ตอนที่ 109 ศัตรูที่พบในถนนคับแคบ
ฉิวซีแทบจะพูดไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่อันโหรวพูดขึ้น นั่นเป็นเพราะตัวเธอส่วนหนึ่งที่ให้คนของโอวหยางเข้ามาเหยียบที่นี่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะฝีมือเธอทั้งนั้น เหอเฉ่าไม่ควรจะมีภาพลักษณ์แบบนั้นด้วยซ้ำ ถ้าหากตัวเธอไม่ได้พาคนพวกนั้นมาก่อเรื่องที่นี่ ทุกอย่างเป็นเพราะเธอทำไม่ดี หรือเป็นเพราะอันอีหานไม่ดีกันแน่?
อันอีหานจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ แต่ตัวเธอนั้นต้องห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นอันขาด
“ฉันพอจะเข้าใจ แต่เมื่อครู่ก็ดูเป็นเรื่องน่าตลกเหมือนกัน” ฉิวซีเผยดวงตาที่เย้ยหยันออกมา สายตาของเธอนั้นเหลือบมองไปที่คอที่มีผิวสีต่างกันของอันโหรว
อันโหรวปล่อยให้เธอมองอย่างไม่นึกกังวลแต่อย่างใด ครั้งที่แล้วจิ่งเป่ยเฉินก็เห็นว่าผิวสีของเธอตรงคอและข้อมือมันดูต่างกัน เธอจึงให้ความใส่ใจตรงคอเป็นพิเศษชนิดที่ว่าไม่มีทางจะรู้ได้แน่ เพราะช่วงนั้นเธอทาด้วยตลับแป้งออกเชดสีเหลืองขี้ผึ้งหน่อย ๆ
หลังจากที่กลับมาถึงบริษัท อันโหรวก็นั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ และเปิดดูภาพที่ตากล้องเพิ่งส่งมาให้ นอกเหนือจากเรื่องแรกแล้ว เรื่องส่วนอื่นเธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
เพราะถ้าหากเธอไม่ได้รับการช่วยเหลือจากจิ่งเป่ยเฉิน มีหรือเธอจะถูกปล่อยออกมาง่าย ๆ แบบนี้
“เฮ้อ…….” เธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะกุมขมับตัวเองอย่างอดไม่ได้ ภายในหัวคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สตูดิโออยู่ตลอด ผู้หญิงที่ถูกทิ้งจากงานแต่งงานจะสามารถวางใจได้จริง ๆ งั้นเหรอ
หึ โอวหยางลี่นี่ช่างเจ้าเล่ห์จริง ๆ จิตใจก็คับแคบ ใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็ทอดทิ้ง หรือจะให้สกุลเหลียวเดินตามรอยสกุลอัน? หรือว่าตอนนี้เหลือเพียงแค่เปลือกนอกที่ว่างเปล่ากันแน่
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อใกล้เวลาที่ต้องไปรับหยางหยางกับหน่วนหน่วน เธอจึงรีบเคลียร์ข้าวของบนโต๊ะและรีบลุกออกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว
“อันอีหาน! นั่นเธอจะไปไหน?” ฉิวซีปรากฏตัวขึ้น พลางมองไปที่กระเป๋าของเธอและพูดขึ้นอีกว่า “จะกลับเร็ว?”
“หัวหน้าทีมฉิว ถ้าหากฉันจำไม่ผิดละก็ ที่บริษัทจิ่งฝ่ายแผนกวางแผนมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น ถ้าหากหัวหน้าฉิวไม่เข้าใจความหมายพวกนี้สามารถไปสอบถามกับฝ่ายบุคคลได้นะ ฉันขอตัวก่อน” เธอพูดเสร็จก็รีบเดินผ่านฉิวซีออกจากแผนกวางแผนไปในทันที
ฉิวซีหันหน้าไปมองด้านหลังของเธออย่างโกรธเคือง ยัยนี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร ทำไมถึงทำตัวหยิ่งยโสโอหังขนาดนี้?
