่มนวลแต่ก็ได้ยินอย่างชัดเจน ราวกับกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยิน “นายคิดว่าแม่ของฉันยังจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
“ไม่มีทาง!” เขาตอบแบบไม่คิด “เธอยังมีชีวิตอยู่แน่นอน ต้องมีชีวิตอยู่สบายดีด้วย”
“ขอบคุณนายที่ปลอบฉันนะ หยุดดื่มไวน์แล้วไปนอนได้แล้ว” เธอเตรียมวางสายทันทีที่พูดจบ เธอเลื่อนโทรศัพท์มาอยู่ตรงหน้า เลื่อนหน้าจอขึ้น…หลังจากนั้นก็กดวางสาย
เธอเชื่อว่าแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่
จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน