ตอนที่ 93 เว้นแต่…จะให้ผมได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคุณ
ทันทีที่เธอเอ่ยประโยคจบ ก็มีชายคนหนึ่งกำลังเดินออกมา ชายรูปร่างผอมแห้งสวมสูทสีเงินรัดรูปและทรงผมที่ดูประหลาดพิกล
“พนักงานบริษัทจิ่ง?” ควีนเอ่ยขึ้นพลางก้าวไปข้างหน้าและมองไปที่อันโหรวโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างใด ๆ ก่อนจะโค้งงอริมฝีปากด้วยท่าทางที่รังเกียจ “น่าเกลียดจริง ๆ ยังแกล้งทำเป็นพนักงานบริษัทจิ่งอีกนะ ออกไปเลย”
ริมฝีปากของอันโหรวกระตุกขึ้นเล็กน้อย เธอมองชายในชุดสูทที่กำลังไล่เธอออกไปด้วยท่าทีนิ่งสงบ ก่อนจะเอาบัตรพนักงานให้เขาดู “คุณคงเป็นควีนสินะ นี่เป็นบัตรพนักงานของฉัน ช่วยดูหน่อยค่ะ”
ควีนไม่ตอบอะไร เขาทำเพียงชำเหลืองสายตามองเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็พลันต้องเบิกตากว้างมองอันโหรวอีกครั้ง “นี่คุณแต่งหน้ามานี่ คงไม่ใช่….”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ถูกมือของอันโหรวยกมือขึ้นห้ามปราบ “ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจปกปิดสายตาพวกดีไซเนอร์ได้ แต่เรื่องการแต่งหน้าให้น่าเกลียดนี่เป็นนิสัยของฉันจริง ๆ นั่นแหละ”
หลังจากที่อันโหรวพูดจบก็ดึงเหอเฉ่ามาข้างหน้า พลางแนะนำเธอให้เขารู้จัก “งานแถลงข่าวของบริษัทจิ่งจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ นี่คือพิธีกรโฆษณาของเราในครั้งนี้ ฉันอยากจะยืมความสามารถมือวิเศษของควีนราชินีช่วยเลือกชุดที่เหมาะสมให้เธอหน่อย”
เมื่อควีนได้ยินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเผยนัยน์ตาที่เป็นประกายเจิดจ้าออกมา ไม่นานเขาก็ยักคิ้วขึ้นและพูดว่า “มากับผมสิ”
โฆษณาตัวใหม่ในครั้งนี้ใช้หยกเป็นแบบ เมื่ออันโหรวเดินขึ้นไปยังชั้นสองก็เห็นชุดที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่างร้าน ดวงตาของเธอเปล่งประกายขึ้นมาทันที
ชุดสีเขียวมรกตเปิดไหล่กว้างไปกว่าครึ่ง ด้านหลังเว้าลึก ส่วนอื่น ๆ มีการปักด้วยเส้นด้ายลวดลายแปลกตา นอกจากสไตล์ด้านหลังที่เว้าลึกแล้ว ด้านหน้าก็ดูไม่มีลวดลายอะไรเท่าไรนัก ที่พิเศษสุด ๆ คงจะเป็นบริเวณเอวซึ่งถูกตกแต่งด้วยพู่ที่ห้อยลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ ยาวราว ๆ ห้าเซนติเมตรเห็นจะได้
“เป็นยังไง?” ควีนยกคางขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยถามอย่างความภาคภูมิใจ “ชุดนี้เหมาะกับคอนเซปต์ของผลิตภัณฑ์ของบริษัทจิ่งไหม?”
อันโหรวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเอามือทั้งสองตบไปที่หน้าเบา ๆ “สมแล้วกับฉายาภูตพรายแห่งวงการแฟชั่น วิสัยทัศน์ย่อมไม่เหมือนใคร ชุดนี้ตรงกับคอนเซปต์ผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อย่างพอดิบพอดีเลย”
สีเขียวมรกตทำให้ดูโดดเด่นเป็นสง่า ทั้งยังมีพู่ที่เอวแสดงให้เห็นถึงความงดงามของเส้นไหม ช่างเข้ากับผู้หญิงเป็นอย่างมาก แถมยังช่วยทำให้คนที่ใส่ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นด้วย
หากเหอเฉ่าสวมชุดนี้คงจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนอย่างแน่นอน ทั้งยังช่วยสะท้อนความสดใสของหยกได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ อันโหรวก็ยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ฉันจะมาเอาชุดก็แล้วกัน คุณโอเคใช่ไหม”
ควีนหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง ก่อนจะจับจ้องไปที่อันโหรว “ไม่ได้หรอก ชุดนี้ผมไม่คิดจะเปิดเผยสู่สายตาสาธารณชน” เมื่อพูดจบเขาก็เอื้อมมือแตะคางเล็ก ๆ ของอันโหรว พลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างมีเลศนัยและพูดว่า “เว้นแต่…จะให้ผมได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคุณ”
อันโหรวขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางปัดมือของเขาออก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำไมต้องอยากเห็นหน้าของฉันด้วย?”
