ตอนที่ 33 การถูกฮุบกิจการ นับว่าผลประโยชน์ที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตแล้ว
อันโหรวเดินเข้ามา และเตือนด้วยความหวังดี “การถูกฮุบกิจการ นับว่าผลประโยชน์ที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตแล้ว”
ผู้จัดการแทบไม่อาจยืนรั้นทนไหวได้ ขาของเขานั้นพลันหมดแรง เดินก้าวถอยหลังไปทีละก้าว
ช่วงเวลานั้น จู่ๆก็มีเสียงของผู้หญิงเจี้ยวจ้าวดังขึ้น “พี่โอวหยาง ที่แท้โรงงานหยกก็มีหน้าตาแบบนี้นี่เอง”
สายตาของอันโหรวพลันกระตุกหนึ่งขั้นมาอย่างรุนแรง พี่โอวหยาง… หัวใจของเธอนั้นพลั่นสั่นไหวขึ้นทันที ก่อนจะหันเหไปยังทิศทางของเสียงผู้หญิงคนนั้นที่อยู่เบื้องหน้า
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ดูคุ้นเคย หัวใจของเธอก็พลันดิ่งจมลงขึ้นทันที
คิดไม่ถึงเลยว่า ห้าปีให้หลัง เธอยังได้พบกับโอวหยางลี่อีกครั้งนึง
อีกทั้งผู้หญิงจับแขนของเขานั้น ก็ไม่ใช่เหลียวเว่ย แต่กลับเป็นผู้หญิงที่ใบหน้าสดใส คำพูดของเธอมันราวกับยังไม่บรรลุนิติภาวะมากเท่าไหร่นัก รู้สึกได้ว่าตัวของเธอนั้นยังเป็นแค่นักเรียนนักศึกษา
“กลุ่มโอวหยางคิดอยากได้สกุลเห่อด้วย?” น้ำเสียงที่เย็นชาของชายดังขึ้น ส่งผลให้อันโหรวได้หันหน้าไปมองดวงตาที่เย็นชาของจิ่งเป่ยเฉินด้วยความรวดเร็ว
ดวงตาที่เย็นชาเช่นนี้แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา แต่มันกลับเย็นเฉียบรามกับคมมีดที่ชุบไปด้วยน้ำแข็ง ที่ราวกับสามารถหั่นเนื้อคนได้ทีละชิ้นทีละชิ้น
โอวหยางลี่สลัดผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะเดินไปที่ข้างหน้า และยิ้มกว้างขวาง และเอ่ยด้วยพูด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นทางการ
“คิดไม่ถึงเลยว่าประธานจิ่งจะมาอยู่ที่นี่ด้วย คงไม่ปิดบังเลยละกัน กลุ่มโอวหยางมีแผนที่จะซื้อกิจการของสกุลเห่ออยู่แล้ว”
“หากเผชิญหน้ากับสกุลจิ่ง กลุ่มโอวหยางจะมีแผนดำเนินยังไงต่อไป?” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความคุกคามถูกเอ่ยขึ้น
ใบหน้าของผู้หญิงที่มาพร้อมกับโอวหยางลี่ นั้นพลันเปลี่ยนไปด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว
เธอก้าวไปข้างหน้าทันที พร้อมกับจับมือของโอวหยางลี่ และเอ่ยออกมาว่า “พี่โอวหยางค่ะ คนนั้นเป็นใครกันเหรอ? เธอดูน่ากลัวจัง หนูกลัว”
โอวหยางลี่ตบไปที่มือเธอเบาๆ และเอ่ยยิ้มอย่างนุ่มนวลว่า “อย่ากลัวไป ฉันกำลังพูดคุยเรื่องธุระอยู่ อีกเดี๋ยวจะไปอยู่กับเธอนะ”
อันโหรวมองไปที่ใบหน้าที่นุ่มนวลและอ่อนโยนของเขา ดูเหมือนว่าเขานั้นจะจำเธอไม่ได้จริงๆ
นอกจากนี้ ยามนี้เธอก็ได้แต่งตัวเป็นสาวขี้เหร่ น้ำเสียงก็แหบแห้ง เขาจะมีหน้ามาจำเธอได้อีกยังงั้นเหรอ?
