ตอนที่ 101 นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี
คนหนึ่งคือจิ่งเป่ยเฉินที่มองมายังอันโหรว ส่วนอีกคนก็คือเลขาของจิ่งเป่ยเฉิน หลินจื่อเซี๋ยว
หลินจื่อเซี๋ยวกลืนน้ำลายลงคอ เธอคิดยังไงถึงได้ยอมให้อันโหรวเข้ามาในบริษัทจิ่ง นี่มันเหมือนกับเอากระต่ายน้อยเข้ามาในถ้ำของหมาป่าชัด ๆ
“ต่อไป ได้โปรดฟังคำอธิบายของแผนฉันด้วยนะคะ” อันโหรวพูดอย่างมั่นใจในแผนการของเธอ เธอดูเปล่งประกายมากกว่าใคร ๆ นั่นทำให้หลายคนไม่ได้คิดจะเพิกเฉยต่อใบหน้าและเสียงแหบแห้งของเธอ
“แปะ แปะ แปะ” เสียงปรบมือภายในห้องประชุมดังขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการเสียงปรบมือเพราะนี่นับว่าเป็นงานของเธอ
พลันก็หันไปสบตากับดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นโดยไม่ตั้งใจ เธอจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกคุณมีคำถามอะไร หรือจะเสริมอะไรไหมคะ?”
ฉิวซีก้มหน้าลงด้วยความไม่พอใจ เธอคิดไม่ถึงว่าอันโหรวจะมีแผนชุดที่สองเตรียมเอาไว้ อีกอย่างแผนนี้ก็นับว่าไม่เลวนัก ทั้งเธอยังสามารถอธิบายได้อย่างไหลลื่นไร้ซึ่งไม่มีปัญหาอีกต่างหาก
“ในเมื่อไม่มีคนพูดเสริม เช่นนั้นก็ปล่อยไปตามนั้น” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยพลางเหลือบมองไปยังเหอเฉ่า “นี่คือสัญญาการร่วมมือของพวกเรา หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมงานกันอย่างราบรื่นนะ”
“ขอบคุณค่ะท่านประธานจิ่งที่มอบโอกาสให้ฉัน!“ เหอเฉ่ารีบลุกขึ้นยืนและกล่าวขอบคุณเขา
จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้เหลือบมองเธออีก ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไป
นี่เองที่ทำให้อันโหรวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นผู้คนต่างก็ออกจากห้องประชุมไปทีละคน ฉิวซีที่กำลังจะเดินออกไป เมื่อเห็นเหอเฉ่าเดินตามอันโหรวไป เธอจึงจ้องมองไปที่อันโหรว ก่อนจะหันหลังและเดินออกไป
“คุณอัน ขอบคุณนะคะ ตอนนี้ฉันเปลี่ยนชุดได้แล้วใช่ไหมคะ” ชุดนี้ค่อนข้างแพง เธอไม่อยากจะใส่ไว้นาน ๆ
อันโหรวที่กำลังเก็บข้าวของอยู่เงยหน้าขึ้นมองและพูดว่า “มันสวยดีนะ เธอเก็บไว้สิ! ถ้าหากไปงานเลี้ยงของมหาวิทยาลัย เธอก็สามารถใช้มันได้นะ”
“แต่ว่ามันดูแพงไปหน่อยนะคะ” ครอบครัวเธอฐานะไม่ค่อยดี ส่วนแม่ของเธอเองก็ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าหากเธอใส่ชุดแพง ๆ แบบนี้ มีหวังเพื่อนร่วมชั้นของเธอคงได้พูดจาเหลวไหลอย่างแน่นอน
“คิดซะว่าบริษัทจิ่งมอบให้คุณ เชื่อฉันสิ ประธานจิ่งไม่เก็บเงินหรอก ชุดพวกนี้เขาจะซื้ออีกเท่าไรก็ได้” อันโหรวเก็บข้าวของให้เธอเรียบร้อยแล้วจึงพูดขึ้น “อีกไม่นานการถ่ายโฆษณาจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ อย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับผู้กำกับและช่างภาพที่เก่งที่สุดในวงการด้วยล่ะ เรื่องพวกนี้ฉันรู้ว่าเธอรอไม่ไหวแล้ว”
เธอมีประสบการณ์เรื่องพวกนี้มาแล้วตอนอยู่ที่ต่างประเทศ ตอนนั้นเธอเหมือนดาวที่สดใส แต่ความจริงความสามารถของเธอนั้นคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะคะคุณอันที่ช่วยเตือนสติ” เหอเฉ่ายิ้มก่อนจะเดินตามเธอออกไป
เมื่ออันโหรวกลับมายังห้องสำนักงาน เธอก็ได้รับสายภายในบริษัท โดยต้นสายมาจากห้องของประธานจิ่ง
จิ่งเป่ยเฉินวันนี้ว่างมากงั้นเหรอ?