“ก็ไม่มีเหตุผล” ควีนเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะเลิกคิ้วราวกับไม่ได้ใส่ใจมากนัก “ผมแค่ไม่ค่อยชอบคนที่เสแสร้งด้วยการแต่งหน้า มันทำให้ผมรู้สึกอยากท้าทาย”
นี่เป็นโลกของวงการแฟชั่น เมื่อเขาเห็นอะไรก็ล้วนดูจริงไปหมด นับตั้งแต่ที่มีผู้หญิงเดินเข้ามาในร้าน เขาก็รู้ได้ทันทีว่าใบหน้านั้นปกปิดไปด้วยอะไร
อันโหรวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะชั่งน้ำหนักความคิด ในที่สุดก็พยักหน้าตัดสินใจ “ได้ ฉันจะลบเครื่องสำอางออก เหอเฉ่าคุณไปรอฉันข้างนอกก่อน”
เหอเฉ่ายื่นเสื้อผ้าให้อันโหรวและพูดขึ้นว่า “คุณอันค่ะ พวกเราไปกันเถอะ ไม่จำเป็นต้องเอาชุดนี้ก็ได้”
“ชุดนี้ฉันต้องได้มันมา คุณไปรอข้างนอกก่อนนะ”
อันโหรวพูดพลางดันเหอเฉ่าให้ออกไป หลังจากนั้นก็เผชิญหน้ามองไปยังควีน “คุณพูดแล้ว ต้องทำตามนั้นนะ ฉันจะลบเครื่องสำอางออกเดี๋ยวนี้“
“สุภาพบุรุษมักไม่คืนคำ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขารับรอง อันโหรวก็เริ่มลบเครื่องสำอางออก เธอนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหลับตาและลบเครื่องสำอางออก
ใบหน้ารูปทรงไข่ขนาดเล็ก ดูบอบบางราวกับขนผีเสื้อ ใบหน้านั้นขาวสะอาดสะอ้านเสียจนเหมือนกับไข่ตุ๋นที่สดใหม่ เต็มไปด้วยคอลลาเจนที่ชัดเจน
“สวยงามมาก!”
ควีนดูตกตะลึงเล็กน้อยกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า เขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการแฟชั่นมานาน แต่เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่สวยขนาดนี้มาก่อนเลย
……..
ตอนที่ 94 หน่วนหน่วนหายไปแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง พอใช้ได้ไหม” อันโหรวยืนขึ้นเพื่อให้ควีนได้เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน ก่อนจะกลับไปแต่งหน้าให้ดูขี้เหร่เหมือนเดิมอีกครั้งด้วยท่าทีที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“พรุ่งนี้ฉันจะมารับชุดไป” อันโหรวพูดพลางชี้นิ้วไปยังชุดที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่างโดยไม่ได้มองควีนด้วยซ้ำ
เมื่อเธอพูดจบก็คิดจะหันหลังเดินออกไป แต่กลับถูกควีนรั้งข้อมือไว้และพูดขึ้นว่า “ช่วยบอกชื่อให้ผมฟังหน่อยสิ ใช่อันอีหานหรือเปล่า?”
อันโหรวหันกลับไปมองด้วยท่าทีหงุดหงิด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ควีน ฉันชอบที่จะแต่งหน้าขี้เหร่แบบนี้ ภายในบริษัทจิ่งยังไม่เคยมีใครเห็นหน้าที่แท้จริงของฉัน และคุณเองก็เป็นคนแรก เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อคุณไปที่บริษัทจิ่ง ได้โปรดอย่าพูดเรื่องไร้สาระนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด ขอบคุณนะคะ”
เมื่อพูดจบเธอก็เปิดประตูออกไปด้วยท่าทางหยิ่งผยอง เหยียดหลังตรง จนทำให้คนที่มองมาอดรู้สึกตื่นตาไม่ได้
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหอเฉ่าก็คิดจะกลับไปดูแลแม่ของเธอต่อ จึงได้แยกย้ายกันไปคนละทาง
ทางด้านอันโหรวเองก็ต้องรีบกลับไปที่บริษัทจิ่งเพื่อทำงานของตัวเองให้เสร็จสิ้น
เมื่อกลับมาถึงแผนกวางแผน อันโหรวก็เปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มตรวจสอบเอกสารการประชุมด้านโฆษณาของบริษัทจิ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอต้องเข้าใจทุก ๆ อย่างก่อน จะได้ไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
ฉิวซียืนมองอันอีหานด้วยท่าทีเย็นชา เธอกำหมัดแน่น ราวกับจะสาปส่งอันโหรวให้พังพินาศ
เรื่องงานแถลงข่าว แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของเธอเอง เธอไม่อยากให้อันอีหานได้หน้า เธอรู้ตัวดีว่าตอนนี้เธอกำลังถูกบดบังและมีสิทธิ์จะหลุดจากหัวหน้าทีมได้ทุกเมื่อ
ถ้าหากฉิวซีไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ สักวันหนึ่งตำแหน่งที่เธอมีจะต้องถูกอันอีหานแย่งไปอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ยอมให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเด็ดขาด!