คำนวณอยู่หลายพันครั้ง อันโหรวก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะพบกับจิ่งเป่ยเฉินโดยบังเอิญอีกครั้งที่หน้าประตูบริษัท ก่อนจะออกไปก็ถูกจับได้ซะแล้ว
จิ่งเป่ยเฉินกำลังเดินเข้ามา ชุดสูทสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีต เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ผูกเนกไทอย่างเรียบร้อยล้วนส่งผลให้ตัวของเขาดูหล่อเข้ม ลึกลับ และดูสงบนิ่งเคร่งขรึม
ก้าวแต่ละก้าวที่เดินมานั้นดูสง่างาม เผยให้เห็นถึงไอเย็นที่ดูมีจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งและทะนงตัว
“อันอีหาน ตอนคุณอยู่กับพวก TE ที่ต่างประเทศ คุณก็ออกเร็วแบบนี้เหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินเดินมาหยุดตรงหน้าเธอและเอ่ยถาม
อันโหรวถอนหายใจออกมา เธอคิดว่าเธอออกไม่ช้านะ แต่ทำไมถึงได้เจอเขาเสียได้
“ประธานจิ่ง วันนี้ฉันทำงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วค่ะ ส่วนการทำงานของแผนกวางแผนก็มีเวลาที่ยืดหยุ่น ตามกฎระเบียบของบริษัทแล้วฉันสามารถออกไปได้ค่ะ” เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะรักษารอยยิ้มที่ควรมี พลางเอ่ยอย่างสุภาพให้เหมาะสมกับการเป็นพนักงานของบริษัท
เมื่อเห็นเธอเอ่ยเช่นนี้ ภายในใจของจิ่งเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข
ครั้งที่แล้วเธอวิดีโอคอลกับสามีที่อยู่ต่างประเทศก็เหมือนกับเผชิญหน้ากับข้าศึก นี่เธอยังจะออกไปเร็วซะขนาดนี้อีก
จิ่งเป่ยเฉินโน้มตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้ามองและเดินเข้าไปหาเธอ “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณสักครู่ มากับผมทีสิ”
หลังจากที่พูดจบเขาก็รอฟังคำตอบของเธอ โดยก้าวไปรอที่หน้าลิฟต์
“ประธานจิ่งคุยพรุ่งนี้ได้ไหมคะ?” เธอหันหลังกลับไปมองด้านหลังและเอ่ยถาม
วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของหยางหยางและหน่วนหน่วน ถ้าหากเธอไปรับพวกเขาสายละก็ เธอคงแทบไม่มีคุณสมบัติของคนเป็นแม่
“มีเรื่องอะไร?” จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย พลางหันหลังและเดินออกไป
“แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ คงไม่รบกวนประธานจิ่งหรอกค่ะ” เธอคิดที่จะออกไปเท่านั้น
จิ่งเป่ยเฉินแค่คุณกลับไปยังห้องทำงานของคุณก็พอแล้ว
หรือว่านี่คือศัตรูที่พบในถนนคับแคบกันนะ [1]?
