บทที่ 59 วันนี้เปิดเผยตัวตนออกมาหรือเปล่า?
ในเวลาบ่ายสามโมง จิ่งเป่ยเฉินพาอันโหรวออกจากบริษัทสกุลจิ่ง ระหว่างทางมานี้เรียกได้ว่าเป็นที่น่าจับตาจนทำให้ผู้อื่นเกิดความอิจฉาขึ้นมา
โดยเฉพาะฉิวซี ดวงตาของเธอนั้นแทบจะถลึงหลุดออกมาโดยทันที
ทำไมผู้หญิงที่แก่และน่าเกลียดอย่างอันอีหานถึงทำให้จิ่งเป่ยเฉินสนใจได้ถึงขนาดนั้นนะ?
จิ่งเป่ยเฉินใช้สายตามองเธอด้วยความสงสัย กับท่าทางปฏิกิริยาท่าทางของเธอ
แต่อันโหรวกลับไม่ได้รู้สึกอายเลยสักนิด เธอพูกคุยสนทนากับคนรอบ ๆ ตัวเธอ แผ่นหลังของเธอตั้งตรง ส่วนรองเท้าก็ใส่ส้นสูงที่งดงามเดินอยู่บนพื้นหินอ่อนทำให้เกิดเสียงที่คมชัด เธอเดินอย่างไม่หวาดหวั่น
อันโหรวนั่งลงแล้วยื่นมือออกไปเพื่อคาดเข็มขัดนิรภัยแต่ถูกจิ่งเป่ยเฉินกระชากออกไป
เขาเอนตัวลงเล็กน้อยลดศีรษะลงและช่วยเธอรัดเข็มขัดนิรภัยให้แทน มันใกล้มาก ใกล้เสียจนกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ของเธอยังลอยติดอยู่ที่จมูกของเขา
“ เรียบร้อย”
จิ่งเป่ยเฉิน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เขาขยับตัวขึ้น ริมฝีปากบางๆของเขานั้นได้ถูกกับใบหูของอันโหรว ซึ่งนั้นมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับถูกไฟฟ้าช็อตขึ้นมาโดยทันที
อันโหรวรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย มือที่อยู่ด้านหลังของเธอปรับเบาะอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ใบหน้าของเธอยังคงเรียบเฉย
แม้กระทั้งตัวของเขาเองยังรู้สึกได้เลย หัวใจของเขานั้นเหมือนกับว่าแทบจะกระโดดออกมาได้โดยทันที
เมื่อรถสตาร์ทขึ้นอันโหรวมองไปยังวิวทิวทัศน์ระหว่างทาง ก่อนจะหันหน้าไปถาม “มัน เร็วเกินไปหรือเปล่า นี่คุณจะพาฉันไปที่ไหน?”
“ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้คุณเอง” จู่ๆใบหน้าของจิ่งเป่ยเฉินที่สวมแว่นกันแดดก็เพิ่มความรู้สึกชั่วร้ายขึ้นมา เขาเร่งคันเร่งอย่างสุดแรง
เขาจอดรถที่หน้าร้านดังชื่อโม่หวน อันโหรวเคยได้ยินมาว่าเป็นร้านดังของควีนราชินีของวงการแฟชั่น ผู้คนที่เข้ามาล้วนเป็นไฮโซคนรวยทั้งนั้น
ในทำนองเดียวกันด้านการบริการที่นี่ก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้เป็นลูกเป็ดขี้เหร่เข้ามาก็สามารถแปลงโฉมกลายเป็นหงส์ขาวได้อย่างน่ามหัศจรรย์
อันโหรวรู้สึกประหลาดใจกับเทคนิคการแต่งหน้าที่เงอะงะต่อวงการแฟชั่น ใช่ว่าจะมองทะลุเข้าใจได้ทันที!
ไม่ได้ เธอเข้าไปไม่ได้!
จิ่งเป่ยเฉินเดินออกจากรถยืนพิงประตูมองเธอที่นั่งนิ่งอยู่ในรถและขมวดคิ้ว: “นี่คุณมัวทำอะไรอยู่ ลงมาจากรถได้แล้ว!”
“ ฉันไม่ชอบแต่งหน้าหน่ะ แค่ใส่ชุดราตรีก็พอแล้ว” อันโหรวปฏิเสธด้วยสีหน้าเย็นชา
“ลงมา!”
อันโหรวรู้ดีว่าการนั่งในรถไม่ใช่ทางที่ดี เมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินดูท่าไม่สบอารมณ์ เธอจึงเปิดประตูและลงจากรถอย่างว่องไว เธอเงยหน้ามองขึ้นไปยังตึกสูงที่อยู่ตรงหน้า เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
จิ่งเป่ยเฉินเดินอ้อมรถมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นฉาและจับมืออันโหรวเดินเข้าไปด้านใน แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังเขาก็ไม่ยอมเข้าไปด้านใน
“นี่คุณคิดกำลังจะทำอะไร” จิ่งเป่ยเฉินที่ดูหัวเสียเม้มริมฝีปากบางของเขาและพูดอย่างเย็นชา “อันอีหานผมขอสั่งให้คุณตามผมเข้ามาเดี๋ยวนี้”
มาถึงประตูหน้าร้านขนาดนี้แล้วจิ่งเป่ยเฉินจะไม่ปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน หรือวันนี้ความลับจะถูกเปิดเผยงั้นหรอ?
