ตอนที่ 117 เก็บข้าวของ แล้วออกไปกับผม
“ผมอายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ชื่อเสียงไม่สำคัญเท่าผู้หญิงหรอก” จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองไปยังเธอ ก่อนจะวางถ้วยชาที่อยู่ในมือลง และพูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อคุณให้กำเนิดลูกให้กับสามีได้ ก็หาเวลาให้กับผมด้วยสักคนสิ”
“เกี่ยวกันยังไง?” คำถามพวกนี้มันล้วนงี่เง่าสิ้นดี
“ผมก็เป็นคนรักของคุณ และก็…..” เขาหยุดพูดชั่วคราว ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าที่โกรธเคืองของเธอด้วยท่าทีที่มีความสุข “คุณบอกผมไม่ใช่มนุษย์ และก็ไม่ใช่ทั้งสัตว์”
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเขามีประชุมที่สำคัญแล้วละก็ เขาจะทำให้เธอรู้จักจริง ๆ ว่าอะไรที่เรียกว่าสัตว์ป่า!
จะพูดไปแล้ว อันโหรวก็อยากจะพูดออกมาจริง ๆ แต่ก็ต้องสงบปากสงบใจไว้
เธอหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ประธานจิ่ง ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อนนะคะ”
“ไปสิ!” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูมีอารมณ์จากด้านหลังของเธอ ก่อนที่เธอจะรอไม่ไหวและเดินออกไปด้วยรองเท้าส้นสูงที่สูงถึงสิบเซนติเมตร
ไม่ได้เจอกันหลายปี ทำไมถึงได้ดูไร้ยางอายแบบนี้นะ!
ทันทีที่กลับมายังแผนกวางแผน เธอก็เริ่มต้นทำงานของเธอ แต่ในหัวกลับคิดถึงภาพของจิ่งเป่ยเฉิน ใบหน้าที่ดูหล่อเหลา แผงหน้าอกกว้าง ๆ ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาในความคิดของเธออย่างห้ามไม่ได้
“อาาาาาาา…..” เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างหงุดหงิด
ฉิวซีที่กำลังเดินมาทางด้านหลังของเธอ เมื่อได้ยินเสียงคำรามต่ำ ๆ นั้น เธอจึงหยุดเดินและเอ่ยถามว่า “ทำไม? ประธานจิ่งทำให้เธอโกรธยังงั้นเหรอ? หรือว่าเธอไปทำอะไรให้ประธานจิ่งโกรธ?”
“เวลาทำงานไม่ใช่เวลาพูดเรื่องไร้สาระ” เธอเอ่ยอย่างใจเย็น
“หึ ดูเหมือนว่าประธานจิ่งจะรู้แล้วสินะว่าหญิงแก่และขี้เหร่อย่างเธอไม่คู่ควรกับเขาเลยสักนิด” ถึงแม้ว่าฉิวซีจะไม่ได้เห็นจิ่งเป่ยเฉินดันอันโหรวเข้ากำแพงด้วยตาของตัวเอง แต่ก็รู้ดีว่าสองคนนี้ขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน
“นั่นสิ! ฉันก็คิดว่าควรที่จะเป็นแบบนั้น หัวหน้าทีมฉิวช่วยไปพูดกับประธานจิ่งให้หน่อยได้ไหม?” เธอเงยหน้ามองฉิวซี ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “บอกให้เขาปล่อยดอกไม้ป่าแก่ ๆ และน่าเกลียดอย่างฉันไปสักที เพื่ออย่างน้อยจะได้ไปชมดอกไม้อื่นในป่าใหญ่บ้าง”
ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริง ๆ เธอคงจะมีความสุขมาก ๆ
“แต่มันไม่ใช่แบบนั้นนี่สิ!” ฉิวซีเอ่ยก่อนจะหันหลังเดินออกไป
อันโหรวเริ่มไม่พอใจที่จิ่งเป่ยเฉินมาวุ่นวายกับเธอแบบนี้? มันจะทำให้เธอจะไปก็ไปไม่ได้
เป็นผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริง ๆ
เมื่อทำงานจนถึงเวลาสี่โมงเย็น เธอก็เตรียมพร้อมที่จะไปยังโรงเรียนอนุบาล เพียงแต่ว่าวันนี้ลืมไปว่าหยางหยางและหน่วนหน่วนไม่ได้ไปโรงเรียน
สุดท้ายเธอจึงนั่งทำงานต่อ เพราะโฆษณาใกล้จะปล่อยแล้ว แม้จะถ่ายภาพเสร็จแล้ว แต่ยังไงก็ต้องเตรียมการประชาสัมพันธ์ในเบื้องต้นอยู่ดี
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เธอจึงโทรศัพท์ไปหาเหอเฉ่า ระหว่างรอสายก็ถือแก้วไปกดน้ำที่ตู้
กระทั่งปลายสายกดรับและเอ่ยขึ้นว่า “คุณอัน มีอะไรเหรอคะ?”