เมื่อเธอกำลังจะก้าวเดินออกไป จิ่งเป่ยเฉินก็เดินมาที่ด้านข้างและพูดขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันจันทร์ โรงเรียนอนุบาลน่าจะเปิดเรียน เรื่องของผมไม่เป็นไรหรอก ให้ผมไปส่งคุณก็แล้วกัน”
“ประธานจิ่ง ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉันเหรอคะ? ตอนนี้ฉันมีเรื่องอยากจะคุยแล้ว กลับไปคุยกันเถอะ” เธอหันไปมองค้อนเขา ความจริงแล้วถ้าหากตอนนี้มีมีดในมือ เธออยากจะแทงไปที่จิ่งเป่ยเฉินเสียจริง ๆ
การหันหน้าหนีปฏิเสธความจริง เธอนับว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
**************
[1]หมายความว่า ศัตรูหรือคนที่ไม่อยากเห็นหน้า แต่มักจะพบกันง่าย ๆ ยากที่จะหลีกเลี่ยง
………………………………………………
ตอนที่ 110 วันเกิดของเธอคือรหัสผ่าน
“ผมรู้สึกว่าคุณจะพูดเข้าใจแล้วนะ คุยพรุ่งนี้ไง” จิ่งเป่ยเฉินเดินนำอันโหรวออกไปข้างนอก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนแต่แผ่วเบาและแฝงไปด้วยความปีติยินดี “หน่วนหน่วนน่าจะคิดถึงผมมากแน่ ๆ”
อันโหรวที่เดินตามเขาไปจึงรีบเอ่ยว่า “ประธานจิ่งคะ ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องจริง ๆ ฉันไปของฉันเองได้ค่ะ”
แย่แน่ แย่แน่ ถ้าเกิดเขาได้เห็นหยางหยางละก็ มีหวัง….
จิ่งเป่ยเฉินรีบขึ้นไปบนรถ ก่อนจะเปิดประตูที่คล้ายกับปีกนกขึ้น เขาชะเง้อมองไปที่เธอเล็กน้อย อันโหรวจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ประธานจิ่งคะ พวกเรากลับไปคุยงานที่บริษัทกันเถอะค่ะ ส่วนหน่วนหน่วนฉันจะให้เพื่อนไปรับ”
“คุณมีเพื่อนนอกจากเลขาหลินด้วยเหรอ? คุณกล้าให้เขาเลิกงานเร็วขนาดนั้นเลย?” เขาพูดพร้อมกับสตาร์ทรถ ขยับมือจับไปที่พวงมาลัยอย่างแน่นและพูดอีกว่า “ขึ้นมา!”
“ฉันปฏิเสธได้ไหมคะ?” เธอจับประตูรถแน่น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างลังเล
เธอไม่อยากขึ้นไปจริง ๆ
“คุณคิดว่าไงล่ะ?” จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย การกระทำง่าย ๆ และท่าทางของเขานั้นล้วนเต็มไปด้วยภัยคุกคาม
เธอเข้าไปนั่งในรถอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่กำลังจะปิดประตูรถ เธอก็รู้สึกถึงอนาคตที่กำลังจะมืดมนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
จิ่งเป่ยเฉินขับรถออกไปโดยจับจ้องสายตาไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “ชื่อล่ะ?”
“โรงเรียนอนุบาลสายรุ้งที่ถนนจื่อเหยียน” เธอไม่ได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลนัก
แต่ว่าจิ่งเป่ยเฉินรู้อยู่แล้ว เพราะนั่นเป็นโรงเรียนอนุบาลของถังซั่ว เช่นนั้นก็ดี หลังจากนี้ถ้าหากมีเรื่องอะไรก็สามารถให้ถังซั่วช่วยจัดการได้ง่าย ๆ
อันโหรวที่นั่งอยู่บนเบาะหนังสีน้ำตาลที่แสนนุ่มสบาย กลับรู้สึกราวกับนั่งอยู่บนเข็ม เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง วิวทิวทัศน์ค่อย ๆ เคลื่อนสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เธอเอามือผสานกันไว้แน่น เหงื่อเริ่มไหลซึมออกมา
ทำยังไงดี ทำยังไงดี?
ตอนนี้จะให้หลินจื่อเซี๋ยวออกมาช่วยก็สายเกินไปแล้ว เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะส่งข้อความไปให้หยางหยางและหน่วนหน่วนออกจากที่นั่นไปก่อนที่เธอจะไปถึง
ในไม่ช้าก็คิดได้ว่าที่นั่นเป็นโรงเรียนอนุบาล อาจารย์คงไม่ปล่อยให้เด็กออกไปง่าย ๆ แน่ ถ้าหากไม่มีผู้ปกครองไปรับ
แต่เมื่อคิดจะลองส่งไปดู เธอก็พบว่าโทรศัพท์กลับเปิดไม่ติด เพราะว่ามันพังไปแล้ว!