ห้าปีก็ผ่านไปแล้ว เธอไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องเดินไปให้ไกลกว่านี้
เพียงแต่ว่าตอนนี้…..
อันโหรวที่กำลังกำมือแน่นก็พลันคลายออก ก่อนที่จะคลี่ยิ้มที่มุมปาก และก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างตรงๆ “คุณชายโอวหยาง ไม่ใช่ว่าคุณแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลเหลียวเหรอค่ะ? ทำไมนี่ถึงได้….”
เธอจงใจมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น แม้ว่าเธอจะเอ่ยวาจาที่เหมือนกับสุภาพ แต่ทั่วไปแล้วหากคนอื่นที่ได้ยิน ต่างก็ต้องรับรู้ได้ทันทีว่าคำพูดที่เธอเอ่ยไปนั้นมีการประชดประชันเกิดขึ้น
ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆโอวหยางลี่ ได้ยินสิ่งที่อันโหรวเอ่ยออกมา ใบหน้าของเธอก็พลันเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลงทันที พร้อมเงยศีรษะขึ้นและจดจ้องไปที่ใบหน้าของอันโหรวตรงๆ
“เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย? พี่ชายโอวหยางชอบก็คือฉัน ทำไม? เธอก็แค่ผู้หญิงที่ขี้เหร่ คิดสนใจ อยากอ่อยพี่โอวหยางของฉันยังงั้นเหรอ ถึงได้จงใจใช้คำพูดแบบนี้?”
อันโหรวส่งเสียงหัวเราะออกมาและเอ่ยออกไปว่า “คนที่ตบแต่งภรรยาแล้ว อย่างเธอมันก็เป็นได้แค่หญิงชู้ หญิงชู้ผู้นี้ อา จะว่าไปในสมัยโบราณสตรีที่เป็นหญิงชู้ก็ใช่ว่าจะเป็นแค่นางสนม ไม่สิ ไม่ถึงกับนางสนมด้วยซ้ำ เพราะถึงอย่างไรนางสนมนั้นสามารถอาศัยอยู่ที่บ้านหลักได้ แต่ทว่าหญิงชู้กลับเลี้ยงดูได้แค่ภายนอก เธอว่าจริงหรือเปล่าล่ะ? น้องสาว”
“ยัยแก่ นี่เธอชื่ออะไรกันแน่? คำพูดไม่กี่คำก็ทำให้เด็กวัยรุ่นคนนั้นถึงกับชักนำ ใบหน้าที่แทบแตกละเอียดออกมาได้ แน่นอนคำพูดพวกนี้หากเป็นเธอแต่ก่อนคงไม่กล้าเอ่ยวาจาแบบนั้นออกมาแน่ๆ
อ้ะ ใครพูดว่าเธอเป็นหญิงชู้ล่ะ! โอวหยางลี่กับเหลียวเว่ยแม้ว่าจะแต่งงานกัน แต่ก็แยกกันอยู่ แยกห้องอีกต่างหาก! ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้รักกันด้วยซ้ำ!