ในใจของอันโหร่วนั้นต่อสู้อย่างสับสน ในที่สุดเธอกัดฟันเดินนำจิ่งเป่ยเฉินเข้าไปในร้านก่อน
เธอถอยกลับไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงพุ่งชนไปข้างหน้าอย่างเดียว
การตกแต่งภายในร้าน “โม่หวน” เป็นของการตกแต่งแบบภายนอกไม่ใช่หรูหราอย่างที่ข่าวลือกัน ไม่มีการใช้แสงไฟที่วิบวับตกแต่ง ดูนุ่มนวลและอบอุ่นทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษเมื่อเข้ามา
แสงจากโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่สะท้อนกับชุดราตรีทุกชุดทำให้รู้สึกลึกลับและหรูหราราวกับอยู่ในวัง
อันโหรวไม่ได้สนใจกับบรรยากาศรอบตัวสักนิด แต่เธอรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการแต่งหน้า มันทำให้จิตใจของเธอดูกระสับกระส่าย
ทันทีที่จิ่งเป่ยเฉินเดินเข้ามาชายในชุดสูทก็เดินเข้ามาต้อนรับ ก้มโค้งตัวลงด้วยความเคารพ “ท่านประธานจิ่งเชิญด้านในครับ”
ชายคนนั้นพาจิ่งเป่ยเฉินขึ้นไปที่ชั้นสอง การตกแต่งที่ชั้นสองไม่เหมือนกับชั้นแรก ชั้นนี้ดูลึกลับและหรูหรากว่าอย่างเห็นได้ชัด
จิ่งเป่ยเฉินนั่งลงบนโซฟาระดับไฮเอนด์ เขานั่งไขว่ห้างด้วยแววตาที่เย็นชา “ เรียกควีนราชินีออกมา”
ชายในชุดสูทเป็นเพียงผู้นำแฟชั่นที่นี่ เขาเกาหัวด้วยความลำบากใจ “เรียนท่านประธานจิ่งตามตรง บังเอิญว่าวันนี้ควีนราชินีไม่ได้เข้ามาครับ”
สีหน้าของจิ่งเป่ยเฉินเปลี่ยนในทันที เขากัดริมฝีปากบางๆของเขาโดยไม่โต้ตอบ บรรยากาศหนาวเย็นรอบตัวก็ปรากฏขึ้นทันที
……
บทที่ 60 คุณจะต้องสง่างามที่สุด
ชายในชุดสูทสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว จิ่งเป่ยเฉินมีชื่อเสียงทั้งในแวดวงอำนาจธุรกิจและเขาก็เป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์เช่นกัน ไม่มีใครสามารถทำให้เขาไม่พอใจได้
หัวใจที่บีบแน่นของอันโหรวผ่อนคลายลง เธอยิ้มและพูดว่า: “ไม่เป็นไรคุณแค่เลือกชุดราตรีให้ฉันสักชุดและทำทรงผมง่ายๆก็พอค่ะ”
“ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างลุคที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับคุณผู้หญิงครับ” ชายในชุดสูทรีบตอบกลับอย่างทันที
จิ่งเป่ยเฉินพูดไม่พูดจา แต่เขายังคงมีสีหน้าเข้มขรึม
นักออกแบบแฟชั่นต้องเก่งในการขุดคุ้ยความงามที่ซ่อนอยู่ของบุคคลและใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อเสริมความงามทำให้คนๆนั้นเปล่งแสงพราวพราว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนใน “โม่หวน” มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรบ้าง ชายในชุดสูทแต่งหน้าให้อันโหรวก่อน เป็นอันดับแรกและเมื่อเขาเริ่มแต่งเขาก็พบอะไรที่แปลก ๆ
“คุณผู้หญิง…”
เขาแค่อยากถาม แต่อันโหรวห้ามและเตือนเขาอย่างเยือกเย็น: “เรื่องที่ไม่ควรยุ่งก็อย่ายุ่งทำหน้าที่ของคุณให้ดีก็พอ”
ชายในชุดสูทตกใจกับดวงตาของอันโหรวจนมือของเขาก็สั่นจนไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก
การแต่งหน้าทำผมเปลี่ยนชุดทั้งสามสิ่งนี้ใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งเต็มๆ หนึ่งวินาทีที่จิ่งเป่ยเฉินรอไม่ไหว ม่านก็ถูกเปิดออก คนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าทำเขาแทบจะหยุดหายใจ… …