“ประธานจิ่ง มีธุระอะไรเหรอคะ?” เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบสติอารมณ์
“วันนี้ดูจากผลงานของคุณแล้วนับว่าไม่เลว คืนนี้จะเชิญคุณไปกินข้าว แต่งตัวให้สวย ๆ ด้วยล่ะ” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ น้ำเสียงของเขานั้นดูนุ่มนวลเสียยิ่งกว่าอะไร
“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่ว่าง”
“คุณเอาลูกมาด้วยได้นะ ผมไม่ได้ปฏิเสธ” จิ่งเป่ยเฉินยอมถอยให้หนึ่งก้าว เพราะเขารู้ดีว่าเธอนั้นเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน
“ฉันขอปฏิเสธค่ะ ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอวางสายนะคะ” ที่จริงเธอคิดจะวางสายตั้งนานแล้ว
จิ่งเป่ยเฉินเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง “ปี๊บ ปี๊บ” ขึ้น เขาก็เค้นเสียงหัวเราะเย็นชาอยู่ในลำคอ ตอนนั้นมาว่าเขาเป็นสัตว์โดยไม่ให้โอกาสได้โต้ตอบ
มาตอนนี้พอคิดจะจับเธอไว้ในมือ สุดท้ายกลับยิ่งรู้สึกไกลออกไปเรื่อย ๆ
นี่นับว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดี
ตัดภาพมาที่อันโหรว เธอจะต้องคิดหาวิธีหน่อยแล้ว จิ่งเป่ยเฉินสนใจในตัวหน่วนหน่วนค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าเธอนั้นไม่รู้จะอธิบายยังไงเรื่องผมสีบลอนด์ทองและตาสีฟ้า แต่ถ้าหากเรื่องหยางหยางนี่จบแน่นอน
จิ่งเป่ยเฉินแข็งแกร่งมาโดยตลอด ถ้าเขาอยากได้อะไร เขาต้องคว้ามาให้ได้
………………..
ตอนที่ 102 อยากให้เขายอมแพ้
ให้ตายสิ ทำยังไงเขาถึงจะยอมแพ้กันนะ?
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าน่าจะมีทางเดียวที่จัดการได้ นั่นคือการหาคู่หมั้นที่เธอเคยเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ เพราะถ้าหากเขาไม่ปรากฏตัวมาละก็ จิ่งเป่ยเฉินคงไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่
แล้วแบบนี้จะไปหาคนมาจากไหน หรือจะต้องหาจากต่างประเทศ?
สุดท้ายท่ามกลางความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นภายในใจ ในที่สุดก็ได้ถึงเวลาเลิกงานสักที
เธอรีบเดินออกจากบริษัทไปอย่างไม่ลังเล จิ่งเป่ยเฉินดูคลุ้มคลั่งตามหาตัวเธอแบบนี้ มีหวังเธอคงหนีเขาไม่พ้นแน่ ๆ
เธอไม่อยากจะคิดว่าถ้าหลังเลิกงานต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขาแบบตัวติดกันแบบนี้ ไหนจะมีงานเลี้ยงอะไรนั่นอีก แค่คิดเธอก็รู้สึกรำคาญแล้ว
เธอไม่ได้รอหลินจื่อเซี๋ยวแต่อย่างใด พลันรีบขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านในทันที
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป อันหน่วนก็กระโดดเข้ามาหาแม่ของตนทันที “แม่จ๋า!”