จิ่งเป่ยเฉินยกมือขึ้น พร้อมดึงอันโหรว ไว้ที่ข้างหลังของตน
“เธอเป็นพนักงานของสกุลจิ่ง” สิ้นเสียงประโยคเดียวก็เพียงพอที่จะอธิบายถึงสถานะของเธอได้แล้ว
โอวหยางลี่ดึงเหอเหมียวเข้ามา คำพูดแม้ไม่ได้เอ่ยตำหนิอะไร อีกทั้งสายตายังบ่งบอกถึงความอ่อนโยนอีกด้วย
“เหอเหมียว อารมณ์เด็กน้อยอีกแล้วนะ จำที่เคยสัญญากับฉันได้ไหม” ประโยคสุดท้ายที่เอ่ยมาของโอวหยางลี่ก็พพันเปลี่ยนเป็นอารมณ์ที่จริงจังมากขึ้น
เหอเหมียวพลางทำปากอุบอิบมุ่ยไปตามอารมณ์ ทั้งยังมองไปที่อันโหรวด้วยท่าทีที่โกรธเคือง และก็ทำได้แค่กระทืบเท้าไปมาของเธอเท่านั้น “ได้ หนูจำคำพูดของคุณที่ให้ไว้ได้”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันหลังกลับและถอยไป และเฝ้ามองดูโรงงานสกุลเห่อด้วยตาของตัวเอง
โอวหยางลี่ก้าวมาข้างหน้าพร้อมเอ่ยขอโทษ ก่อนจะมองไปที่อันโหรว “ผมต้องขอโทษด้วยที่เธอใช้วาจาไม่ดี หวังว่าคุณจะไม่ถือสาอะไร”
นับได้ว่ามีความสุภาพมากนัก มันราวกับเป็นสุภาพบุรุษที่ดูเรียบร้อย ทั้งยังมีแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนอยู่ภายใต้ดวงตาของเขา
ก่อนหน้านั้น เธอก็เคยหลงใหลในสภาพของเขาเช่นนี้มาก่อน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ สิ่งที่แฝงเอาไว้กับตัวเธอ ก็คือความเย็นชาที่เย็นลึกไปถึงกระดูกดำ
โอวหยางลี่ยืนอยู่ตรงหน้าของอันโหรว เธอคนนี้ไม่ใช่คนรัก ไม่ทั้งเพื่อน เป็นแค่คนแปลกหน้าที่เรียกได้ว่าเป็นศัตรูของเขาเลยก็ว่าได้
จิ่งเป่ยเฉินสังเกตเห็นอันโหรวทุกกิริยาบท และรู้สึกได้ว่ามันแปลกๆ แต่เขาเองก็ไม่ได้ถามอะไรเธอตรงๆ
ทุกคนต่างก็มีอดีตของตัวเอง ไม่แน่ว่าก่อนหน้านั้นผู้หญิงคนนี้กับโอวหยางลี่อาจจะเคยมีอดีตกันก็ได้
เมื่อนึกถึงจุดนี้ จิ่งเป่ยเฉินพลางมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป กับคนที่เคยมีอดีตกับโอวหยางลี่ นอกจากอันโหรวแล้ว จะมีใครได้อีกล่ะ? หรือว่า….?
………………
ตอนที่ 34 ฉันสนใจแต่ผลลัพธ์เท่านั้น
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่เธอด้วยทาที่ที่ค่อนข้างพินิจอะไรบางอย่าง ดวงตาของเขาค่อยๆดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดทันที
นอกจากดวงตาคู่นั้นแล้ว อย่างอื่นก็แทบไม่มีอะไรจะเหมือน หรือเป็นเขาที่คิดมากจนเกินไป?
โอวหยางลี่ละสายตาจากเธอ ก่อนจะมองไปที่จิ่งเป่ยเฉิน และยิ้มกวางและเอ่ยคำพูดออกมา “ตระกูลจิ่งไม่เคยข้องเกี่ยวกับหยก แต่ทำไมครั้งนี้ ถึงได้คิดฮุบกิจการของสกุลเห่อด้วยล่ะ?”
“เป็นเพราะฉันไม่เคยยุ่งมาก่อน แต่ตอนนี้คิดอยากจะยุ่ง จะต้องถามความเห็นชอบจากประธานโอวหยางด้วยยังงั้นเหรอ?”
อันโหรวได้ยินคำพูดของโอวหยางลี่ ก็รู้ได้ทันทีว่าโอวหยางลี่ในยามนี้ได้เป็นผู้นำตระกูลโอวหยางไปเสียแล้ว และยังเป็นทั้งประธานใหญ่ที่สุดในเครืออุตสาหกรรมกลุ่มโอวหยางอีกด้วย
ห้าปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงตัวเขาไปโดยสิ้นเชิง ในยามนั้น เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มที่หุนหันพลันแล่นและดูบ้าบิ่น
เพียงแต่ตอนนี้หลังจากผ่านไม่กี่ปี ดำเนินธุรกิจค้าขายมามากมาย ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่า ทั้งวาจา ท่าทาง แม้แต่การเล่นไม้เล่นมือก็ดูเปลี่ยนไปมากนัก
อันหยางลี่ได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย และเมื่อได้สติกลับมา ก็ปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากและเอ่ยออกไปว่า “กลุ่มโอวหยางได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจของหยกเมื่อห้าปีก่อน และยังคงมุ่งเน้นขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้ห้าปี พวกเราก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำค้าขายหยกชั้นเลิศเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าบริษัทจิ่งจะเป็นเนื้อใหญ่ที่ไม่ชอบเนื้อเล็ก แต่ในด้านเส้นสายนี้ผมก็คงไม่กล้าจะพูดอะไรมาก คงบอกได้เลยว่า มันจะเสี่ยงเกินไปที่ประธานจิ่งจะเข้ามาเล่นแบบเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ด้วย?”