อันโหรววางแก้วน้ำลง ก่อนจะเปิดตู้กดน้ำ “พรุ่งนี้มีเรียนไหม?”
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายน่าจะว่างนะคะ” เหอเฉ่าตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล “คุณอัน เมื่อวานฉันต้องขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะคะ เป็นเพราะเหอเหมียวที่พูดจาแบบนั้นกับคุณ ฉันต้องขอโทษแทนเธอด้วย ฉันไม่ควรปล่อยให้เกิดเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเลยค่ะ”
“ฉันชินแล้ว อีกอย่างเรื่องเมื่อวานก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย” เธอตอบกลับไป ก่อนจะเอ่ยถามต่อว่า “แล้วเหอเหมียวเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อวานเหลียวเว่ยพาตัวเธอออกไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเหอเหมียว?
“เหอเหมียวตอนนี้เธออยู่ที่โรงพยาบาล กระดูกหัก ตรงน่องกับหัวก็ได้รับการกระทบกระเทือน” เหอเฉ่าพูดเสียงเบา ๆ อย่างสั่นเครือ ตอนนี้คิดว่าน่าจะอยู่ภายในห้องพักฟื้นของเหอเหมียว
เธอควรห้ามเหลียวเว่ยไม่ให้พาตัวเหอเหมียวไปยังงั้นเหรอ?
แต่ภาพดังกล่าวที่เกิดขึ้นตอนนั้น เธอพาคนมาหลายคน เธอห้ามยังไงก็คงไม่ไหวหรอก
ยิ่งไปกว่านั้น เหอเหมียวก็เคยทำอะไรกับเธอไว้เยอะ นี่นับได้ว่าเป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับ มันเป็นบาป จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็ต้องไถ่โทษ
“งั้นก็ให้เธอพักผ่อนไปละกัน เธอเองก็ด้วยนะ พักผ่อนเยอะ ๆ พรุ่งนี้เจอกัน” เธอกดวางสาย ก่อนจะไปเอาน้ำที่ตู้กดและเดินกลับไปยังที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
แต่ทว่าเมื่อกำลังจะนั่งลง เธอก็เห็นขายาว ๆ และเรือนร่างของจิ่งเป่ยเฉินที่ไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่แผนกวางแผนปรากฏตัวขึ้น
ตัวเธอแสดงจุดยืนไปอย่างชัดเจนแล้ว หลังจากนี้ต้องอธิบายถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของพวกเขายังไงดี?
“ประธานจิ่งมาตรวจสอบงานเหรอคะ!” เธอยิ้ม พลางเดินไปวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ใบหน้าเผยถึงความสงบนิ่ง
“เก็บข้าวของ แล้วออกไปกับผม!” เขาเหลือบมองไปยังแก้วน้ำของเธอ พลันรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาซะดื้อ ๆ
……………………………….
ตอนที่ 118 ประธานจิ่งอยากอาบอบนวดยังงั้นเหรอ?