อันโหรวสวมกระโปรงทรงหางปลาสีน้ำเงินกรมท่า การออกแบบส่วนบนปักด้วยลายดอกบัวเน้นส่วนบนทำให้เธอดูเซ็กซี่ขี้เล่นรัดจนเห็นสระรีระ ขาที่เรียวและขาวของเธอถูกพันไว้อย่างแน่นหนา ชุดราตรีหางปลาเป็นดีไซน์ที่ละเอียดอ่อนที่สุดของชุดทั้งหมด โดยพันไว้ที่ใต้เข่าอย่างแน่นหนาสามเซนติเมตรเผยให้เห็นข้อเท้าที่สง่างามของอันโหรว
“ชุดนี้ดูรัด น่าอึดอัด ดูน่าเกลียดไปหรือเปล่า?” อันโหรวผายมือไปที่หางปลาและมองไปที่ท่าทางที่ตกตะลึงของจิ่งเป่ยเฉิน คิดว่าเธอไม่เหมาะกับชุดนี้
“ คืนนี้คุณจะต้องสง่างามที่สุดแน่นอน!” จิ่งเป่ยเฉินกลับมามีสติและกล่าวชมเชยโดยไม่ปิดบัง
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของอันโหรว ชายในชุดสูทก็ประหลาดใจและพอใจ
“ท่านประธานจิ่งพอใจหรือยังครับ” ชายในชุดสูทยืนน้อบน้อมอยู่ด้านข้าง
จิ่งเป่ยเฉินยิ้มที่มุมปาก หยิบบัตรเครดิตการ์ดออกมาจากกระเป๋าของเขาและยื่นให้ชายในชุดสูท: “เงินที่เหลืออยู่ในการ์ดเป็นค่าทิปสำหรับนาย”
ประโยคนี้ยืนยันการออกแบบเลือกชุดของชายชุดสูทอย่างไม่ต้องสงสัย
อันโหรวยิ้มเล็กน้อยและไม่พูดอะไร ไม่สนใจการจ้องมองของจิ่งเป่ยเฉินที่มีต่อเธอสักนิดก่อนจะเดินออกไป
ครั้งนี้จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้ขับรถเอง แต่เรียกฉีเซิ่งเทียนมาเพื่อให้เขาขับรถแทน
ฉีเซิ่งเทียนมองไปที่ลูกพี่จิ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาอย่างโศกเศร้า ฉีเซิ่งเทียนก็ถือว่าว่าเป็นผู้ชายที่มีหน้ามีตาคนหนึ่ง ไม่คิดว่าจะถูกเรียกมาเป็นคนขับรถให้
เขารู้สึกไม่พอใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา เขาเหลือบมองอันโหรวที่นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะหลังด้วยความตลึงอีกครั้งกับความมหัศจรรย์ของการแต่งหน้า
เมื่อหญิงแก่คนนี้แต่งตัวเธอก็ดูเหมือนกับปกติทุกประการ หากมองข้ามใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอไป ผู้ชายหลายคนจะต้องก้มหัวลงแทบชายกระโปรงทับทิมของอันอีหานอย่างแน่นอน
ในงานเลี้ยงเต้นรำชั้นสูงที่สื่อต่างๆกำลังแย่งกันรายงานเรื่องปากานีก็หยุดลงอย่างช้าๆ ผู้สื่อข่าวที่รออยู่หน้าทางเข้าของสถานที่ เมื่อเห็นรถกำลังมาก็รีบรุมเข้ามา
จิ่งเป่ยเฉินที่นั่งอยู่เบาะหลังมองไปที่ผู้สื่อข่าวที่หลั่งไหลเข้ามาจากประตูรถ ทำให้เขาคิ้วขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สีหน้าแววตาเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง
“ นักข่าวพวกนี้มันบ้าไปแล้วหรือยังไง!” ฉีเซิ่งเทียนขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจหันหน้าไปมองจิ่งเป่ยเฉินที่รู้สึกถึงรังสีอำมหิต“ เดี๋ยวฉันจะช่วยกันไว้ให้ก่อนแล้วนายค่อยพาอันอีหานออกไป”
จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรก่อนจะพยักหน้าให้เขา
ฉีเซิ่งเทียนหายใจเข้าลึก ๆ เขากลัวนักข่าวเหล่านี้มากที่สุด พวกเขาเหล่านี้ดูเหมือนกระหายกินคนโดยไม่คายกระดูกออกมาอยู่ทุกครั้ง แต่ตอนนี้เขาต้องไปเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้
เมื่อเปิดประตูรถ นักข่าวจำมองฉีเซิ่งเทียนด้วยสายตาที่แหลมคมและรีบพูดว่า: ” คุณชายฉี คุณมาที่นี่เพื่อเต้นรำด้วยหรอคะ? ไม่ทราบว่าคู่เต้นรำของคุณครั้งนี้คือสาวสวยคนไหนเหรอคะ?”
“หลีกทางหน่อย วันนี้ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้พาใครมาทั้งนั้นอย่ามาขวางทาง!” ฉีเซิ่งเทียนผลักนักข่าวออกไปอย่างไม่สบอารมณ์และตะโกนออกไป
นักข่าวถูกฉีเซิ่งเทียนผลักออก จิ่งเป่ยเฉินและอันโหรวที่อยู่ด้านหลังก็ลงจากรถ