ตอนที่ 83 เจ็บหน่อยนะ ทนไหวมั้ย
ชายคนนั้นวางแขนไว้ที่เอวของอันโหรว ก่อนจะชำเหลืองสายตาที่เย็นชา และจับจ้องไปยังเหอเหมียวที่ล้มลงไปกับพื้น ริมฝีปากบางๆของเขายกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรออกไปหาเพื่อนของเขา “เซิ่งเทียน ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงงานถลุงเหล็กร้างในย่านชานเมืองทางทิศตะวันตก นายช่วยเอายาบางอย่างของหมินลี่ที่ซื้อมาจากเยอรมันมาให้ทีสิ แล้วก็พาผู้ชายที่ร่างกายกำยำ ดูบึกบึนมาสักสองสามคนที! แล้วก็ ครึ่งชั่วโมงหลัง นายค่อยโทรไปที่เบอร์ของโอวหยางลี่ ให้มันมาที่นี่….ให้มันมาดูอะไรสนุกๆหน่อย”
เมื่อพูดจบ ใบหน้าของเหอเหมียวก็ซีดลงทันที เธอเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังจิ่งเป่ยเฉิน ผู้ชายคนนี้ นี่มันปีศาจชัดๆ!
เมื่อเธอได้สติกลับมา ก็ตะโกนด่าใส่ไปยังสองพี่น้องตระกูลหลี่ด้วยท่าทางที่โมโห “ยังทำบ้าอะไรอยู่อีก ยังไม่รีบเข้ามาช่วยฉันอีกนะ รีบจัดการผู้ชายคนนี้ไปเลย ส่วนเงินอยากได้เท่าไหร่ก็เอาไปให้หมด!”
หลี่ฮ่าวที่ตอนนี้หายใจอยู่รอมร่อ ใบหน้าของเขานั้นโชกโชนเต็มไปด้วยเลือด นอนอยู่บนพื้นหายใจด้วยท่าทีที่อ่อนแรง ทางด้านตัวของหลี่เหวินเองนั้นก็อ่อนแอ จะให้ตัวเองเป็นคู่ต่อสู้กับจิ่งเป่ยเฉินได้อย่างไรล่ะ? เพียงแค่ถูกจิ่งเป่ยมองด้วยหางตา ขาก็อ่อนไปหมดเสียแล้ว
ตอนนี้ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถช่วยเหอเหมียวได้เลย!
อันโหรวที่ตอนนี้มีอาการบาดเจ็บที่เท้า เธอรีบคลายมือของจิ่งเป่ยเฉินออกจากเอว ก่อนจะเดินกะเผลกไปอย่างช้าๆ เพื่อทิ้งระยะห่างจากจิ่งเป่ยเฉินสักเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะไม่ขยับไหวติงใดๆ
“มานี่!” จิ่งเป่ยเฉินมองดูอันอีหานขยับออกไปเมื่อครู่ ดวงตาของเขาก็กลับมืดครึ้มลงชั่วขณะ ก่อนจะจับเธอกลับไปยังด้านข้างเช่นเดิม และใช้มือข้างเดียวกดไปที่เอวของเธอด้วยแรงนิดหน่อย เพื่อหวังที่จะโอบตัวเธอเอาไว้ “นี่คุณเกลียดผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงไม่อยากจะให้ผมสัมผัสแม้แต่น้อยเลยสินะ?”
ใบหน้าของอันโหรวที่ตอนนี้กลับซีดขาวลงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หน้าผากของเธอในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ ที่ซึมออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของจิ่งเป่ยเฉิน เธอก็ส่ายหัวด้วยท่าทีที่จริงจัง “ฉันไม่เคยบอกสักคำว่าเกลียดคุณนะ”
เธอก็แค่รู้สึกไม่คุ้นชินและไม่สบายใจเท่านั้นเอง
แต่นี่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า ตั้งแต่ที่เขาได้ปรากฎตัวขึ้น ตัวของเธอนั้นก็กลับมีความสุข เกิดความรู้สึกอยากจะพึ่งพิงในตัวเขา
แต่ตัวของเธอเองก็หวั่นใจ กลัวว่าตัวเองจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้
สีหน้าของจิ่งเป่ยเฉินค่อย ๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้า ๆ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นอะไรผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวของอันโหรว เขาก็ค่อย ๆ ย่อตัวลงมา ก่อนจะเอามือไปจับที่ข้อเท้าของอันโหรว เพื่อดูอาการบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าของเธอ
“ประธานจิ่ง ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ ค่ะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก!” อันโหรวงอเท้าขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เขาเห็นรอยแผล แต่ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงสายตาของจิ่งเป่ยเฉินที่เปรียบดั่งคมมีดได้ เพราะสายตาของเขานั้นได้เห็นถึงรอยแผล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผลจากการวิ่งเท้าเปล่าเป็นเวลานาน แน่นอนว่าเท้าของอันโหรวต้องเกิดรอยแผลขึ้นมาบ้าง ผิวหนังที่เท้าของเธอ ในตอนนี้กลับถลอก ลอกเผยให้เห็นเลือดที่ซึมออกมาปนกับเศษดินโคลนอยู่เล็กน้อย
ไม่แปลกใจที่ทำไมตัวเธอถึงได้เจ็บเช่นนี้
ดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินตอนนี้กลับเย็นยะเยือกขึ้น เขาไม่ทันเอ่ยพูดอะไรมาก ก่อนจะกอดคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างแน่น และพูดขึ้นมา “เจ็บขนาดนี้แล้ว ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกนะ?”