ด้วยเหตุนี้สายตาทุกคนจึงตกมาอยู่ที่พวกเขา จิ่งเป่ยเฉินหยิบแก้วน้ำของเธอที่เพิ่งวางลงบนโต๊ะขึ้นมาดื่มด้วยสีหน้าและท่าทางที่สุขุม
เธอเบิกตากว้างขึ้นก่อนจะกลืนน้ำลาย ไม่คิดเลยว่าจิ่งเป่ยเฉินจะเป็นคนแบบนี้ ดูท่าครั้งต่อไปเธอต้องถือแก้วน้ำไว้ให้แน่น ๆ แล้วสิ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว…
เขายังคงถือแก้วน้ำไว้ในมือ ดวงตาสีดำเหลือบมองไปที่เธอ ก่อนจะก้าวออกไปหนึ่งก้าวจากโต๊ะทำงานและพูดว่า “ผมให้เวลาสองนาที”
“ฉันขอถามได้ไหมว่าออกไปทำอะไร?” ถ้าหากเป็นเรื่องระหว่างพวกเขาละก็ เธอไม่มีทางไปแน่ ๆ
“สกุลเห่อ”
“เข้าใจแล้ว!” เธอรีบเอื้อมไปปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งนาทีเธอก็เตรียมกระเป๋าพร้อมไปทันที “ประธานจิ่ง เชิญค่ะ”
จิ่งเป่ยเฉินวางแก้วน้ำลง ก่อนจะรีบเดินออกจากแผนกวางแผนไปท่ามกลางสายตาของผู้คนที่กำลังจับจ้อง ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
เมื่อครู่ฉิวซีที่เพิ่งออกมาจากห้องของผู้อำนวยการก็ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไปพร้อมกัน โลกใบนี้คล้ายเป็นภาพลวงตา?
“ผู้อำนวยการ อันอีหานคนนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ฉิวซีเอ่ยถามเสียงต่ำ
มีผู้หญิงมากมายรายล้อมอยู่รอบตัวของจิ่งเป่ยเฉิน แต่ไม่มีใครเหมือนกับอันอีหานเลยสักคน หรือว่ารสนิยมของเขาจะเป็นแบบนี้จริง ๆ
เธอไม่เชื่อ เธอไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ รวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย
“อย่าสนใจเรื่องของคนอื่นนักเลย” เมื่อเฟิงชิงชิงพูดจบก็หันหลังและเดินกลับไปยังห้องทำงานของตนทันที
แผนกวางแผนตอนนี้ครึกครื้นมากขึ้น การที่จิ่งเป่ยเฉินมาหาอันอีหานด้วยตัวเอง ทำให้พวกเขาประหลาดใจมากพอสมควร ทั้งจิ่งเป่ยเฉินยังดื่มน้ำแก้วเดียวกับเธออีก ความสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่
ภายในหัวของพวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพเหตุการณ์ในลิฟต์เมื่อเช้า พวกเขานั้น….