“แม่จ๋าจะไปทำกับข้าวให้ลูกกินดีไหม? ทำระหว่างรอน้าจื่อเซี๋ยวกลับมา ดีหรือเปล่า?” เธอก้มหน้าลงและจูบหน้าผากของลูกสาวก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
แต่หลังจากผ่านมื้ออาหารค่ำ หลินจื่อเซี๋ยวก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา อันโหรวคิดว่าควรโทรหาเธอสักหน่อยเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากปล่อยโทรศัพท์ดังขึ้นอยู่หลายครั้ง เธอก็กดรับด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ฉันกำลังทำงานล่วงเวลา พวกเธอกินก่อนเลย ไม่ต้องห่วงฉัน”
“คืนนี้น่าจะยุ่งอีกนาน ให้เขาเอาข้าวมาให้หน่อยสิ” หลินจื่อเซี๋ยวมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินด้วยท่าทีหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเธอถึงไม่ได้รู้ตัวเลยนะ
“ประธานจิ่ง ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นหรอกค่ะ เดี๋ยวสั่งอาหารเอาก็ได้” หลินจื่อเซี๋ยวเอามือปิดไมค์พลางพูด เธอไม่อยากให้อันโหรวได้ยินเสียงของจิ่งเป่ยเฉิน
“เอางั้นเหรอ ฉันเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย สั่งมาเยอะ ๆ อีกชุดหนึ่งละกัน” จิ่งเป่ยเฉินพูดจบก็หันหลังกลับไป ก่อนจะทำท่าทีราวกับคนที่เพิ่งกินข้าวเสร็จ
หลินจื่อเซี๋ยวกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาคุยต่อ “เมื่อกี้เธอได้ยินอะไรหรือเปล่า จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นหรอกนะ”
อันโหรวได้ยินที่เธอพูดแต่ก็ไม่ได้อะไร และกำลังคิดว่าจะเอาอาหารไปให้เธอดีไหม เขานั้นร้ายกาจมาก อยากดื่มอะไรก็จะเอา อยากกินอะไรก็จะเอา
“ไม่เป็นไร ฉันจะดูแลหยางหยางกับหน่วนหน่วนก่อน แล้วเดี๋ยวจะเอาไปให้พวกเธอนะ” เธอพูดจบก็สงบสติอารมณ์ขุ่นเคือง
“แม่จ๋า แม่จะเอาอาหารไปให้น้าจื่อเซี๋ยวยังงั้นเหรอ?” อันหยางเงยหน้าขึ้นมองอันโหรวเมื่อได้ยินคำว่า ‘พวกเธอ’ นั่นเป็นไปได้ว่าหลินจื่อเซี๋ยวไม่ได้อยู่คนเดียว แต่อีกคนนั้นจะเป็นใคร จะใช่ผู้ชายที่ทำไม่ดีกับแม่จ๋าหรือเปล่า
“อืม แม่จะรีบไปรีบกลับ รีบกินข้าวเถอะ” เธอคิดวิธีแก้ปัญหาไว้เรียบร้อยแล้ว
และก็หวังว่าคืนนี้มันจะได้ผล!
เมื่อเธอดูแลเด็กน้อยทั้งสองให้เข้าห้องนอนเสร็จเรียบร้อยก็รีบมุ่งหน้าไปที่บริษัท พร้อมกับถุงเก็บความร้อนที่บรรจุอาหารไว้สองชุด อันโหรวขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสิบห้า ก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานของหลินจื่อเซี๋ยว
เมื่อเห็นเพื่อนรักเดินเข้ามา หลินจื่อเซี๋ยวก็รีบเอ่ยถามทันที “อันโหรวเป็นยังไงบ้าง ฉันรู้สึกว่านี่ไม่ค่อยดีเลยนะ”
หลินจื่อเซี๋ยวรู้ว่าตอนนี้สีหน้าของเธอนั้นเป็นกังวลมากแค่ไหน “วันนี้ยังไม่เห็นเลยว่าเธอนอนตอนไหน ถ้าหากประธานจิ่งทำอะไรเธอ! ฉันพร้อมยอมเสี่ยงอันตรายแทนยังจะดีซะกว่า”
ในช่วงกลางคืนคนในบริษัทมีน้อยมาก ถ้าหากจิ่งเป่ยเฉินต้องการทำอะไรเธอจริง ๆ เธอเองก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก
“ไม่เป็นไร ฉันคิดหาทางแก้ไว้แล้ว” อันโหรวยื่นถุงเก็บความร้อนหนึ่งชุดให้กับเธอ “บางทีหลังจากนี้เขาอาจจะไม่รบกวนฉันอีกเลยก็ได้”
“จริงเหรอ?” หลินจื่อเซี๋ยวเอ่ยถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
“แน่นอน รีบกินเถอะ ฉันจะได้รีบไป” อันโหรวหันหลังและเดินออกไป เธอรู้ว่าต้องเตรียมอะไรเพราะสนามรบที่แท้จริงนั้นยังไม่ปรากฏขึ้น