“ประธานจิ่งค่ะ ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันยังเดินไหวอยู่” อันโหรวขมวดคิ้ว คิดจะหลบเลี่ยงกอดของเขา
แต่มือที่จับเอวของเธอก็กลับแน่นขึ้น จิ่งเป่ยเฉินกอดรัดไปยังเนื้อนุ่มๆตรงเอว และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไป “ถึงหัวใจเธอจะทำมาจากเหล็ก แต่ร่างกายของเธอมันไม่ได้ทำมาจากเหล็กนะ!”
อันโหรวที่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะดิ้นรนแค่ไหน ก็ถูกชายคนนี้อุ้มขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิงเดินไปส่งที่รถ
ตอนนี้เธอถูกจิ่งเป่ยเฉินตัดสินไปเสียแล้ว จิ่งเป่ยเฉินที่อุ้มตัวของอันโหรวมาวางไว้ที่รถ เขาก็ค่อยๆนั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง และจับไปที่ข้อเท้าข้างที่เธอเจ็บมาวางไว้บนเข่าอีกข้างหนึ่ง เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะพูดว่า “เจ็บหน่อยนะ ทนไหวมั้ย”
ตอนนี้มือของประธานจิ่งได้หยิบแอลกฮอล์สำหรับการปฐมพยาบาลที่อยู่ในรถมาใช้ ซึ่งการกระทำของเขาในตอนนี้ยิ่งรู้สึกประหม่าเสียกว่าตัวของเธอเองเสียอีก
อันโหรวกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และหลับตาลงด้วยความหวาดกลัว
“อ๊า…..” ไม่ว่าเธอจะเข้มแข็งถึงขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจทนฝืนความรู้สึกที่เจ็บปวดได้
จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่ต่าง เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า ก่อนจะรีบล้างแผลให้เธออย่างรวดเร็ว ด้วยท่าทีที่นุ่มนวล
เดี๋ยวต้องรีบกลับไปหน่อยแล้ว แค่การทำแผลง่ายๆ มันช่วยอะไรไม่ได้หรอก ถ้าขืนปล่อยไว้นานเกรงว่าแผลจะติดเชื้อเอาได้
บรืน บรืน บรืน
รถของฉีเซิ่งเทียนได้แล่นเข้ามา ตั้งแต่ที่เขารับโทรศัพท์ของจิ่งเป่ยเฉิน ก็รีบขับรถมาที่นี้ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะพาหมินลี่และผู้ชายที่บึกบันมาสองสามคน จะว่าไปแล้ว ชายที่บึกบันพวกนี้ก็แอบมีกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์อยู่
ตอนนี้เหอเหมียวกำลังหดตัวอยู่ข้างกำแพง ด้วยท่าที่สั่นเทา เมื่อเห็นคนจำนวนมากมากันขนาดนี้ ใบหน้าของเธอก็ซีดขาวเหมือนกับกระดาษหนึ่งแผ่น
หมิ่นลี่ถือกล่องใบหนึ่งเดินเข้ามา มันดูคล้ายกับว่าของสมบัติล้ำค่าที่คิดอยากจะโชว์โอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจ “อยากได้ของยังงั้นเหรอ เจ้านี่น่ะเป็นยาชนิดที่โคตรจะพิเศษเชียวนะ อยากจะไปเล่นกับใครดีล่ะ?”
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ผู้หญิงที่นั่งร้องไห้อยู่บนพื้นด้วยท่าทีที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เอายาไปให้ผู้หญิงคนนั้นกินซะ”
เขาชี้ไปที่เหอเหมียวที่ตอนนี้กำลังตัวสั่นเทาเหมือนลูกนกที่พึ่งเกิด ก่อนจะเผยท่าทีที่มีอารมณ์อย่างประหลาดใจ
เมื่อหมิ่นลี่เห็นเหอเหมียว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ก่อนจะรีบจัดการด้วยตัวเองทันที
……………..