อันโหรวมองไปที่เขา อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ถึงขนาดเปรียบเทียบตระกูลจิ่งว่าเป็นเนื้อพวกนี้ ดูท่าเขาจะมั่นใจค่อนข้างมาก หรือหยิ่งยโสจนเกินไปนะ?
“ต่อหน้าผม ผมไม่สนใจกระบวนการ สนใจแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ประธานโอวหยางมั่นใจมากถึงขนาดนี้ เช่นนั้น พวกเราทำไมไม่มาลองดูผลลัพธ์ไปเลยล่ะ?” จิ่งเป่ยเฉินอดทนไว้ไม่ค่อยได้ จึงเอ่ยไปด้วยท่าทีที่เย็นชาและแฝงไปด้วยนัยน์ตาที่เย็นเยือก จากนั้นก็แทบไม่ได้สนใจคำพูดของโอวหยางลี่อะไรมาก เขาหันหลังและกลับไปตรวจสอบโรงงานต่อ
อันโหรวเองก็เดินตามไปด้วย
เหอเหมียวที่ไม่ได้เอ่ยวาจามาสักประโยคเธอมองเห็นคนสองคนเดินจากไป ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา และเข้าไปจับแขนของโอวหยางลี่พร้อมยิ้มด้วยท่าทางน่ารัก “พี่ชายโอวหยาง คนนั้นไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเทียบเท่าคุณหรอกนะ ในใจของหนูพี่เนี่ยแหล่ะสุดยอดที่สุดแล้ว!”
เสียงหัวเราะที่เหมือนกับกระดิ่ง เมื่อคนได้ยินต่างก็รู้สึกไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก เธอเหมือนกับเด็กสาวที่บริสุทธิ์และสะอาดสะอ้าน ส่งผลให้จิตใจของโอวหยางพลันอ่อนลงทันที
เขายกมือขึ้นมาและบีบไปที่แก้มนุ่มๆของเธอ “ตอนนี้ยังก็ยังทำซุกซนกับพี่อีกนะ ดูท่าคงต้องจัดการหน่อยแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคที่เอ่ยออกมา ใบหน้าของเหอเหมียวก็พลันแดงขึ้น และกอดเขาแน่นมากขึ้น “เกลียดจังเลย รู้ว่าต้องถูกพี่จัดการหนูแบบนี้ ทำไมเมื่อคืนคุณถึงไม่….”
เธอนั้นอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ก็พลันหยุดลงและใบหน้าก็ยังคงแดงก่ำเหมือนเช่นเคย
โอวหยางลี่แตะไปที่ศีรษะของเธอ และเอนตัวเข้าไปกระซิบที่หูของเธอพร้อมเผยรอยยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา “เดี๋ยวพี่จะทำมันเบาๆให้เอง”
ความอ่อนโยนเช่นนี้ถูกคนๆนึงหันหลับแอบกลับมามองโดยอันโหรวที่เธอนั้นบังเอิญหันหลังกลับมา ก่อนที่เธอจะเผยใบหน้าที่แสนเย็นชาปรากฎขึ้น
ในขณะเดียวกัน แขนของเธอก็ถูกจับซะแน่นอีกครั้ง
ดวงตาของชายคนนั้นกลับมืดมิดและลึกล้ำ คำพูดแฝงไปด้วยความลองเชิง “คุณรู้จักโอวหยางลี่ด้วย?”