“อันอีหาน ไม่ต้องดิ้นรนไปหรอก ตอนนี้ไม่ว่ายังไงก็ไร้ประโยชน์” ฉิวซียืนอยู่ที่โต๊ะทำงานพลางเอ่ยพึมพำ หวังจะทำให้อันอีหานเสียสมาธิ
“หัวหน้าทีมฉิวซีช่วยเงียบด้วยค่ะ ถ้าว่างมากคุณก็นั่งแคะเล็บของคุณไปก็ได้” อันโหรวไม่ได้เงยหน้ามอง แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เธอ….” ฉิวซีโมโหจนใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอโกรธหน้าสั่นจนแป้งบนใบหน้าถึงกับหลุดออก ก่อนจะก้มลงเพื่อเช็ดมันด้วยความอับอาย
อันโหรวขี้เกียจจะสนใจเธอ จึงตั้งใจจดจ่ออยู่กับงานและตรวจสอบเทปบันทึกทั้งหมดอีกครั้ง ก่อนจะเขียนลงในสมุดบันทึกเล็ก ๆ ของเธอ
ในขณะที่เธอกำลังง่วนอยู่กับการทำงาน โทรศัพท์บนโต๊ะของเธอก็ดังขึ้น ด้วยความไม่ทันระวัง เธอจึงสะดุ้งตกใจ
โทรศัพท์นี้เป็นสายที่โทรมาจากอันหยาง อันโหรวรีบรับโทรศัพท์และพูดขึ้น “หยางหยาง ลูก….”
เธอยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกเด็กน้อยตัวเล็กพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“แม่จ๋า หน่วนหน่วนหายไปแล้ว!” อันหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เขากำโทรศัพท์ในมือแน่น ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ปกติแล้วเขามักเป็นคนที่ใจเย็นเหมือนกับผู้ใหญ่ในร่างเด็กมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขารู้สึกตื่นตระหนกจนแทบหาสติไม่เจอ
หัวใจของอันโหรวแทบจะหยุดเต้น “หน่วนหน่วน เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงหายไป?”
อันหยางเป็นกังวลมากจนน้ำตาคลอเบ้า ดวงตากลับเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาใช้หลังมือเช็ดที่หางตาและพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ผมก็ไม่รู้ แม่จ๋า หน่วนหน่วนถูกคนไม่ดีลักพาตัวไปเหรอ?”
วันนี้ตอนเช้าหลังจากกินข้าวเสร็จ อันหยางเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ส่วนน้องสาวก็ดูทีวีอยู่บนโซฟา แต่เมื่อเขาออกมา จู่ ๆ น้องก็หายไปแล้ว
“หยางหยาง อย่าเพิ่งกังวลไป อย่าเพิ่งไปไหนนะ แม่จ๋าจะรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
อันโหรวนั่งอยู่ไม่สุขจึงรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง ยังไม่ทันได้ปิดคอมพิวเตอร์ เธอก็เดินตรงไปยังกระเป๋าเพื่อจะหยิบมัน แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถูกฉิวซีขวางทางไว้ซะก่อน
“อันอีหาน ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน เธอจะไปไหนเหรอ?”
“หลีกไป!” อันโหรวพูดด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงก่อนจะเอื้อมมือไปผลักฉิวซีออกไปให้พ้นทาง เธอโกรธเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
ในขณะที่ลงจากลิฟต์เธอไม่ทันสังเกตเห็นร่างเล็ก ๆ ที่แอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงแต่อย่างใด
หน้าอพาร์ตเมนต์ของหลินจือเซี๋ยว
อันโหรวรีบลงจากรถแท็กซี่ พลันเห็นประตูอพาร์ตเมนต์เปิดอยู่ เมื่ออันหยางเห็นแม่จ๋า ดวงตาของเขาก็พลันแดงก่ำอีกครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาหาทันที
“แม่จ๋า ผมไม่ดีเอง ผมดูแลหน่วนหน่วนไม่ดี” อันหยางรู้สึกตื่นตระหนกเป็นครั้งแรก มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่นและสั่นอยู่ตลอดเวลา
อันโหรวก้มตัวลงกอดลูกชายของเธอเอาไว้ โดยใช้มืออีกข้างตบที่หลังของเขาเบา ๆ “หยางหยาง หน่วนหน่วนจะต้องไม่เป็นอะไร น้องสบายดีแน่นอนค่ะ”
อันที่จริงตัวเธอนั้นเป็นกังวลอย่างมาก แต่เมื่อเห็นลูกชายของตัวเองเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่อยากให้ลูกชายเป็นกังวลไปด้วย ในฐานะที่ตัวเองเป็นคุณแม่ลูกสอง เธอควรสงบสติอารมณ์ตัวเองให้ดี
เมื่อเด็กน้อยค่อย ๆ สงบลงจึงสูดลมหายใจเข้า พลางเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นว่า “หน่วนหน่วนหายไปตอนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นตอนที่ดูทีวี ผมไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็ไม่เห็นน้องแล้ว เห็นแค่ประตูอพาร์ตเมนต์เปิดอยู่”