ตอนที่ 84 ประธานจิ่ง ช่วยอยู่ห่างๆฉันด้วยค่ะ
ฉีเซิ่งเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่น้องตระกูลหลี่ก็ถูกจัดการไปเสียแล้ว ก่อนจะหันหลังเดินมายังจิ่งเป่ยเฉิน มือสองข้างของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างไม่เกรงใจ และเอ่ยไปว่า “วันนี้ที่นายมีท่าทีร้อนรนแบบนี้ ดูท่าคงทำเพื่ออันอีหานยังงั้นสินะ?”
ด้วยท่าทีที่เพิกเฉย จิ่งเป่ยเฉินดูท่าจะปกป้องหญิงแก่ที่ดูน่าเกลียดคนนี้เกินไปหน่อยนะ เขาทั้งพยายามปกป้องด้วยท่าทีแบบนั้น มันเห็นแล้วก็รู้สึกดูน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าเห็นหนังผี
เนื่องจากห้าปีก่อนหน้านั้นอันโหรวจากไปและไม่เคยหวนกลับ พี่ชายของตัวเองก็กลายเป็นคนที่ผิดปกติขึ้นมา ฉีเซิ่งเทียนเองก็ไม่ได้คิดเลยว่า งานอดิเรกของจิ่งเป่ยเฉินผู้นี้ จะชื่นชอบสาววัยกลางคนแบบนี้เสียได้ ทั้งยังเป็นแม่ม่ายเสียอีกด้วย
“เรียกได้ว่ามีอะไรผิดปกติจริงๆ ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้กลับพลาดท่าเสียได้!” ฉีเซิ่งเทียนส่ายหัวไปมาด้วยท่าทีที่เสียดาย เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจขึ้นมาทันที
หมินลี่ที่ตอนนี้จัดการธุระเสร็จเรียบร้อย เขาวางขวดยาที่ว่างเปล่าเก็บลงไปในกล่อง ก่อนจะชำเลืองมองไปยังเหอเหมียวที่ตอนนี้ใบหน้ากลับแดงก่ำ บางทีฤทธิ์ยาน่าจะเริ่มออกฤทธิ์บ้างแล้ว
เขาถือกล่องกลับไปยังข้าง ๆ ฉีเซิ่งเทียน ดวงตาทั้งสองคนมองและสบตากัน ฉีเซิ่งเทียนก็รับรู้ถึงความหมายทันที เขายกมือขึ้นสองข้าง ก่อนจะตบมือไปสองครั้ง จากนั้นขอทานทั้งสามก็ถูกมือขึ้นและยิ้มเยาะอย่างชั่วร้ายออกมา
“เล่นให้สนุกไปเลย!” ฉีเซิ่งเทียนหยิบบุหรี่ออกจากซอง ก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นมาและคาบไว้ที่ปาก และโยนกองเงินที่อยู่ในมือของเขาไปตรงหน้า
พวกเขาทั้งสามคนต่างก็รับคำสั่ง และรีบตรงมุ่งหน้าไปที่เหอเหมียวด้วยท่าทีที่ดุดัน
ฤทธิ์ยาค่อยๆออกฤทธิ์อย่างช้าๆ สติสัมปชัญญะของเหอเหมียวยังไม่ทันจางหายไป เมื่อเห็นพวกขอทานทั้งสามคนที่กำลังเข้ามาใกล้ตัวเธอ เธอก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่หวาดกลัว แม้ในใจอยากจะวิ่งหนี แต่ก็ถูกขวางไว้เสียได้
เมื่ออยู่ในระยะประชิด แนบชิดเสียจนตัวเธอไม่อาจหลบหนี กลิ่นตัวที่เหม็นเปรี้ยวโชยออกมา ส่งผลให้เธอแทบจะคลื่นไส้
ชายคนหนึ่งที่เริ่มอดใจไม่ไว้ ก่อนจะจับไปที่ผมยาวๆของเธอ และตบไปด้วยท่าทีที่โกรธเคือง “ในนี่มีพี่ชายตั้งกี่คนกัน? ไม่ต้องรีบร้อนหนีไปหรอกน้องสาว พี่ชายคนนี้จะช่วยทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเอง!”
ชายอีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะยิ้มเยาะออกมาด้วยท่าที่ดูชั่วร้าย ภายในดวงตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยการดูหมิ่น พวกเขาค่อย ๆ ลดมือลงมาที่ข้าง ๆ ตัวของเหอเหมียว
“พวกแกคิดจะทำอะไรน่ะ?” เหอเหมียวลืมตาขึ้นเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว มือทั้งสองข้างเอามาปิดไว้ที่หน้าอก น้ำเสียงที่สั่นเครือ เอ่ยออกไป “ฉันเป็นผู้หญิงของโอวหยางลี่นะ ถ้าหากพวกแกกล้าแตะต้องตัวฉันละก็ พี่ชายโอวหยางฆ่าพวกแกทิ้งแน่”
อันโหรวเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น และเห็นเหอเหมียวที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “ทำโทษเธอสักหน่อย ปล่อยให้เหอเหมียวได้รับความทรงจำที่โหดร้ายสักนิด แค่ไม่ต้องจริงจังถึงขั้นนั้นก็พอ!”