เธอจ้องมองไปที่โทรศัพท์ที่ตอนนี้พังไปแล้ว ก่อนจะพยายามคิดหาทางแก้ไข
“ถ้าอยากจะใช้โทรศัพท์ละก็ ใช้โทรศัพท์ผมก็ได้ แต่มันอยู่ในกระเป๋ากางเกง คุณล้วงมันออกมาสิ” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ย ทันใดนั้นเธอก็รีบเก็บโทรศัพท์ตัวเองลงกระเป๋าทันที วันนี้ดูท่าคงต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้วจริง ๆ
เมื่อเห็นอันโหรวไม่ขยับไหวติงใด ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไป ไม่ใช้แล้ว?”
เธอเหลือบมองไปยังโทรศัพท์ที่เผยรูปร่างให้เห็นอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขา ก่อนจะเสมองไปนอกหน้าต่าง “ไม่ใช้แล้วค่ะ”
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่เมื่อเธอไม่ใช้แล้วจึงเก็บใส่กระเป๋าอีกครั้ง
ในรถตอนนี้มีแต่ความเงียบงัน หลังจากที่มาถึงโรงเรียนอนุบาล มองจากไกล ๆ ดูเหมือนว่ามีผู้ปกครองน้อยลงแล้ว พวกเขาคิดว่าตัวเองคงมาช้าไป
แย่แน่ ๆ ถ้าคิดจะหนีตอนนี้คงไม่ทันแล้ว
จิ่งเป่ยเฉินจอดรถ ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะเดินลงจากรถและเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล
อันโหรวเริ่มเป็นกังวล พลางรีบเดินไปข้างหน้าโดยทิ้งระยะห่างจากเขาไว้ แต่เมื่อไม่เห็นเด็กน้อยทั้งสองคน จิ่งเป่ยเฉินก็เริ่มจ้องมองไปที่อันโหรว พลันคิดว่าพวกเขาคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม
จิ่งเป่ยเฉินมองไปยังรอบ ๆ ทิวทัศน์พวกนี้นับว่าไม่เลวทีเดียว อากาศถ่ายเทดี สภาพแวดล้อมก็ใช้ได้ ภาพต่าง ๆ ที่ถูกวาดตามผนังก็ดูน่ารัก ไร้เดียงสา นั่นทำให้เขาคิดถึงหน่วนหน่วนขึ้นมาทันที
“ประธานจิ่งคะ ขอฉันใช้โทรศัพท์ของคุณได้ไหม?” เธอหันไปหาเขา ก่อนจะแบมือออกมา
“เมื่อครู่ผมก็พูดอย่างชัดเจนไปแล้ว ถ้าอยากจะใช้ก็หยิบมันไปได้เลย” จิ่งเป่ยเฉินก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะเอนตัวไปหาเธอ เพื่อให้เธอล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง
อดทนไว้ มันก็แค่โทรศัพท์เครื่องเดียวไม่ใช่เหรอ?
เธอฝืนหลับตาและมองข้าม ๆ ไป ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกางเกงของเขาออกมา
“ขอบคุณค่ะ ประธานจิ่ง” เธอพูดขณะที่กำลังจะสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง และรีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่เย็นเฉียบอยู่ในนั้นออกมา
แต่นิ้วที่อุ่น ๆ กลับสัมผัสไปโดนต้นขาของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ พลันรู้สึกสั่นไหวแปลก ๆ ยังไงไม่รู้
จิ่งเป่ยเฉิน นายต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ
อันโหรวเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเอ่ยถามเขาไปว่า “รหัสผ่าน?”
“901001”
นี่เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้ใช้รหัสผ่านเป็นวันเกิดของเธอแบบนี้?
จิ่งเป่ยเฉินมองนิ้วมือของเธอที่กดรหัสอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเอามือสอดเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง และเอ่ยอย่างไม่รู้จะพูดอะไร