อันโหรวถึงกับผงะขึ้นทันที ใครจะคิดล่ะว่าเธอแสดงออกไปมากถึงเพียงนั้น
“ไม่รู้จัก แต่ก็รู้เกี่ยวกับเขามาพอสมควร กลุ่มโอวหยางนั้นถือว่าเป็นกลุ่มที่เป็นขนาดใหญ่ ในแวดวงTE ฉันจะต้องเข้าใจถึงพวกที่ส่งออกระหว่างประเทศและภายในประเทศอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งกลุ่ม เครือ สกุล หรือแม้กระทั้งประธานต่างๆด้วยเช่นกัน”
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกนักที่เธอจะรู้ เพียงแต่ผู้หญิงที่ชื่อเหอเหมียวคนนั้นไม่ใช่ภรรยาที่แต่งอย่างถูกต้องของโอวหยางลี่แต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกค่อนข้างแปลก ที่เธอตรวจสอบรายละเอียดเช่นนี้ด้วย เขาเป็นต้องคนแบบไหนกันถึงอยู่ในสายตาของเธอได้
ในช่วงขณะนี้เอง อันโหรวตบไปที่แขนของเขาเบาๆ และเอ่ยออกไปว่า “ประธานจิ่งค่ะ ฉันได้กลิ่นของเหล้า”
จิ่งเป่ยเฉินหลับตาทันที และเริ่มดมกลิ่น ก่อนจะพบว่าในอากาศมีกลิ่นของพวกเครื่องดื่มชนิดมึนเมาอย่างเหล้าอยู่ด้วยล่ะ
สกุลเห่อเป็นผู้ผลิตหยก ทำไมถึงได้มีกลิ่นเหล้าแบบนี้ได้?
“จมูกของฉันค่อนข้างดีมาก และได้กลิ่นเหล้าโดยทันที ฉันสามารถรับรู้ถึงตำแหน่งที่เหล้าพวกเขาวางไว้อยู่ตรงไหนได้อีกด้วย” เธอเอ่ยจบ ก็กะพริบตาบอกเขาเป็นนัยๆว่า พบสถานที่นี้แล้ว แต่ต้องไปสำรวจอย่างลับๆ ไม่ใช่ทางตรง
ไม่แน่ว่าที่แห่งนี้อาจจะมีความลับอะไรอยู่ก็ได้
“ดูท่าวันนี้คงดูได้แค่นี้แหล่ะ” จิ่งเป่ยเฉินตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ก่อนจะเดินกลับไป
อันโหรวสงสัยอย่างต่อเนื่อง ถึงยังเก็บความสงสัยอันนั้นเอาไว้ เพื่อที่จะนำกลับไปตรวจสอบให้มากกว่านี้
รู้ได้แน่ชัดแล้วว่าที่นี้ผลิตหยก แต่ทำไมถึงต้องมีเหล้าอยู่ด้วย? ถ้าหากใส่ส่วมผสมเข้าไปในการทำทองก็พอจะเข้าใจได้อยู่ ทองหยกเป็นการผสมผสานที่ลงตัว!
เพียงแต่เมื่อหัวหน้าสั่งมาแล้วเช่นนี้ เธอเองก็ยังไม่คิดตรวจสอบ จึงทำได้แค่หยุดมือเท่านั้น
ทั้งสองคนเมื่อเดินออกมาที่ด้านนอกประตู ในเวลานั้นเอง เขาก็เห็นรถเฟอร์รารี่สุดหรูที่จอดอยู่ตรงนั้น
รถสปอร์ตที่น่าตื่นตาตื่นใจ ผู้ที่เป็นเจ้าของ คงจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าโอวหยางลี่กำลังยกเหอเหมียววางไว้บนตัก ก่อนจะเอาแขนของเขาสอดเข้าไปในรอบเอวของเธอ และเอามืออีกข้างหนุนหลังศีรษะของเธอเอาไว้ จากนั้นก็จูบกับเขาด้วยท่าทามที่เคลิบเคลิ้มโดยทันที
เมื่อทั้งสองคนจูบกันอย่างดุเดือด มือทั้งสองของโอวหยางลี่ก็ค่อยๆเคลื่อนลงมาแม้กระทั้งเอื้อมไปสอดข้างในเสื้อผ้าของเธอ
ภาพ ณ ตอนนี้เต็มไปด้วยความดุเดือด ที่เผ็ดร้อนมากนัก
Related