อย่างน้อยตัวเธอเองก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน การกระทำแบบนี้ มันก็เหมือนกับหวังที่จะทำลายเธออย่างไม่ต้องสงสัย
จิ่งเป่ยเฉินที่ตอนนี้กำลังทายาให้กับตัวของอันโหรว เขาค่อยๆเลิกคิ้วที่หนาดกดำขึ้น ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าที่ดูจริงจังและพูดออกไป “เธอสมควรได้รับแล้ว”
อันโหรวเมื่อได้ฟัง ตัวของเธอก็รู้สึกแทบหายใจไม่ออก แต่เมื่อเห็นมือใหญ่ ๆ ของเขากำลังประคองขาเธอไว้ เธอก็พยายามดึงเท้าออกอย่างโกรธเคือง แต่ก็ถูกมือนั้นจับไว้เสียแน่นอีกครั้ง
“อย่าคิดขยับเท้าเชียว ถ้าไม่อยากเจ็บ”
“จะให้ได้ง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงล่ะ ประธานจิ่ง คุณก็เหมือนกันนั้นแหละ ชอบทำท่าทางเหมือนกำลังขู่เด็กให้กลัวอยู่เรื่อย” อันโหรวตอบกลับ ก่อนจะไม่ขยับเท้าไปไหน
เมื่อมองไปยังรูปลักษณ์ของผู้ชายคนนี้ที่ดูท่าทางจริงจัง ผมสั้น ๆ ที่ปิดบังคิ้วบนใบหน้าที่เรียงยาวดูคมเหมือนกับดาบ ดวงตาที่ดูมุ่งมั่นแฝงไว้ด้วยความจริงจัง มันช่างเป็นบรรยากาศทที่คล้ายกับฤดูใบไม้ผลิหลังจากภูเขาน้ำแข็งจากไปแล้วจริง ๆ [1]
อันโหรวแอบตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้ามองขึ้นมาที่ตัวเธอ และกระตุกมุมปากขึ้น “มีอะไร? ดูแปลกไปยังงั้นเหรอ?”
อันโหรวเมื่อตั้งสติขึ้นมาได้ เธอก็รีบหลบสายตาตัวเองสองสามครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ ทำจิตใจให้สงบลง และตอบกลับโดยไม่แสดงถึงความอ่อนแอใด ๆ “ประธานจิ่ง คุณคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อครู่ฉันแค่คิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาเท่านั้นเอง”
จิ่งเป่ยเฉินแม้จะมีท่าทีเช่นนี้ ก็ขยับตัวของเขาเข้าใกล้ตัวเธอมากขึ้น ลมหายใจที่ร้อนผ่าว เป่ารดไปที่ต้นคอของเธอ “ทำไมใบหูคุณถึงแดงขนาดนี้? แถมตัวยังอุ่น ๆ อีก มีไข้ยังงั้นเหรอ ? หืม ?”
อันโหรวอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป เขาที่รบกวนจิตใจของเธอในตอนนี้ มือและเท้าของตัวเธอเองก็ผลักไปยังจิ่งเป่ยเฉิน “ประธานจิ่งค่ะ ช่วยอยู่ห่าง ๆ ฉันด้วยค่ะ”
“อยู่ห่าง ๆ เหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้ามองเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และขยับมือโอบไปที่เอวของอันโหรวและพูดขึ้น “แบบนี้รึเปล่า? ”
“ประธานจิ่ง…คุณ…” อันโหรวขบฟันแน่น ก่อนจะจับจ้องไปที่ตัวเขาเช่นกัน มันเหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณ ทันใดนั้นแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลงเรื่อย ๆ เมื่อดวงอาทิตย์ตก ก็ปรากฏร่างชายผู้หนึ่งที่กำลังเดินมาอย่างช้า ๆ แสงไฟของรถกลับส่องให้เห็นถึงใบหน้าที่เศร้าหมองของเขา
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ชายคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามา ก่อนจะเผยนัยน์ตาที่ยิ้มเยาะออกมาด้วยท่าทีที่เยือกเย็น และพูดออกไปว่า “ในที่สุดคนก็มาเสียที โชว์สนุกๆ…กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
[1] ดูอบอุ่นหลังจากผ่านบรรยากาศที่เย็นชา