ในช่วงเวลานี้คนที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นคืออันโหรวที่เพิ่งวางแผนไว้ว่าจะนั่งกับเสี่ยวหยางที่เบาะหน้า แต่จิ่งเป่ยเฉินกลับเปิดประตูเบาะหลังและดันเธอให้เข้าไปในรถ ซึ่งเธอเองก็ปฏิเสธไม่ได้ซะด้วย
แทนที่จะเตรียมรับมือกับเขา เธอกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้
“รู้สึกว่าครั้งที่แล้ว ผอ.หลี่ของสกุลเห่อจะไม่ยอมขาย หรือว่าเขาเปลี่ยนใจแล้ว?” บรรยากาศในรถตอนนี้เงียบกริบ เมื่อเธอนึกบางอย่างได้จึงพูดขึ้น
“ใครบอกว่าพวกเราจะไปหาหลี่เฉิงกัน?” จิ่งเป่ยเฉินหันหน้าไปเหลือบมองเธอเล็กน้อย “สกุลเห่อไม่ได้มีเขาคนเดียวหรอกนะที่ตัดสินใจได้”
“โอวหยางลี่ได้วางเงื่อนไขก็คือสกุลเห่อจะถูกกลุ่มโอวหยางซื้อกิจการไว้ แต่สกุลเห่อยังคงสามารถเป็นอิสระได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มโอวหยาง ชื่อบริษัทก็ยังคงเป็นสกุลเห่อและจะไม่ถูกเปลี่ยนชื่อ”
“หลี่เฉิงเป็นทหารเฒ่าที่วางรากฐานให้กับสกุลเห่อ เรื่องซับซ้อนพวกนี้ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ” เธอกำมือข้างขวาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ทางพวกเราเองหากได้อยู่ก็นับว่าเป็นอิสระเหมือนกัน”
พวกเขาเอ่ยปากรับสัญญาว่าชื่อจะไม่ถูกเปลี่ยน แม้สกุลเห่อก็จะไม่ใช่สกุลเห่อที่แท้จริง แต่จะเป็นบริษัทย่อยของสกุลจิ่งอีกทีหนึ่ง
“คุณเชื่อคำพูดของเขาด้วยเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินเค้นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา ตัวเขานั้นไม่เชื่อในตัวของโอวหยางลี่เลยแม้แต่น้อย
“ประธานจิ่ง ดูเหมือนคุณจะถามผิดแล้ว ฉันเคยบอกไปแล้วว่าไม่รู้จักประธานโอวหยาง ฉันไม่เข้าใจเขาหรอก” เธอรับมือกับคำพูดของคนข้าง ๆ ถ้ารับมือกับจิ่งเป่ยเฉินคนเดียวไม่ได้ละก็ ป่านนี้เธอก็คงรับมือกับพวกหยางหยางและหน่วนหน่วนไม่ได้แน่ ๆ
“งั้นเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินหันหน้าไปมอง ดวงตาของเขานั้นมืดมิดราวกับกลางคืนที่ไม่รู้ว่าจะมองไปที่ไหนดี
จากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดถูกเอ่ยขึ้นอีก…
กระทั่งรถหยุดลงที่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง “หยู่หยู่” มันเป็นคลับระดับสูง อันโหรวมองเขา ขณะที่กำลังจะพูดประโยคอะไรสักอย่าง จิ่งเป่ยเฉินก็เปิดประตูลงจากรถไปแล้ว
เธอจึงลงจากรถและเดินตามหลังเขาเข้าไปด้านใน เนื่องจากเธอมาสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก
“ประธานจิ่งคะ อยากจะอาบอบนวดยังงั้นเหรอ?” เดินไปไม่กี่ก้าว เธอก็เอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
จิ่งเป่ยเฉินหยุดเดิน ผู้คนในคลับต่างก็เข้ามาทักทายพวกเขา ก่อนจะมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินด้วยรอยยิ้ม
“ประธานจิ่ง ขออนุญาตถามได้ไหมว่ามาที่นี่ทำไมกัน พวกเราที่นี่……..”
จิ่งเป่ยเฉินเดินผ่านพวกเขาโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง “ห้าศูนย์สองห้า นำทางไป”
หญิงสาวที่แต่งหน้าอย่างงดงามและอ่อนช้อยส่งยิ้มหวานให้ ก่อนจะเดินนำทางไป หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาทุกครั้งที่ก้าวเดิน ถ้าหากได้รับปรารถนาจากจิ่งเป่ยเฉินละก็ พวกเธอคงบินได้อย่างก้าวกระโดดแน่ ๆ
ขณะที่อยู่ในลิฟต์ จิ่งเป่ยเฉินโน้มตัวไปหาอันโหรวใกล้ ๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจอุ่น ๆ ไปที่ใบหน้าของเธอ “ถ้าหากคุณชอบละก็ ไว้วันหลังพวกเรามาที่นี่ด้วยกันก็ได้นะ”